เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StorySugar
ภายในห้องกรงสีเทา
  •   เช้าวันต่อมาเราขอให้เพื่อนสนิทไปเป็นเพื่อนเราที่โรงพยาบาลจิตเวช พอถึงโรงเรียนก็ทำเรื่องขออนุญาตออกนอกโรงเรียนในเวลาบ่าย ลำบากมากเลยค่ะกว่าจะได้มา พอเข้าคาบแรกก็มีสอบภาษาญี่ปุ่น ตอนแรกก็คิดว่าเราโอเคแล้วนะ จากนั้นเพื่อนในกลุ่มก็ถามว่าเราโอเคมั้ย ไหวรึเปล่า เราหัวเราะตอบว่าไหว อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมา เหมือนกับความรู้สึกในตอนนั้นที่มันกลั้นไว้ไม่ไหว เราก็พยายามเช็ดหน้าแล้วรีบไปสอบ โชคดีที่ภาคบ่ายไม่มีคาบเรียน มีแค่คาบชุมนุมเราเลยฝากเพื่อนในกลุ่มดูชุมนุมให้หน่อย เพราะเราเป็นประธานชุมนุม และไม่แน่ใจว่าจะกลับมาทันคาบชุมนุมมั้ย ด้วยความที่เราไม่แน่ใจว่าค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จึงเตรียมเงินมา200 และขอยืมเพื่อนในกลุ่มคนนึง แต่เขาบอกว่าไม่เห็นเป็นไรแล้วไม่ต้องไปก็ได้ เราเลยไปขอยืมคนอื่น เราขอยืมเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ม.2 เราบอกเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา และบอกว่าถ้ามันไม่เกินงบของเรา เราจะเอามาคืนให้ เขาก็ให้มา100 เราก็ขอบคุณและซึ้งใจเพื่อนคนนี้มากเลยทีเดียว

       เอาล่ะได้เวลาไปโรงพยาบาลกันแล้ว เราก็ยื่นบัตรที่ขอมาตอนเช้า แล้วเรากับเพื่อนก็เดินไป ใช่ค่ะ เดินกันไป แดดค่อนข้างร้อนทีเดียว แต่ตอนนั้นความรู้สึกมันแทบไม่สนใจเรื่องแดดเลย พอถึงโรงพยาาล ก็ทำตามขั้นตอน กรอกประวัติ พบพยาบาล พบนักสังคมสงเคราะห์ พบหมอ บอกเลยว่าแค่ตอนพบพยาบาลน้ำตาปริแล้ว พอเจอนักสังคม ตอนแรกเราก็กะจะเล่าเรื่องที่พึ่งเจอมาเมื่อคืน แต่อยู่ๆความรู้สึกมันก็ทำให้เราเล่าเรื่องครอบครัวไปซะหมด เล่าไปร้องไห้ไป พอพูดคุยกับนักสังคมเสร็จ เขาถามว่าคาดหวังอะไรจากโรงพยาบาลนี้ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าทำไมตอนนั้นถึงตอบไปว่า "อยากมีความสุข" เมื่อได้พบหมอ ก็คุยกันนิดหน่อยค่ะ เพราะนักสังคมเค้าเขียนประวัติคร่าวๆในแฟ้มคนไข้แล้ว เราก็บอกหมอไปว่า ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าอยากจะเลือกเรียนอะไรเมื่อเข้ามหาลัย ไม่รู้ความฝันของตัวเองเลย หมอตอบเราว่า "ถ้าหนูหายดีแล้ว เราจะช่วยตามหาความฝันของหนูเอง" เป็นประโยคที่ไม่เคยลืมเลยค่ะ นึกถึงทีไรก็ยิ้มตลอด แต่ใครจะรู้ว่า ทั้งหมดนี่มันก็แค่ จุดเริ่มต้น

       
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in