สร้างคนดีมีน้ำใจ ใฝ่คุณธรรม เลิศล้ำปัญญา
ตั้งอยู่ที่ 9 ถนนมนตรี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50000
เคยกลับไปเยี่ยมโรงเรียน(แต่ก็เมื่อหลายปีที่แล้ว) โรงเรียนใหญ่โตขึ้นมาก ครูและเด็กนักเรียนเยอะขึ้นหลายเท่าตัว จากเดิมที่เคยมีเพียงอาคารหลังเดียวมีสัญลักษณ์ของโรงเรียนคือดวงแก้วบนดอกบัวสีทองอยู่ข้างหน้าตอนนี้มีหลายอาคารและน่าเรียนกว่าเดิม อย่างที่เค้าว่ากันแหละเนอะ (และปกติจะเป็นจริงเสมอ) ว่าเวลาเราออกจากโรงเรียน โรงเรียนเราจะพัฒนา จะมีอะไรใหม่ๆทันที และดูดีมีสง่าราศีขึ้นเยอะ
การเข้าเรียนที่พิงครัตน์นี้ เลขประจำตัวของแก้วคือ 001 ซึ่งก็แปลว่าเป็นนักเรียนคนแรกนั่นเอง
ตอนนั้นโรงเรียนเพิ่งก่อตั้ง พ่อกับแม่ไปลงทะเบียนให้ตั้งแต่ยังไม่ตอกเสาเข็ม มีครูและนักเรียนอยู่ไม่กี่คนจำได้ว่ายังมีกลิ่นสีจางๆอยู่เลย ที่ตึกเรียน ห้องเรียน ห้องอาหาร สระว่ายน้ำจะยังโล่งๆ เหมือนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้า แต่มีเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแค่น้อยชิ้น
โรงเรียนใหม่หลักสูตรอะไรก็ใหม่หมด (ซึ่งก็ใช่ว่าจะจำได้) เด็กอนุบาลก็จะมีกิจกรรมไม่เยอะเท่าไหร่หรอก เรียนท่องศัพท์ วาดรูป ร้องเพลง กินนม เต้น รำวง แปรงฟัน แล้วก็นอนกลางวันอยู่อย่างนี้แหละเนอะ
แก้วกล้า
ตอนที่เรียนพิงครัตน์ สมาชิกในบ้านก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน คือน้องชายคนเดียวของเรา ชื่อ แก้วกล้า
ชื่อแก้วกล้านี่่เราเป็นคนตั้งให้เองตอนสามขวบ จำได้ว่าแม่นั่งอยู่ เราเอาหูไปแนบพุงแม่ บอกว่าน้องของหนูชื่อแก้วกล้า
เรารักน้องมาก เพราะมีน้องคนเดียว จะชอบมาเล่น มาหอม มากอดน้อง น้องเคยไม่สบายเพราะเราไม่สบายเป็นหวัดแล้วมาหอมน้อง เลยโดนแม่จับแยกห้องนอน
ด้วยความที่น้องก็ติดเจ้(เรียกแก้วว่าเจ้มาตั้งแต่เกิด)มาก ไม่อยากให้ไปโรงเรียน ตอนนั้นน้องเริ่มเดินได้แล้วเตาะแตะ เราจะไปโรงเรียนแต่หารองเท้าไม่เจอ แตกตื่นกันทั้งบ้านเพราะทุกคนต้องช่วยกันหา ตอนนั้นก็ไม่ได้เลี้ยงหมาแล้วก็ไม่น่าจะมีตัวอะไรคาบไปนะ หากันพักใหญ่ ทุกซอกทุกมุม สุดท้ายพี่เอ๊ด (พี่เลี้ยง) มาเจอรองเท้า
.....อยู่ในตู้เย็น
ฝีมือน้องชายตัวแสบคับ.....ทำให้เจ้ไปโรงเรียนสาย T^T เพราะอยากให้เจ้อยู่เล่นด้วย แต่ใช้วิธีที่เจ้จะไม่ลืมไปจนวันตายเลยล่ะ
เพื่อนเพื่อน
เพื่อนที่พิงครัตน์เป็นเพื่อนชุดแรกของแก้วที่ตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันจนถึงปัจจุบัน ที่จำได้ก็มีปอป้อ ข้าวปั้น แวว บิ๊กและบอส สิ่งที่ฮิตมากตอนอยู่โรงเรียนคือ เล่นบ่อทราย เล่นทุกเวลาพัก ตราบใดที่เด็กไม่ช้อนทรายเข้าปาก ให้ลูกท่านเล่นเถอะค่ะเพราะจะเป็นบ่อเพาะจินตนาการให้ลูกท่านอย่างไม่รู้จบ
เราเล่นบ่อทรายอย่างบ้าคลั่งมาก ชอบถึงขนาดแม่ต้องไปซื้อทรายจากร้านวัสดุก่อสร้างมาไว้ที่บ้านเพื่อให้ลูกไว้เล่น ไอ้หมูก็จะมีเก้าอี้ตัวเล็กๆ ขึ้นไปนั่งบนกองทรายแล้วก็สมมติจินตนาการไปเรื่อย
นอกจากเล่นทรายแล้ว เราจะชอบเล่นเป็นคุณครู แม่จะซื้อชอล์กเอาไว้ให้เขียนบนตู้รองเท้า แล้วลูกสาวแม่ก็จะสวมบทบาทเป็นคุณครู สอนอะไรก็ไม่รู้ สอนใครก็ไม่รู้ สอนไปเรื่อย
เรื่องสอนหนังสือบางทีก็นำไปสู่เรื่ืองมิติลี้ลับได้เหมือนกัน มันเริ่มมาจากการที่แม่เราชอบอัดเสียงลูกๆตอนเล่นกัน แล้วแม่ก็จะสัมภาษณ์เก็บไว้ฟังตอนโต ถึงตอนนี้ก็ยังหลงเหลืออยู่สองสามเทป มีอยู่เทปนึงแม่สัมภาษณ์เราหลังจากที่ทำการสอนเสร็จแล้ว
แม่: วันนี้ลูกแก้วเล่นอะไรบ้างคะ
แก้ว: หนูสอนหนังสือค่ะ
แม่: วันนี้สอนอะไรคะ
แก้ว: ภาษาไทยค่ะ
แม่: ลูกแก้วสอนใครบ้างคะ
แก้ว: เล่นกับเพื่อนค่ะ เพื่อนมาเล่นด้วยทุกวันเลย
แม่: (.........) แล้วเพื่อนหนูไปไหนแล้วล่ะคะ
แก้ว: กลับบ้านไปหมดแล้วค่ะ
แม่: บ้านเพื่อนหนูอยู่ที่ไหนคะ
แก้ว: อยู่ไกลมากกกกกค่ะ (ลากเสียงยาว)
แม่: แล้วเพื่อนหนูไม่ชวนไปที่บ้านหรอคะ
แก้ว: ไปไม่ได้ค่ะ เพื่อนบอกเค้าจะมาหาเอง
แม่บอกหนูจะเล่าถึงกลุ่มเพื่อนนี้ทุกวัน จนตอนนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเพื่อนๆที่ว่านี้เป็นเพื่อนที่(โลก)ไหน?
และในยุคนั้นเซเลอร์มูนกำลังมา เราจะชอบจิ้นว่าตัวเองเป็นจูปิเตอร์ (เซเลอร์มูนตัวสีน้ำเงิน) แม่ซื้อคฑาเซเลอร์มูนมาจาก Toy R Us ที่นิวยอร์ค (ชอบเอาไปอวดเพื่อนเพราะเมืองไทยไม่มีขาย) แล้วก็เล่นแปลงร่าง เพราะกดแล้วไฟมันก็จะวิบวับวิบวับมีเสียงออกมาด้วย ไฮโซมวากกก
นอกจากเซเลอร์มูนใครทันอุลตร้าแมนคิดส์บ้าง สมัยนั้นเป็นวีดีโอ เป็นอุลตร้าแมนเวอร์ชั่นเด็กน้อย ภาพจะน่ารักมาก เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของมาร์ อุลตร้าแมนตัวหนึ่งที่พลัดหลงกับพ่อแม่ เลยชวนเพื่อนๆออกตามหาไปแวะตามดาวนั้นดาวนี้ สนุกมากๆ
วีดีโอที่มีครบเซตอีกชุด ก็เห็นจะเป็นสโมสรผึ้งน้อย ถ้าใครไม่ทันจะบอกว่าเป็นวีดีโอที่เป็นสื่อการสอนให้เด็กๆได้ดีมากที่สุดในประเทศไทยสื่อหนึ่งเลยนะพูดจริงๆ น้านิด(ผู้ให้กำเนิดผึ้งน้อย) ถือเป็นครูคนนึงของเด็กหญิงเพ็ญดาวเลยก็ว่าได้ สโมสรผึ้งน้อยจะรวบรวมเด็กที่กล้าแสดงออกมาทำการแสดง บันทึกเทป และจัดจำหน่าย ใครที่ทันดูผึ้งน้อย เราว่าโชคดีนะเพราะสมัยนี้จะหาสื่อดีๆแบบนั้นยากแล้วล่ะ
ตุ๊กแก
ในชีวิตของคนคนหนึ่งจะต้องมีบ้างที่จะมีอาการ phobia หรือการกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้ฝังใจในอดีต บางคนกลัว หนู งู แมลงสาบ คางคก ตะขาบ แต่บางคนก็กลัวอะไรแปลกๆอย่างเช่น เงาะ น้ำตก ส้ม เตารีด ลูกโป่ง ฯลฯ
ของเราเอาเบสิคๆไปละกัน ตุ๊กแกก็พอ
มันฝังใจมากพูดได้เลยว่าตั้งแต่เกิดจนโตมา เราไม่เคยนอนแยกห้องนอนกับพ่อแม่เลย จนกระทั่งเข้ามาเรียนกรุงเทพตอนช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละ ถึงได้เริ่มนอนคนเดียว
มันเกิดมาจากวันนั้น ตอนช่วงอยู่พิงครัตน์เนี่ยแหละ ครึ้มอกครึ้มใจอยากนอนคนเดียวจึงบอกแม่ว่าวันนี้หนูจะไปนอนอีกห้องนึง เลยไปนั่งทำการบ้านเลข คิดว่าทำการบ้านเสร็จเราจะขึ้นเตียงไปนอนหลับให้สบายใจ แต่ก่อนจะนอนรู้สึกร้อนๆเลยจะไปปิดมุ้งลวดเพื่อเปิดแอร์ซักหน่อย จุดที่เปลี่ยนหน้าต่างนี่แหละ
มีตุ๊กแกวัยกลางคนขนาดเท่าแขน เกาะเหนียวหนืดอยู่ตรงมุ้งลวดห่างกับใบหน้าน้อยๆเพียงไม่ถึงคืบ ตาประสานตา ใจประสานใจ จำได้เป็นฉากวีดีโอพร้อมเสียง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
แล้ววิ่งออกห้องนี้ไปห้องที่พ่อกับแม่นอนดูทีวีกันอยู่ กระโดดใส่ทั้งสองคนแล้วร้องไห้จ้า
แม่ต้องไปบอกให้พี่เอ๊ดพี่เลี้ยงที่เป็นเด็กดอยไปจัดการแซะตุ๊กแกออกไปซะ พี่เอ๊ดบอกพี่ไม่กลัวเพราะบ้านพี่"กิน"เป็นประจำจ้ะ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาไม่เคยขอนอนแยกห้องนอนกับพ่อแม่อีกเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in