(มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญและมีการตีความในส่วนท้ายเรื่องค่ะ)
เชื่อว่า ใคร ๆ หลายคนคงเคยเห็นภาพคลื่นยักษ์ที่กำลังกลืนกินเรือลำน้อยในทะเล
(The Great Wave Off Kanagawa) ซึ่งวาดด้วยลายเส้นแบบศิลปะพู่กันญี่ปุ่นโบราณ
นี่คือผลงานชิ้นเอกของ "คัตสึชิกะ โฮะคุไซ" (Katsushika Hokusai) หรือ "โฮะคุไซ"
(Hokusai) ศิลปินชื่อดังยุคเอโดะ (Edo) ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก ผลงานของ
เขานั้นยังกลายเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินชาวยุโรปมากมาย จนกลาย
เป็นชื่อแนวทางของศิลปะตะวันตกที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันออก หรือ Japonism
แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงนามและชีวิตของผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขา นั่นคือ
"คัตสึชิกะ โออิ" (Katsushika Oi) ลูกสาวของโฮะคุไซผู้มีพรสวรรค์ในด้านการวาด
ภาพศิลปะพู่กันไม่แพ้พ่อของเธอ และนี่คือเรื่องราวของเธอในรูปแบบแอนิเมชั่น
ปี 2016 ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น (Manga) ของฮินาโกะ สุงิอุระ
(Hinako Sugiura) ชื่อเรื่อง Miss Hokusai หรือในภาษาญี่ปุ่น ใช้ชื่อว่า Sarusuberi
(百日紅) ซึ่งแปลว่าดอกยี่เข่ง อันเปรียบเสมือนสุนทรียะและความงามจากศิลปะ
ภาพพิมพ์ไม้ (Ukiyo-e) และศิลปะพู่กันของญี่ปุ่นที่มักเต็มไปด้วยภาพตำนาน นิทาน
วิวทิวทัศน์ ภูติผีปีศาจ หรือภาพโลกในจินตนาการอันล่องลอยเหนือความจริงนั่นเอง

โออิเป็นลูกสาวจากภรรยาคนที่สองของโฮะคุไซ เธอได้รับการปลูกฝังความรัก
ในการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก ๆ หลังจากโฮะคุไซแยกทางกับภรรยา โออิก็ได้ย้ายมาอยู่
ช่วยงานพ่อของเธอที่สำนัก จากคลุกคลีกับพ่อและบรรดาลูกศิษย์ชายของโฮะคุไซ
ทำให้โออิมีลักษณะท่าทางที่แข็งกร้าว ห้าวหาญ ไม่เรียบร้อย มีท่าทางเหม่อลอย
ไม่อยู่กับปัจจุบัน มักตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เฉยชากับคนรอบตัว ผมเผ้า
หรือเสื้อผ้าก็ไม่ปราณีตพิถีพิถันเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ ในยุคนั้น มิหนำซ้ำ
เธอยังสูบกล้องยาเส้นและดื่มสาเกอยู่เป็นนิจอีกด้วย
ในตอนนั้น โฮะคุไซยังอาศัยอยู่กับลูกศิษย์รุ่นปัจจุบันของเขา นั่นก็คือ เซ็นจิโระ
อิเคดะ (Zenjiro Ikeda) ซึ่งต่อมาเขาได้พัฒนาฝีมือจนได้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง
ในเรื่องของภาพวาดอิโรติคแบบญี่ปุ่น (Shunga) โดยในระหว่างการทำงานนั้น
โฮะคุไซจะเป็นผู้วาดโครงร่างภาพและลงรายละเอียดพร้อมกับตัดเส้นของภาพ
ส่วนโออิและเซ็นจิโร่นั้นจะเป็นผู้ลงสี บางคราวเขาก็จะอนุญาตให้โออิหรือเซ็นจิโระ
เป็นผู้วาดภาพแทนเขาบ้างและในบางครั้งเซ็นจิโร่ก็ต้องทำหน้าที่เป็นแบบ
ในการวาดภาพให้โฮะคุไซด้วย
โฮะคุไซนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่พิถีพิถันและจริงจังกับงานวาดภาพของเขามาก
ทุกงานจะต้องใช้สมาธิในการวาดสูง และหากว่า ภาพไหนที่โฮะคุไซรู้สึกว่ามันไม่สวย
หรือไม่ดีพอสำหรับเขา หรือมีตำหนิแม้เพียงนิดเดียว เขาก็จะทิ้งภาพนั้นโดย
ไม่รู้สึกเสียดายเวลาและแรงใจแรงกายที่ทุ่มเทลงไปเลย อย่างเช่นรูปมังกรฟ้าตัวหนึ่ง
ที่โออิบังเอิญทำตะกอนยาเส้นตกลงไปบนภาพเพียงเล็กน้อย โฮะคุไซก็ขีดฆ่าภาพ
นั้นทิ้งและเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ
การทำให้ผลงานของพ่อต้องเสียไปโดยความไม่ระมัดระวังของโออิ ทำให้โฮะคุไซ
ต้องถูกลูกค้าต่อว่าเมื่อมาถามถึงความคืบหน้า แต่โออิก็สัญญากับเขาว่า เธอจะวาดภาพ
นั้นให้ใหม่โดยจะทันกำหนดส่งแน่นอน แม้โฮะคุไซจะบอกเธอว่า เป็นไปไม่ได้หรอก
เพราะภาพหนึ่งภาพต้องใช้เวลาวาดถึง 3-4 วัน และกำหนดส่งนั้นเหลือเพียงอีก
สองวันเท่านั้น เขาจึงคิดจะคืนเงินให้ลูกค้าทั้งหมดเนื่องจากงานนั้นไม่เสร็จสมบูรณ์
แต่โออิก็ไม่ได้ฟังคำของพ่อ เธอรีบคว้ากระดาษแผ่นใหม่ออกมาแล้ว
ร่างภาพทันที ส่วนโฮะคุไซ เซ็นจิโระและนักวาดคนอื่น ๆ ก็เดินทาง
ไปโรงน้ำชาเพื่อพักผ่อนจากการทำงานอันเคร่งเครียดเหนื่อยล้า
คืนนั้นทั้งคืน โออิวาดภาพมังกรฟ้าโดยใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดของเธอ ท่ามกลาง
แสงเทียนวับแวมและแรงลมพายุที่น่ากลัว มันช่วยให้เธอรู้สึกว่า มังกรนั้นลอยลงมาจาก
บนสวรรค์และลงมาสิงสถิตย์ในภาพวาดของเธอ ความทุ่มเทของโออิได้ทำให้ภาพงดงาม
นั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ความสามารถของเธอทำให้เซ็นจิโระและโฮะคุไซต้องอึ้ง
ไปพร้อมกันและการส่งงานทันกำหนดในครั้งนี้ก็ได้ช่วยรักษาชื่อเสียงของโฮะคุไซ
และสำนักเอาไว้ได้อีกครั้ง
หลังจากงานเร่งด่วนได้ผ่านพ้นไป โออิก็เดินทางไปเยี่ยมแม่และน้องสาวต่างแม่
ของเธอที่ชื่อว่า โอนาโอะ (Onao) ที่อาศัยและรักษาตัวอยู่กับแม่ชีท่านหนึ่ง
เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เกิดมาตาบอดทั้งสองข้างและมีร่างกาย
ไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด แต่โฮะคุไซนั้นกลับไม่เคยไปเยี่ยมลูกสาวคนนี้
เลยสักครั้ง ด้วยความสงสารและเห็นใจทำให้โออิมักไปเยี่ยมและพาโอนาโอะ
ไปเดินเล่นเที่ยวชมเมืองอยู่เสมอ ในครั้งนี้ โออิได้พบกับศิลปินหนุ่ม
คนหนึ่งชื่อ อิวะคุโบะ ฮัตสึโกะโระ (Iwakubo Hatsugoro) โดยบังเอิญ
เขาเป็นศิษย์คนแรกของโฮะคุไซและโออิก็แอบมีใจให้เขาอย่างลับ ๆ
โดยไม่เคยเอ่ยปากบอกเขา และสองพี่น้องใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ในช่วงเวลาแห่งความจริงที่เธอจินตนาการว่าเธอได้พาน้องสาวกำลังแล่นเรือ
โต้คลื่นยักษ์และดูเหมือนว่า ในยามที่โออิอยู่กับน้องสาว นั่นเป็นช่วงเวลาเดียว
ที่เธอยินยอมให้นิสัยด้านที่อ่อนโยนของเธอเผยออกมา
ทางเซ็นจิโระได้นำเอาข่าวลือแปลก ๆ เกี่ยวกับนางคณิกาโออิรัน (Oiran) คนหนึ่งมาเล่าให้
โฮะคุไซและโออิฟัง ลูกค้าบางคนว่ากันว่า กลางดึกบางคืน พวกเขาจะเห็นวิญญาณ
ของเธอล่องลอยออกจากร่างเฉพาะส่วนของคอ ลอยไปลอยมาอยู่ภายในห้องนอน
ประจวบเหมาะที่โออิได้ไปจ้างโออิรันนางนี้มาเป็นแบบวาดภาพพอดี และด้วยข่าวลือ
อันแปลกประหลาดนี้ ทำให้โฮะคุไซและเซ็นจิโระเห็นโอกาสที่จะได้เห็นเหตุการณ์
เหนือธรรมชาติเพื่อนำไปเป็นแบบวาดภาพในงานของพวกเขา
ทำให้พวกเขาขอติดตามโออิไปด้วย
โฮะคุไซได้เล่าเรื่องราวหลอก ๆ ของเขาขึ้นมาให้โออิรันนางนั้นฟังว่า เขาเคยมีประสบการณ์
ที่มือของเขาขยับเองได้ในตอนกลางคืน และมีวิญญาณของมือนั้นล่องลองออกจากร่าง
และโบยบินไปสัมผัสสิ่งต่าง ๆ นอกห้องนอน เพื่อที่เป็นพระของเขาจึงได้ให้เขาใช้วิธีพัน
บทสวดมนต์และลูกประคำรอบ ๆ มือทั้งสองข้างของเขาก่อนนอน และจากนั้นวิญญาณ
มือทั้งสองข้างของโฮะคุไซก็ไม่ลอยออกจากร่างอีกเลย
เรื่องเล่านี้ทำให้โออิรันนางนั้นยินยอมให้พวกเขาได้เข้ามาสังเกตการณ์
ภายในห้องนอนของเธอ และพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งลี้ลับอันเป็นข่าวลือ
ว่ามันเกิดขึ้นจริง โออิรันมีอาการคอกระตุกคล้ายคนละเมอและสักพัก
วิญญาณส่วนหัวของเธอยืดออกและลอยไปลอยมาภายในมุ้ง โออิรันได้ขอบคุณ
พวกเขาและรับปากว่าจะลองทำวิธีที่โฮะคุไซบอกเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้
วิญญาณของเธอหลุดจากร่างอีก
คืนต่อมา ได้มีเหตุไฟไหม้ขึ้นใกล้กับสำนักของโฮะคุไซ โออิเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น
และรีบวิ่งไปดูเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ด้วยความตื่นเต้น เหตุผลที่เธอวิ่งไฟนั้น
แตกต่างจากคนอื่น ๆ เพราะเธอนั้นหลงใหลสีสันที่สดใสร้อนแรงของเปลวเพลิง
ที่สีน้ำหรือวัตถุให้สีในยุคนั้นไม่สามารถลอกเลียนแบบได้เลย
นอกจากนี้ โฮะคุไซยังได้แก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและอาการฝันร้ายของภรรยานายจ้าง
คนหนึ่ง เนื่องจากเธอนั้นได้เก็บเอาภาพฉากนรกฝีมือของโฮะคุไซไปฝันและเห็นภาพ
หลอนของวิญญาณเต็มไปหมด โฮะคุไซจึงได้วาดภาพพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์นรก
ลงในนั้นด้วยเพื่อเป็นการแก้เคล็ด และอาการฝันร้ายของภรรยานายจ้างก็หมดไป
ต่อมา มีลูกค้ามาจ้างให้สำนักของโฮะคุไซวาดภาพอิโรติค โดยครั้งนี้โออิได้รับ
หน้าที่วาดบ้าง แต่เมื่อลูกค้าได้มาขอดูแบบร่าง เขาได้ให้ข้อสังเกตว่า ภาพอิโรติคของ
เธอนั้นมีสัดส่วนถูกต้องสวยงามดี แต่ขาดอารมณ์ของความหวาบหวิวที่สมจริงของ
เพศสัมพันธ์ เขายังบอกอีกว่าเพราะเธอนั้นยังขาดประสบการณ์ทางเพศ จึงทำให้
ไม่เข้าใจอารมณ์ ท่วงท่า การสัมผัส หรือกระบวนการต่าง ๆ
ในการมีเพศสัมพันธ์ที่สมจริง
การถูกติผลงานนั้นทำให้โออิมีความเครียดและนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับฝีมือของ
เซ็นจิโระที่มีฝีมือเรื่องการวาดภาพอิโรติคมาก ๆ เธอยิ่งรู้สึกโกรธและหงุดหงิด
เมื่อเธอได้บังเอิญเจอฮัตสึโกะโระระหว่างทางกลับบ้าน และเขาได้เอ่ยปากชมฝีมือ
ของเซ็นจิโระให้เธอได้ยิน โออิโกรธจนขอปลีกตัวไปและตัดสินใจเข้าไปซื้อบริการ
จากโสเภณีชายรายหนึ่งด้วยความเกร็งและเขินอาย ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอก็ไม่ได้
มีความยินยอมพร้อมใจนัก เพียงแต่อยากรู้ความรู้สึกของการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น
ก่อนที่โออิจะได้มีความสัมพันธ์กับโสเภณีชาย เธอก็ได้เหลือบไปเห็นภาพวาด
พระโพธิสัตว์สามพระองค์แขวนอยู่บนผนัง ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมมีภาพ
ในเชิงศาสนาแขวนอยู่ในสำนักโคมแดงแบบนี้ โสเภณีชายก็ได้บอกว่า เขานำมาแขวน
เพื่อให้ภาพช่วยขับไล่สิ่งที่ไม่ดีในสำนักโคมแดงแห่งนี้ และยังเล่าติดตลกให้เธอฟังอีกว่า
บางครั้งก็มีนักบวชหรือพระบางรูปแอบมาใช้บริการเขาด้วย นั่นทำให้โออิเข้าใจและ
เรียนรู้ถึงอะไรบางอย่าง เธอจึงยินยอมให้โสเภณีชายรายนั้นมีเพศสัมพันธ์กับเธอ
แต่ก่อนที่เขาจะลงมือ เขาก็ได้ซบลงกับอกของเธอและผล็อยหลับไปก่อน
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดบอกได้แน่ชัดว่า พวกเขาได้มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
แต่คืนนั้น โออิได้ฝันไปถึงพระโพธิสัตว์ที่เดินมาโปรดผู้คนในเมืองมนุษย์
แต่เธอก็ถูกเหยียบจนหายไปในความฝันนั้น แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็รีบกลับไป
วาดภาพอิโรติคที่ลูกค้าสั่งมาให้เสร็จ ลูกค้าดูจะพอใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ตอบ
ว่าอะไร เขายังได้ให้บัตรดูละครคาบูกิแก่เธอหนึ่งใบเป็นค่าตอบแทน
เพิ่มเติมพร้อมบอกว่าฮัตสึโกะโระก็ได้บัตรชมละครเช่นเดียวกันกับเธอ
ได้ยินดังนั้น โออิจึงรีบกลับบ้านและไปแต่งตัวอย่างพิถีพิถันเพื่อ
ออกไปรอพบเขาที่งานแสดงละคร
แต่แล้ว...เธอก็เลือกที่จะโยนบัตรชมละครใบนั้นลงน้ำไป
เพราะภาพที่เธอเห็นคือ ฮัตสึโกะโระที่เดินมาเข้าโรงละคร
พร้อมกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ดูแตกต่างจากเธอลิบลับ
ฝ่ายโฮะคุไซก็ได้ข่าวจากโออิว่า โอนาโอะ ลูกสาวตาบอดของเขาอีกคนนั้นเริ่ม
ป่วยหนัก ประกอบกับการถูกเธอต่อว่าในความใจดำและเฉยเมยของเขาต่ออาการป่วย
ของลูกแท้ ๆ เขาจึงตัดสินใจไปเยี่ยมดูอาการเธอเป็นครั้งแรก และทำให้โอนาโอะได้พบ
พ่อของเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต ความสงสารลูกทำให้โฮะคุไซได้วาดภาพเทพผู้พิทักษ์
รักษาโรคเอาไว้ให้เป็นเครื่องรางช่วยให้กำลังใจให้โอนาโอะหายดี
แต่แล้วในคืนหนึ่ง โอนาโอะก็จากไปพร้อมกับพายุลมกรรโชกที่พัดเข้ามา
ในสำนักของโฮะคุไซ เซ็นจิโระยังได้บอกว่าเขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เดินตาม
เขาเข้ามาด้วย เมื่อพายุสงบลง พวกเขาจึงได้เห็นว่า มีดอกสึบากิสีแดงเหี่ยวเฉา
ตกอยู่บนพื้นห้อง โออิรู้ได้ทันทีว่า นั่นคือน้องสาวของเธอและโอนาโอะได้จากไป
โดยที่เธอไม่ทันได้ร่ำลา
โฮะคุไซได้บอกให้โออิวาดภาพแทนเขา เพราะเขาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เธอควร
จะได้วาดภาพและเซ็นชื่อลงบนผลงานของเธอเอง จากนั้น โออิก็ได้วาดภาพ
โอนาโอะกับปลาทองและดอกยี่เข่งเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงน้องสาวที่จากไป
เธอยังคงใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ พูดคุยกับน้องสาวของเธอผ่านดวงดาวบนฟ้า
พร้อมบรรยายถึงชีวิตของเธอ เซ็นจิโร่ และโฮะคุไซในวาระสุดท้าย
ก่อนจะเดินลับหายไปจากสะพานข้ามแม่น้ำ
ประเด็นที่น่าสนใจภายในเรื่อง Miss Hokusai จากการตีความส่วนตัว
โลกงดงามด้วย "แสง" และ "เงา": ศิลปินสาวไร้นามผู้อยู่ในเงาของพ่อ
และการเป็นแสงสว่างให้แก่น้องสาวของโออิ
ในยุคเอโดะ ผลงานอันมีเอกลักษณ์และสวยงามของโฮะคุไซ
เปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องอย่างเจิดจรัสไปทั่วญี่ปุ่น หากแต่จะมีใครรู้ว่า
เบื้องหลังชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของเขานั้น มีเด็กสาวคนหนึ่งที่เป็นเหมือนเงา
ที่กำลังเจริญรอยตามพ่อของเธอและฝีมือนั้นก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร
ตามบันทึกจากคำบอกเล่าของคนที่เคยรู้จักสองศิลปินพ่อลูก
กล่าวกันว่า โออินั้นมักจะไม่เซ็นชื่อลงบนผลงานของเธอเท่าใดนัก
บางครั้งเธอก็ใช้นามแฝง หลายครั้งเธอก็วาดภาพแทนพ่อของเธอ
และขายงานนั้นโดยให้โฮะคุไซเซ็นชื่อของเขาลงไปแทน
เนื่องจากว่า ในยุคเอโดะนั้น ผลงานของศิลปินหญิงมักไม่เป็นที่ยอมรับ
เพราะถูกมองว่า เพศหญิงไม่ควรทำงานเป็นศิลปินวาดภาพ
แต่ควรเป็นแม่บ้านแม่เรือน นางคณิกา หรือนางระบำเสียมากกว่า
อีกทั้งยังถูกมองว่า เพศหญิงนั้นขาดทักษะในการมองโลกรอบตัว
และประสบการณ์ทางเพศที่จัดเจนสำหรับถ่ายทอดลงในงานศิลปะที่ดี
นอกจากนั้น ผู้ซื้อและผู้เสพส่วนใหญ่นั้นเป็นเพศชาย
ศิลปะจึงถูกผลิตออกมาเพื่อรับใช้และเพื่อจรรโลงใจเพศชายเป็นหลัก
เช่น ภาพนางคณิกาโออิรันหรือเกอิชา (Oiran and Geisha) ภาพอิโรติคหญิง-ชาย
หญิง-หญิง หรือชาย-ชาย จุดประสงค์เพื่อเป็นหนังสือภาพปลุกใจเสือป่า
ดังนั้น สังคมยุคนั้นจึงมองว่า มุมมองของเพศหญิงที่มีต่อการทำงานศิลปะ
เพื่อเพศชายนั้นมักจะขายไม่ได้หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการ
ด้านอารมณ์ความรู้สึกทางเพศของเพศชายได้ครบถ้วน
เหล่านี้คือสิ่งที่ศิลปินหญิงในยุคเอโดะอย่างเธอต้องพบเจอ
ดังนั้น จึงมีอุปสรรคมากมายที่เธอฝ่าฟันและโออิต้องฝึกฝนฝีมือ
เพื่อต่อสู้คำติฉินนินทาหรือคำวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ได้
การยอมรับภายใต้โลกปิตาธิปไตย
โออินั้นรู้กฎของสังคมในข้อนี้ดี เธอก็ยินยอมที่จะเป็นเพียง "เงา" ที่อยู่ภายใต้
"แสง" อันเจิดจ้าของพ่อต่อไปและมีความสุขที่ได้สังเกตโลกรอบตัวของเธอ
เพื่อพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้นไป ชีวิตของเธอจึงถือว่าเป็นชีวิตของผู้หญิงที่ค่อนข้าง
แปลกในยุคเอโดะ กล่าวคือ เธอไม่มีความต้องการที่จะดำเนินตามวิถีของสังคม
เช่น เข้าพิธีดูตัวและแต่งงานกับชายสักคนและมีครอบครัว หากแต่เธอ
มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ความหลงใหลในศิลปะของพ่อและตัวเธอเอง
อีกทั้งเพื่อศึกษาธรรมชาติรอบตัวเพียงเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงที่มี
ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเป็นตัวของตัวเองสูงมากผิดจากผู้หญิง
ในยุคเดียวกัน
แต่ในทางกลับกัน โออิกลับได้เป็น "แสงสว่าง" ให้แก่โลกอันมืดบอดของ
น้องสาวผู้อาภัพโชค ในเรื่อง เราจะเห็นว่า ทุกครั้งที่โออิพาโอนาโอะไปเดินเล่น
โออิจะพยายามบรรยายให้โอนาโอะรับรู้ถึงรูปร่าง สีสัน วัตถุสิ่งของ ผู้คน
หรือสถานที่ที่เธอไม่อาจมองเห็นได้ด้วยดวงตาของเธอเอง และโออิ
ก็สามารถแสดงออกถึงความเป็นเพศหญิงที่แท้จริงของเธอออกมา
โดยไม่ต้องหลบซ่อน เธอพูดจาและปฏิบัติกับน้องสาวของเธออย่างอ่อนโยน
และยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งคู่จึงมีเสียงหัวเราะจากการเล่นสนุกด้วยกันอยู่เสมอ
ผิดกับสีหน้าที่เคร่งเครียดเคร่งขรึม การพูดจาด้วยน้ำเสียงห้วนและห้าว
สงบปากสงบคำ พูดเฉพาะที่จำเป็น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือ
ในฐานะผู้ติดต่อเจรจากับลูกค้าผู้ว่าจ้างงานและทำตัวดูน่าเกรงขามใน
ฐานะลูกสาวของศิลปินคนสำคัญ เรายังตีความได้อีกว่า การแสดงออกต่อพ่อ
และศิษย์เพศชายทุกคนของโฮะคุไซเหมือนเธอเป็นผู้ชายก็สื่อได้ถึงการก้าวข้าม
เส้นแบ่งทางเพศ การเข้ามาในโลกของผู้ชายที่เธอจำเป็นต้องทำตัวให้เท่าเทียม
และเข้มแข็งห้าวหาญพอที่พวกเขาจะยอมรับเธอในฐานะเพื่อนร่วมงาน
และศิลปินผู้มีความสามารถคนหนึ่งนั่นเอง
จึงสามารถกล่าวได้ว่า โออิจำเป็นต้องแสดงออกถึงบทบาทที่แตกต่างกัน
ของตัวเองตามวาระ สถานที่ และบุคคลที่เธอไปพบเจอ และยังเป็น
การบอกเราว่า สังคมญี่ปุ่นในยุคนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ทุกคนล้วน
แสดงออกตามหน้าที่และบทบาทที่สังคมต้องการเพียงเท่านั้น
แม้โออิจะเป็นได้แค่ "เงา" ในพื้นที่ของเพศชาย แต่เธอก็ได้เป็น
อีกแรงสนับสนุนที่ทำให้ชื่อเสียงของพ่อลือกระฉ่อนไปไกล
และยังเป็นผู้ช่วยมือฉกาจที่โฮะคุไซขาดไม่ได้
นอกจากนี้ เธอก็ยังคงได้เป็น "แสงสว่างอันงดงาม" ให้แก่น้องสาว
ในพื้นที่ของเพศหญิงตามเพศสภาพของเธอนั่นเอง
Lust VS Love: มุมมองที่แตกต่างของเพศชายและเพศหญิง
จากตอนที่ลูกค้าคนหนึ่งวิจารณ์ว่า งานภาพอิโรติคของเธอนั้นแม้จะมีความละเมียดมะไม
อ่อนช้อย อ่อนหวาน สวยงามสมสัดส่วน แต่มันกลับขาด "อารมณ์" ที่สมจริง
เพราะโออินั้นอายุราว ๆ 20 ปีเศษและยังไม่เคยมีประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์
กับชายคนไหนเลย หนำซ้ำเขายังนำงานของเธอไปเปรียบเทียบกับงานของเซ็นจิโระ
ที่แม้จะมีการวาดผิดสัดส่วน แต่ท่วงท่าลีลาของการมีเพศสัมพันธ์ของคนในภาพนั้น
สามารถถ่ายทอดอารมณ์สมจริงได้เป็นอย่างดี เป็นเพราะเซ็นจิโระนั้นเข้าออก
หอนางโลมเป็นว่าเล่น นั่นทำให้โออิโกรธที่ถูกหยามฝีมืออยู่ไม่น้อย
ต่างจากการที่เธอได้พบกับฮัตสึโกะโระ ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรักอย่างเงียบ ๆ
ในยามที่เธอเดินตากฝนอยู่ใกล้ชิดเขา เธอพยายามที่จดจำความรู้สึก
ที่เกิดขึ้นในใจพร้อมซึมซับเอาเสียง กลิ่น สัมผัสของเขาเอาไว้
เพื่อเก็บไปฝันถึงเพียงคนเดียว เช่น เธอรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและ
ความห่วงใยในฐานะเพื่อนร่วมงานและศิษย์สำนักเดียวกันที่เขามีต่อเธอ
ในขณะเดียวกัน กลิ่นหอมน้ำมันชะโลมผมที่โชยจากตัวเขา
ก็ทำให้เธอรู้ว่า เขานั้นแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เธอเคยพบ
เขาไม่มีกลิ่นเหม็นเหงื่อหรือกลิ่นตัวเพราะเขานั้นดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
และเป็นอีกข้อที่โออิระลึกได้ว่า เพศชายที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีนั้น
เป็นเพราะเขากำลังมีความรักหรือกำลังเดินทางไปหาคนรักนั่นเอง
ความโกรธที่ถูกวิจารณ์ผลงานและความเสียใจที่เริ่มรับรู้ว่า
เธอไม่มีวันได้ครองคู่กับคนที่เธอรักทำให้เธอตัดสินใจเข้าไปซื้อบริการ
จากโสเภณีชายคนหนึ่ง (Kagema) ซึ่งเธอก็รู้สึกอึกอัดใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องมี
เพศสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่เธอไม่ได้รัก ซึ่งตลอดเรื่องเราก็ไม่ได้มีทางรู้เลยว่า
เธอได้มีเพศสัมพันธ์กับเขาจริง ๆ หรือไม่ เพราะไม่มีการแสดงให้เห็นฉากนั้น
อย่างชัดเจน แต่เดาเอาว่า จากการที่ลูกค้าไม่ได้ปฏิเสธผลงานเธอเป็นครั้งที่สอง
ก็อาจเป็นไปได้ว่า เธอสามารถได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกการมีเพศสัมพันธ์
ระหว่างชายหญิงได้ดีขึ้นแล้วจริง ๆ
และความฝันที่โออิได้ฝันว่าเธอถูกพระโพธิสัตว์เหยียบจนตัวหายไป
ก็สามารถสื่อได้ว่า ตัวเธอกำลังถูกกดทับด้วยระบบปิตาธิปไตย
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความต้องการของเธอเองที่อยากเข้ามาในโลกของเพศชาย
แต่มันก็บีบบังคับให้เธอต้องปฏิบัติตัวราวกับเพศชายด้วย เช่น ท่าทางแข็งกร้าว
สูบยาเส้น ดื่มสาเก ทุ่มเททำงาน ลืมเรื่องความรักแบบโรแมนติค เดินเข้าหอ
โคมแดงและเสียพรหมจรรย์เพื่อให้ตัวเองได้เข้าใจประสบการณ์แห่งโลกียะ
ของความเป็นชายเพื่อนำเอามาถ่ายทอดศิลปะที่ตอบสนอง
อารมณ์เพศของผู้ชายให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
นี่เองจึงเป็นข้อสังเกตของเราว่า เอกลักษณ์ของศิลปินแต่ละคน
ล้วนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชื่นชอบ และทัศนคติส่วนบุคคล
โออิซึ่งเป็นเพศหญิงจึงได้ถ่ายทอดภาพเพศสัมพันธ์ของชายหญิง
ที่เต็มไปด้วย "ความรัก" ที่อ่อนหวานละมุนละไมตามมุมมองและความรู้สึกแบบ
เพศหญิงอันไม่ถูกจริตเพศชายส่วนมากที่เพศสัมพันธ์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จาก
"กามารมณ์" หรือ "ความรัก" ก็ได้
เพศวิถีที่ไหลลื่น (Gender Fluidity) ในยุคเอโดะ
จะเห็นได้ว่า มีฉากที่ตัวละครชายโพกผ้าปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิดเข้ามาซื้อบริการทางเพศ
จากสำนักโคมแดงที่มีโสเภณีชายประจำอยู่ และโสเภณีชายนั้นก็ได้ให้บริการแก่ทั้ง
ลูกค้าชายและลูกค้าหญิง (Bisexual) ทำให้เรารู้ได้ว่า ยุคเอโดะนั้น ชายรักชายนั้น
ยังเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมสาธารณะ แต่ก็มีพื้นที่บริการสำหรับผู้ที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกัน
พร้อมทั้งยังมีหนังสือภาพอิโรติคชาย-ชายหรือหญิง-หญิงวางจำหน่ายด้วย และยังบอก
เราได้ว่า รสนิยมทางเพศที่หลากหลายนั้น ไม่ได้เพิ่งมามีในยุคปัจจุบัน หากแต่อยู่คู่กับมนุษย์
มาทุกยุคทุกสมัย แต่ขึ้นอยู่กับว่าสมัยใดที่ให้การยอมรับและสามารถเปิดเผยได้นั่นเอง
(อ่านต่อในตอนที่ 2 Kurara:The Dazzling Life of Hokusai's Daughter ฉบับคนแสดงค่ะ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in