มันเป็นวันที่ฟ้าครึ้มกว่าครั้งไหน ยามเมื่อเขาก้าวออกจากบ้านพักสถานที่นัดหมาย ทิ้งซากศพร่างไร้วิญญาณชุ่มโชกเลือดไว้เบื้องหลังบานประตูที่ปิดลงฝังความลับไปตลอดกาล ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามมากุลีกุจอส่งเสื้อคลุมให้พร้อมถุงมือคู่ใหม่ ฟิลลิปกล่าวคำขอบคุณเพียงสั้น ก่อนจะละสายตาจากนภามัวหมองมาเป็นการกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมรอบตัว: สกปรก อดอยาก ผู้คนที่อยู๋ในทุพภิกขภาพนอนเค้งกันในเสื้อผ้าขาดวิ่น
ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอย่างไรจึงเร้นกายในสถานที่แห่งนี้-- หลังเข่นฆ่าไปนับร้อยพัน คิดว่าหากประพฤติตนเป็นพระผู้ช่วยให้รอดกลางดงสลัมเเล้วพระเจ้าจะรับเรากลับคืนสู่อ้อมอกพระองค์หรือ สำหรับพวกเราแล้ว ตัวตนที่เกิดและเติบโตในเงามืดเบื้องหลังสังคมคงถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของซาตานโดยบัตรผ่านวีไอพีต่างหาก ไม่มีพระคริสต์บนดินหรอก มีแต่ปีศาจที่แฝงกายอยู่ทุกที่
หลักฐานคือภาพตรงหน้า ดูได้ด้วยตา รับรู้ได้ด้วยเสียงโอดครวญ -- กระทั่งประเทศแห่งเสรีภาพยังมีอีสต์เอนด์แห่งลอนดอนเป็นของตัวเอง ปีศาจร้ายนามความแร้นเเค้นไม่เคยเลือกเหยื่อของมันอย่างเท่าเทียมฉันใด พระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น หากว่าพระองค์สถิตอยู่ คนเหล่านี้จะพากันรอความตายอยู่ที่นี่หรือ ฟิลลิปคิดอย่างเงียบงัน พรั่งพรูลมหายใจด้วยความรู้สึกหลากหลายยามเดินลัดเลาะไปตามตรอก “หมดธุระแล้ว รถรออยู่ข้างนอกใช่ไหม”
หมดธุระ -- ควรจะเป็นเช่นนั้นถ้าไม่ใช่ว่ามีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหา กรุณาอย่านับเลยว่าลูกน้องเขาแสดงสีหน้าละเหี่ยใจขนาดไหน อาจเป็นคนที่หกของวันนับตั้งเเต่ย่างเท้าเข้ามาที่นี่ ไม่แปลกนัก เพราะคนที่จะเเต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบร้อยมีภูมิฐาน แถมมีความเป็นไปได้ที่จะพกของราคาร่ำรวยมาเป็นเหยื่ออันโอชาถึงที่มีไม่มาก แต่ไม่ใช่ความผิดฟิลลิปเสียหน่อย นั่นเป็นหน้าที่ลูกน้องเขาที่ต้องรักษาความปลอดภัยต่างหาก
ว่าตามตรงนี่ยังดีกว่าประเทศทางใต้ที่ฟิลลิปเคยไปมา ขอทานผู้ร่ำร้องของเพียงเศษเงินประทังชีวิตจากนักเดินทางขาจรผู้แสนร่ำรวยยังคงเป็นิทานปรัมปราที่มีให้เห็นจริง
ไวเท่าผีเสื้อขยับปีกตื่นหนึ่ง; ผู้กระทำการอุกอาจก็โดนโต้ตอบกลับ ร่างนั้นโดนกดลงกับพื้น ทาบทับด้วยน้ำหนักของผู้มากประสบการณ์กว่า หากจัดการตักเตือนให้รู้ซึ้ง คนที่เหลือก็จะพากันหลบลี้ไปเอง
“ เดี๋ยว ” แต่แทนที่เขาจะผินกายหันหลัง มุ่งหน้าไปตามทางที่เคย -- เขากลับหยุดยืนที่เดิม ว่าเสียงทรงอำนาจออกไป
เด็ก -- อายุน้อยกว่าเขาไม่มากเท่าใดนัก หากประเมินด้วยสายตา เนื้อตัวมอมแมมราวเจ้าลูกหมาเปื้อนโคลน เส้นผมสีน้ำตาลนั่นทำให้อีกฝ่ายดูมอมแมมไปกว่าเก่า แต่หน่วยก้านนั้นไม่ถึงขั้นผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง (ก็นะ พิจารณาจากสิ่งที่พึ่งกระทำไป) ฟิลลิปเอียงคอ พิจไปยังดวงตา -- ลูกแก้วสีเทาวาววับ ฟิลลิปคิดว่าเขาเห็นบางอย่างในนั้น ความรู้สึกของเปลวเพลิงที่ยังคงมอดไหม้ด้วยประกายความหวังและการไขว่คว้ามาซึ่งการมีอยู่ของชีวิต
ใจกล้า? บ้าบิ่น? ทะเยอะทะยาน? จะนิยามอย่างไรก็เข้าท่าทั้งนั้น เหตุเพราะเราทั้งหลายเป็นมนุษย์ต่างหาก เราจึงใฝ่หาซึ่งการยื้อลมหายใจต่อไปอีกแม้เพียงวันหนึ่ง จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ทำให้ฟิลลิปนึงถึงที่คนเคยพูดกันไว้ หมาป่าอาจเป็นราชันย์แห่งสุนัข แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอันตรายไม่แพ้กันคือสุนัขที่หลังจนตรอก
เพราะเมื่อถึงเวลานั้น มันจะสู้และตะกุยตะกายโดยไม่รู้จักยอมแพ้เพื่อให้ได้กำชัยและรอดชีวิต
ใช้การได้นี่
ถึงใครต่อใครจะบอกว่าตอนนี้เขายังเด็กและเปี่ยมไปด้วยความใจดีเกินไป แต่ฟิลลิปมั่นใจในสายตาการมองคนของตัวเองอยู่พอสมควร จะเพชรในโคลนตมก็ดี หากนำมาเจียระไนขึ้นรูปแล้วมีประโยชน์ก็ไม่เสียหายถ้าจะลงทุนขุดเพชรนั้นขึ้นมา
เขาส่งสายตาให้ผู้ติดตามผ่อนแรงลงแต่ไม่ปล่อยจากการกักกุม ย่อตัวลงไปหาร่างที่ถูกกดลงกับพื้นนั้น คลี่ยิ้มพร่างพราย ถอดถุงมือแล้วยื่นมือเปลือยเปล่าให้ เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหากเเต่เป็นเหมือนปีศาจผู้กระซิบคำหวานล่อลวงมนุษย์ให้ร่วงหล่นสู๋ไฟนรกที่จะแผดเผาจนร้อนรุ่มจวบจนลมหายใจสุดท้าย
“ มาด้วยกันไหม? กินอิ่มนอนหลับกว่าสถานที่แบบนี้แน่นอน “
นั่น เป็นครั้งแรกที่เราพบกัน
ฟิลลิปไม่เชื่อในพระเจ้า พระองค์ไม่เคยเท่าเทียมหรอก
สิ่งเดียวที่ควรเชื่อ -- คือตัวเราเองต่างหาก
p.s. อย่าถามว่าลูกน้องเขาแสดงสีหน้าละเหี่ยใจ (อีกแล้ว) ขนาดไหนตอนที่ฟิลลิปมอบหมาย หิ้วคอเจ้าเด็กนี่ให้เอาไปฝึกอีกที
“ฝากด้วยนะ”-- “บอส ! แต่ว่า”-- “นายมีปัญหา?” -- “เปล่าครับ ด้วยความยินดี”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in