อาบู ดาบี คืนวันที่ 6 ตุลาคม 2559

ชาติลูกหนังดาวรุ่งพุ่งแรงของเอเชียอย่าง สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ (ยูเออี) ลงทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก พบกับทีมชาติไทย ตลอดการเล่น 90 นาที ยูเออี คุมเกมได้อย่างเป็นระบบ แม้ผู้มาเยือนจากเขตอาเซียนจะสร้างความหวั่นกลัวได้บ้างในหลายจังหวะ แต่สุดท้ายสิงห์ทะเลทรายจากชายฝั่งทะเลอ่าวเปอร์เซีย ก็เอาชนะช้างศึกจากแดนไกลไปได้ 3-1 เก็บอีกสามคะแนนสำคัญ ในภารกิจล่าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย สานต่อรุ่นพ่อที่เคยไปลุยฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีมาแล้ว

ก่อนหน้านั้นเดือนเศษ ยูเออี ประเดิมภารกิจรอบ 12 ทีมสุดท้าย ด้วยฟอร์มาการเล่นที่สุดยอด พวกเขาบุกไปเอาชนะญี่ปุ่น มหาอำนาจลูกหนังแห่งเอเชียได้ 2-1 เล่นเอาช็อกแฟนบอลเอเชียไปทั่วหน้า แต่ก่อนหน้านั้นในศึกเอเชี่ยนคัพ พวกเขาคือผู้เขี่ยญี่ปุ่น ในฐานะแชมป์เก่าตกรอบ เช่นกัน

จากชาติที่ยังไม่มีหลักปักฐานในแผนที่ลูกหนังเอเชียอยางสมบูรณ์นัก ผู้นำประเทศในเวลานั้น ต้องประกาศอัดฉีดผู้เล่น โดยจะแจกรถสปอร์ตสุดหรูให้นักเตะที่ทำประตูให้ทีมชาติในฟุตบอลโลกได้ และผู้โชคดีในครานั้นคือ คาลิด อิสมาอิล ที่ยิงประตูใส่เยอรมันตะวันตก กับ อาลี ทานี จูมา ที่ยิงใส่ยูโกสลาเวีย นับแต่นั้น พวกเขาก็ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ ผลงานที่ดีที่สุดคือรองแชมป์เอเชีย 1996 แต่นั่นก็เพราะปีนั้น พวกเขาเป็นเจ้าภาพ

ยูเออี เพิ่งจะกลับมายิ่งใหญ่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หากคุณจะบอกว่า เป็นเพราะเงินฟ่อนช่วยพวกเขา ก็บอกได้ว่า แค่เพียงส่วนเดียว หากแต่การวางระบบนักเตะทีมชาติแต่ละชุดที่ก้าวขึ้นไปทีละขั้น จากชุดเล็กที่เคยไปเล่นในฟุตบอลโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน ยกชุดสู่ทีมชุดใหญ่ที่ได้อันดับ 3 เอเชีย ซึ่งผลงานส่วนหนึ่งมาจากการโค่นญี่ปุ่นได้ในรอบ 8 ทีม กุนซือของทีมอย่าง มาห์ดี อาลี ก็ทำทีมชาติมาตั้งแตชุดเล็ก ก้าวขึ้นสุ่ชุดใหญ่พร้อมกับเด็กในคาถา นั่นทำให้ยูเออีน่ากลัวขึ้นมา พ.ศ. นี้

ศิษย์คนหน่งที่ มาห์ดี ภูมิใจมากๆ และเกมกับไทยที่่ผ่านมา เขาคือคนที่กระชากลากเลื้อยไปทั่วสนาม มีส่วนในการตอกส้นให้เพื่อนเปิดบอลเข้าไปทำประตูขึ้นนำ และบัญชาการเกมชนิดที่นักเตะไทย ต้องพึ่งหมอนวดวัดโพธิ์ ช่วยดัดหลังที่หักแล้วหักอีก จากการโดนหลอกล่อในสนาม โดยนักเตะหัวฟูคนนั้น

โอมาร์ อับดุลราห์มาน...

โอมาร์ เป็นนักเตะชั้นเชิงสูง ที่ส่วนสูงเพียง 173 เซนติเมตร แต่เท้าทั้งสองข้างของเขา เกี่ยวบอลว่องไวราวกับติดตะขอพกพาไวเสมอ เขาต่างจากนักเตะอาหรับที่เน้นแข็งแกร่ง และนิยมส่องไกลจากนอกกรอบเขตโทษ เขาอาจยังไม่มีเทคนิคที่แนบเนียนดั่งนักมายากลเชิงลูกหนังระดับโลกอย่าง เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างความตื่นตะลึงให้แฟนบอลทั่วโลก ถึงทักษะอันยอดเยี่ยม ทั้งในเกมถ่ายทอดสดก็ดี หรือตามยูทูปก็ดี

จริงๆ แล้ว โอมาร์ เกิดที่ซาอุดิอารเบีย ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน แต่เขาเลือกเล่นฟุตบอล เพราะมีพ่อเป็นอดีตผู้เล่น และเด็กๆ รอบชุมชนก็ไม่เล่นอะไรอย่างอื่นนอกจากหวดลูกหนังอย่างเดียว จนกระทั่งแมวมองท้องถิ่นไปเห็นทักษะของเขา และเข้าไปถามในวันหนึ่งว่า เธอเล่นฟุตบอลเป้นงานอดิเรกอย่างนั้นหรือ ไม่มีสโมสรฟุตบอลแถวนี้มาติดต่อเธอบ้างเลยหรือไง คำตอบที่โอมาร์บอกไปก็คือ ไม่มี และไม่น่าจะมี เพราะเขาไม่ได้ถือสัญชาติซาอุดิ ตามสถานที่เกิด แต่จำได้ว่าพ่อและแม่จากบ้านเกิด ซึ่งน่าจะเป็นเยเมน เพื่อมาทำงานที่นี่ นั่นทำให้แมวมองพาโอมาร์ไปตระเวนทดสอบฝีเท้า จนไปเข้าตาทีม อัล-ฮิลาล ยักษ์ใหญ่ของดินแดนเศรษฐีน้ำมันเข้า และดึงโอมาร์เข้าสู่ระบบเยาวชน แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป อัล-ฮิลาลตั้งข้อแม้ว่า โอมาร์ต้องเปลี่ยนมาถือสัญชาติซาอุดิอารเบีย นั่นทำให้โอมาร์ปฏิเสธและออกจากซาอุดิอารเบีย เพื่อกลับมายังบ้านเกิดที่แท้จริง เพราะ อัล-ไอน์ ทีมยักษ์ใหญ่ในยูเออี ดึงเขาไปร่วมงานด้วย พร้อมมอบสัญชาติให้แก่โอมาร์ และนี่คือสโมสรที่โอมาร์อยู่มาถึงปัจจุบัน

โอมาร์ เป็นดั่งชนาธิป สรงกระสินธ์ ในยูเออี ทั้งการเป็นที่รู้จักและสไตล์การเล่น ซึ่งต้องยอมรับว่าโอมาร์ดูจะเหนือกว่าชนาธิปในทุกด้าน กระทั่งเขาเคยไปฝึกฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2012 มาแล้ว แต่ไม่ผ่านการทดสอบ ทว่าใครจะรู้ว่า 4 ปีจากคราวนั้น มาในวันนี้ โอมาร์อาจจะพัฒนาจนแรงไม่หยุดฉุดไมอยู่ยิ่งกว่าเดิม ขนาด ชาบี เอร์นานเดซ ตำนานของบาร์เซโลน่า ยังเคยออกมากระตุ้นให้โอมาร์ รีบย้ายไปเล่นในยุโรปได้แล้ว เพราะช่วงนี้คือช่วงที่เหมาะที่สุด ที่โอมาร์จะไปหาความท้าทายใหม่ที่อื่น

นักวิเคราะห์ลูกหนังบางคนบอกว่า โอมาร์ เหมาะจะไปเล่นในลีกสเปน แตถึงตอนนี้ยังไม่มีสโมสรไหนที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา

แต่ก็ไม่แน่ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ยังมีอีก 9 นัด และถ้ายูเออี ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้ โดยมีไอ้หนุ่มหัวฟู เป็นผู้นำทัพแล้วล่ะก็ เราอาจได้เห็นบาร์เซโลน่า แอต มาดริด หรือเรอัล มาดริด สร้างคอนเนคชั่นในแนวรุกขึ้นมาใหม่ โดยมีโอมาร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกก็เป็นได้