— N สายแล้ว!
ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ผมนี่แหละที่มาสาย!
เราสามคนนัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนตีสี่ครึ่งเพราะเครื่องบินจะออกประมาณหกโมงห้าสิบ (ซึ่งไฟลต์ดันเลื่อนเร็วขึ้นเป็นหกโมงครึ่งโดยที่ผมไม่รู้ล่วงหน้าเฉยเลย แม้จะแค่ยี่สิบนาที แต่มันมีผลกระทบกับจอมสายแบบผมนะ ฮืออออ) พี่ตองกับหมอเก๋อไปกันตรงเวลาดี ออกจะรอบคอบไปก่อนเวลานิดหน่อยด้วยซ้ำ ผิดกับผมที่กว่าจะไปถึงก็ปาเข้าไปตีห้าเกือบครึ่งเรียกว่าเช็คอินเสร็จก็ต้องจ้ำอ้าวไปยังเกตกันเดี๋ยวนั้นเลย ความฝันจะไปนั่งชิลในเลานจ์ จิบชาร้อน กินขนมปังรองท้องก่อนขึ้นเครื่องแบบสไลว์ไลฟ์พังทลายลงในพริบตา บ้านเราไกลเลยกะเวลาผิดไปหน่อย เราขอโทษษษษ (ไม่เป็นไรแก เราไม่โกรธ—คำตอบจากพี่ตองและหมอเก๋อที่พูดผ่านรอยยิ้มในขณะกัดฟันกรอดอยู่)
— K เครื่องบินออกเดินทางตรงต่อเวลา สัญญาณแจ้งเตือนให้รัดเข็มขัดยังคงสว่างอยู่ข้างๆ สัญญาณห้ามเปิดอุปกรณ์อิเล็ก-ทรอนิกส์ ผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเฉยๆ แล้วปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป
น่าเสียดายที่มันไปได้ไม่ไกลถึงญี่ปุ่น เพราะไม่กี่นาทีผมก็มัววุ่นอยู่กับความเสียดายที่ตัดสินใจเลือกสายการบินนี้ เวลาไม่ได้สวยนัก กว่าจะถึงโตเกียวก็บ่ายแก่ๆ ไหนจะต้องต่อสายการบินในประเทศไปโอซาก้า เพื่อย่นระยะทางไปชิโกกุให้ใกล้ขึ้น แน่นอนว่าตั๋วราคาดีที่สุดตอนที่มันถูกซื้อ แต่เราก็ต้องปรับแผนให้สอดรับกับการไป-กลับสนามบินนาริตะด้วยการเพิ่มแผนเที่ยวโตเกียวในช่วงท้าย โดยมอบหมายให้พี่ตองเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการบอกว่า“พี่อยากพาไปไหนก็เอาเลย” ...ว่าแต่ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเรากำลังเอาเปรียบเฮียแกพิลึก
“ถ้าบินสายการบินอื่นคงไม่ต้องเสียวันแบบนี้เนอะ” ผมบ่นอุบอิบถึงอีกสายการบินที่เวลาดีกว่าเป็นไหนๆ ออกจากสนามบินที่ไทยตอนค่ำ ถึงโอซาก้าตอนสาย เท่ากับไม่เสียวันไปเปล่าๆ
“เอาน่า” เสียงตอบจากเพื่อนร่วมทางที่ส่งสารมาปลอบใจในน้ำเสียงกลายๆ ว่ามึงอย่าบ่นน่า ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว
สัญญาณไฟดับลง ตอนที่ผมบันทึกคำถามลงไปในสมุดว่าเราจ่ายเงินเป็นค่าอะไรใน ‘ค่าเดินทาง’ บ้าง?
แน่นอนว่ามีค่าเชื้อเพลิง ค่าอาหาร (ที่ถึงแม้จะอยากกินบ้างไม่อยากกินบ้าง) ค่าจ้างพนักงาน แล้วก็ค่าดูแลรักษายานพาหนะแต่ถ้าเรายอมจ่ายแพงเพื่อวิธีเดินทางที่เร็วขึ้น เพื่อเวลาที่ดีกว่าหรือเพื่อนำหน้าไปก่อนคนอื่น นั่นเท่ากับเป็นการใช้เงิน ‘ซื้อเวลา’ด้วยหรือเปล่า? แปลว่าเงินซื้อเวลาได้ใช่ไหม? อืม จะว่าไป...เราใช้เงินซื้ออะไรได้บ้างนะ?
— C
ถึงนาริตะเวลาบ่ายสาม หยิบกระเป๋าออกจากสายพานเข้ามาเดินเล่นในสนามบิน เพราะยังเข้าไปเช็กอินอีกไฟลต์ไม่ได้เขาให้เช็กได้ก่อนเวลาแค่ชั่วโมงครึ่ง เครื่องออกตั้งห้าโมงครึ่งเลยต้องร่อนเร่ ดีนะที่มีช้อปปิ้งมอลล์ให้เดินเล่น เพิ่งเคยเข้ามาเดินเหมือนกัน ก็สนุกตื่นตาดี
ตอนขึ้นเครื่องบินของสายการบินสีบานเย็นก็แปลกดีจนต้องขอบันทึกไว้ คือบนเครื่องแบ่งเป็นสองฝั่ง แถวละสามที่นั่งเอบีซี ดีอีเอฟ เขาก็เรียกให้แถวเอกับเอฟที่ติดหน้าต่างแต่ละฝั่งขึ้นก่อน แล้วก็ไล่มาแถวกลางคือบีและอี แล้วค่อยเรียกแถวติดทางเดินซีและดี ก็ดีนะ สะดวกแปลกๆ ดี แต่พวกที่มาคู่กันคงรู้สึกหวิวๆ เนอะ ต้องแยกกันขึ้น คงได้อารมณ์แบบ “ที่รักจ๊ะ เดี๋ยวเค้าตามไปนะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ อย่านอกใจเค้านะ จุ๊บๆ”
เฮ้อ พวกแกห่างกันสักห้านาทีได้ปะ (มองด้วยหางตาแบบคนขี้อิจฉา)
— K กว่าจะถึงโอซาก้าก็ราวสองทุ่ม ถึงตรงนี้เรายังต้องขึ้นรถบัสไปต่อรถไฟ เพื่อไปให้ถึงที่พักในตัวเมืองซึ่งจองไว้แถวย่านนัมบะ
“ทำไมเราไม่นอนที่นี่กันวะ?” ผมเงยหน้ามองตึกของโรงแรมนิกโก คันไซ แอร์พอร์ตที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็นึกได้ ถ้าเรานอนที่นี่คงประหยัดเวลาเดินทางไป-กลับในตัวเมืองโอซาก้าไปได้อีกเยอะแถมพรุ่งนี้เช้าก็ต้องกลับเข้ามารับรถเช่าที่สนามบินคันไซอยู่แล้วด้วย
“เออ แต่ค่าโรงแรมคืนละเท่าไหร่ก็ไม่รู้เนอะ” ผมบ่นกับตัวเองก่อนลากกระเป๋าขึ้นรถบัส ในใจพยายามบวกลบเลขไปด้วยว่าค่าเดินทางในโอซาก้าของเราสามคนจะพอจ่ายค่าโรงแรมไหมแต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้หาข้อมูลไว้ว่าโรงแรมที่นี่คืนละเท่าไหร่อยู่ดี
เราพาตัวเองมาขึ้นรถไฟสายนันไก เข้าตัวเมืองโอซาก้าด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้าลงทุกที นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ผ่านสามทุ่มมาได้ไม่นานนัก
ถึงจะดึกแล้ว แต่รถไฟก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนอาจเพราะนี่เป็นคืนวันเสาร์ ป้ายโฆษณาร้านอาหารตามท้องถนนจึงยังส่องสว่าง จินตนาการถึงอาหารญี่ปุ่นมื้อแรกในประเทศญี่ปุ่นของผมเลยเตลิดไปไกล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in