พวกเราเข้านอนหลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในเพื่อนร่วมทริปของเราคงเจอปัญหาเกี่ยวกับอากาศเย็น ๆ
ได้ยินเสียงเจ้าตัวสูดจมูก และถอนลมหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ค่อนคืนเลยทีเดียว สงสารจัง
เรากระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น พยายามลบภาพที่เราสร้างในหัว ภาพที่เราลุกขึ้นเพื่อทำอะไรสักอย่าง
เพื่อให้เสียงสูดหายใจนั่นเงียบลง หรือแสดงความห่วงใย อย่างการแลกที่นอน เพื่อให้ห้องนี้เงียบ
แล้วหลับกันได้สักที...นั่นแหละ เราเปล่าทำทั้งหมดนั่นหรอก สงสารนะ แต่ให้ทำไงได้ล่ะวะ สุดท้ายเราก็
หลับไปทั้งอย่างนั้น จริง ๆ ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แค่รู้สึกสงสารนิดหน่อยเท่านั้นเอง จริง ไม่ได้ล้อเล่น
เราตื่นอีกครั้งตอนเกือบ ๆ สิบโมง ได้ยินเสียงเล่าติดตลกว่าเมื่อคืนมีหลายชีวิตลุกมาเข้าห้องน้ำช่วงดึก
เพราะประตูที่กั้นห้องเป็นบานกระจก เพราะความมืดมิด เพราะความง่วงงุน เลยทำให้เกิดเรื่องขำขันขึ้น
เราหัวเราะในตอนที่เพื่อนเล่าว่าเขาเดินเอาหัวกระแทกประตูกระจก และอีกสองชีวิตที่พบชะตากรรม
คล้าย ๆ กันเช่นกัน หลังจากแยกกันอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย หลาย ๆ คน เริ่มทานอาหารที่เป็นเซอร์วิส
จากที่พักที่เตรียมมาให้ ไข่ดาว ขนมปัง ซอสมะเขือเทศ เราจัดการอาหารเงียบ ๆ พร้อมกับเพื่อนคนอื่น
เราอมยิ้มหน่อย ๆ เมื่อนึกถึงประโยคที่เพื่อนแซวเราก่อนหน้านี้ เราสวมเดรสสีขาวตัวโคร่ง
ความยาวของมันมากพอที่จะคลุมต้นขารวมไปถึงกางเกงขาสั้นสีดำของเราเช่นกัน เจ้าตัวบอกว่า
ไม่ชิน เพราะปกติเราไม่ใส่อะไรแบบนี้ พอได้ยินแบบนั้นแล้วเราเองก็ปั้นหน้าไม่ถูก แต่..ไม่แย่หรอก
เรานอนอยู่บนเปลสาน บนตักมีผ้าห่มหนึ่งผืน ด้านข้างเป็นเพื่อนที่กำลังซดโค้กอย่างเมามัน
เราจับสร้อยข้อมือที่แขนซ้ายอย่างเหม่อลอย เจ็บแปลบในช่วงอกไปนิดหน่อยในตอนที่ยกมัน
ขึ้นแล้วเก็บภาพนั้นไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่คนให้น่ะทิ้งไปแล้วแท้ ๆ ทำไม ทำไมกันนะ..
กางเกงยีนขายาวกับเสื้อแขนยาวสีสันสดใสนั่นดึงดูดความสนใจเรามากทีเดียว เขาเดินออกมาจาก
ห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่โปะอยู่บนหัว เจ้าตัวในสภาพหลังอาบน้ำชวนให้หัวใจเกิดความรู้สึก
ครั่นคร้ามสายหนึ่งอย่างโง่งม เรายิ้มในตอนที่กดชัตเตอร์ ภาพนี้คงจะเติมพลังให้เราได้หลายขุมทีเดียว
หลังจากนั้นพวกเราก็ยังได้ไปอีกหลายหาด ขับรถหลงกันจ้าละหวั่น ขึ้นไปดูกังหันบนยอดเขาแบบงง ๆ
ขับรถลงจากความสูงชันนั่นอย่างงง ๆ มันเป็นภาพที่ชวนอิหยังวะหน่อย ๆ ที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ (อันที่จริงเราไม่คิดว่าตัวเองจะตัวเล็กที่สุดในกลุ่มจนกระทั่งมาเปิดดูรูปรวมคนในทริปนั่นแหละ) ขับมอไซค์ซ้อนด้วยผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่ง อืม เรากับเดรสสีขาวนั่นแหละ มันไม่แย่ เราสนุกกับภาพจำแบบนั้นมากทีเดียว
พอถึงเวลากลับ พวกเราทั้งหมดก็นั่งเรือด้วยสภาพที่ค่อนข้างล้าต่อแดดพอสมควร ต่อจากเรือก็รถตู้
ก็ไม่รู้ว่าตอนที่ส่งเขาลงที่ท่ารถของจังหวัดนี้เราทำหน้าตาแบบไหน เขาแค่บอกว่า ไว้เจอกัน แล้ว
โบกมือบ้ายบายคนอื่น ๆ ในรถ เพราะว่าต่อจากนี้เป็นปิดเทอม มันก็แค่นั้น เราค่อนข้างมั่นใจว่าไม่
ได้ทำอะไรแปลก ๆ ออกไป อืมม มั่นใจมาก ๆ จนกระทั่งสองวันหลังจากนั้นที่เราโอดครวญเกี่ยวกับ
สถานะเฟรนด์โซนโง่ ๆ ของตัวเอง ที่จะนึกถึงกี่ครั้งก็..น่าตี
ใช่ แล้วหนึ่งในเพื่อนร่วมทริปก็รีพลายมา เจ้าตัวเดาออกทันทีว่าเราชอบเขา
เป็นเขาแน่ ๆ จะเป็นใครได้อีกในเมื่อวันที่กลับจากทริปแล้วลงจากรถตู้มันมีซัมติง
หัวเราแบลงก์ไปเกือบ ๆ ครึ่งนาที มันอะไรกันล่ะนั่น...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in