
เดินเล่นกับซาร่าสนุกที่สุด
เช้านี้ที่สตอกโฮล์มที่บ้านมิแรนด้า ประมาณเก้าโมงกว่าๆ ได้ มิแรนด้าเดินเข้ามาบอกว่าจะออกไปทำงานแล้ว ถ้าเราอยากจะออกไปไหนก็อย่าลืมว่าไม่มีกุญแจสำรอง ถ้าออกแล้วก็ออกเลย อย่าลืมของ และถ้าอยากเข้าบ้านให้โทรหา แต่น่าจะเป็นประมาณบ่ายสามเป็นต้นไป เพราะเธอจะเลิกงานประมาณนั้น เราตอบตกลงและรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อรู้ว่าจะได้อยู่คนเดียว หลังจากแอบรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่และกับตัวเธอเอง (แต่ไม่ได้ไม่ชอบนะ) มิแรนด้าถามว่าเย็นนี้อยากไปไหนก็บอกได้นะ จะพาไปได้ เราบอกว่าโอเค เดี๋ยวจะติดต่อไปอีกที เธอบอกลาแล้วก็ทิ้งให้เราอยู่คนเดียว...
ใช่... อยู่คนเดียว และชั้นเป็นคนแปลกหน้า เรานั่งอึ้งอยู่สักพักกับความไว้ใจที่มิแรนด้าให้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลยเนี่ยนะ เธอไปเอาอะไรมาไว้ใจขนาดนั้นวะ นี่งงมาก งงจนตอนนั้นต้องตั้งสเตตัสบอกให้เพื่อนๆ ที่ไทยรู้ว่านอกจากมิแรนด้าจะสวยโคตรๆ แล้ว ยังไว้ใจกูแบบเต็มแม็กซ์ด้วย นี่ไม่เข้าใจ ถ้าเกิดผีโจรเข้าสิงนี่ชั้นสามารถแบกคอมหรือของในห้องนางออกไปแล้วไม่กลับมาเลยก็ยังได้นะ โอ๊ย ความไว้ใจของคน กราบใจมิแรนด้า 555 แต่เราก็ไม่ได้คิดจะยุ่งอะไรกับของนาง นอกเสียจากแอบดูว่าเธอใช้น้ำหอมของอะไร เพราะกลิ่นมันช่างดึงดูดใจและทำให้ใจหวั่นไหวอย่างมาก... ไม่รู้พูดเรื่องนี้ไปรึยัง แต่ผู้หญิงที่นี่ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นน้ำหอมส่วนตัวที่ชวนให้หลงเสน่ห์มาก ไม่ได้กลิ่นแรงแบบเว่อร์ๆ แต่มีกลิ่นพอที่จะเป็น first impression หรือแม้แต่ปฏิกิริยาการดึงดูดกัน มันมีผลมาก... วันนี้เราไม่มีแพลนอะไรทั้งสิ้น ตามประสาคนกากๆ เที่ยวแบบตามใจ พอท้องร้องหิวก็ไปเอาซูชิที่เหลือจากเมื่อวานตอนเย็นมากิน มิแรนด้าแช่ตู้เย็นไว้ให้ ดีใจที่มีอะไรกินในเช้านี้ เพราะก็โง่ง่อยไม่มีอะไรมาประกอบอาหารเองและไม่อยากรบกวนนางหรือของๆ นางเท่าไหร่นัก เลยนั่งกินซูชิที่ไม่ได้ขอซอสมา ก็ลงเอยด้วยน้ำปลาตราทิพรสที่แบกมาจากประเทศไทยไปด้วย อืมมมม ซูชิกับน้ำปลา ก็ไม่แย่เสมอไปนะ

ซูชิกับน้ำปลาที่แท้จริง
…ความจริงมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเยอะมากในวันนี้ มีนัดกับหลายคนมาก และไปหลายที่มาก แต่ขอตัดไปเล่าที่ความพีคที่สุดและ permanent ที่สุดในใจก็แล้วกันนะ...พูดถึงเธอกันบ้างดีกว่า ตัวละครที่โดดเด่นที่สุด ไม่ว่าจะพูดถึงครั้งไหน ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
ซาร่า...
เธอเป็นสาวจากสตอกโฮล์มอีกคนที่เราคุยกันในเว็บคู่ใจ couchsurfing.com ตั้งแต่ยังไม่จองตั๋วมา จนกระทั่งจองตั๋วเครื่องบินแล้ว จ่ายตังค์แล้ว และจองที่พักแล้ว เราคุยกับเธอมาตลอดและถามนู่นนี่นั่น เธอก็ช่วยเหลือเราดีและตอบอย่างสม่ำเสมอ จนมาถึงวันที่ใกล้มา และวันก่อนๆ ที่มาถึง เราไม่ได้ติดต่อเธอไปและก็เกือบลืมไปเหมือนกัน เนื่องจากไปคุยกับคนไว้เยอะมาก และใครที่ว่างก่อนและเรานัดเจอได้ก่อน ก็เจอคนนั้น ถ้าเรายุ่งกว่านี้ และเจอคนมากกว่านี้ เราอาจจะไม่ติดต่อเธอกลับไปอีกก็ได้ ใครจะไปรู้...
เราจำได้ว่าเคยขอเบอร์ซาร่าและเมมเอาไว้ในโทรศัพท์ตั้งแต่ก่อนมา วันนี้ตอนที่นั่งกินเบียร์คนเดียวฆ่าเวลาอยู่ที่ Gamla stan ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คุยกับซาร่า เลยส่งข้อความไปในมือถือโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ปรากฏว่าซาร่าตอบกลับมาในเวลาไม่นาน และบอกว่าเย็นนี้ว่างตั้งแต่ 6 โมงเย็นเป็นต้นไป อยากไปดูหนังกันมั้ย เป็นหนังแบบขาวดำสมัยก่อน เราคิดในใจ.. ไม่ค่อยอยากดูหนังอ่ะ แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่มีใคร และจะมีเธอมาเป็นเพื่อนก็เลยไม่อยากปฏิเสธ เลยตอบไปว่าโอเค แล้วเจอกัน หลังจากนั้นเรามีนัดไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กับสองสาวจากสวิสเซอร์แลนด์ก่อน แล้วก็แยกกันและกลับมาเจอกับซาร่าที่สถานี Slussen ที่นัดเอาไว้

เท่าที่จำได้ เราคิดมาตลอดว่าซาร่าน่าจะเป็นผู้หญิงแรงๆ เปรี้ยวๆ มั่นใจๆ หน่อย เพราะดูจากในรูปโปร์ไฟล์ใน couchsurfing ของเธอแล้วมันเป็นแบบนั้น เธอเป็นสาวหน้าคมแขกๆ ผมสีดำหยิกเป็นลอนแบบธรรมชาติ และดูมีสไตล์ที่เก๋ไม่เหมือนใคร (หนุ่มๆ สาวๆ สตอกโฮล์มส่วนมากมีสไตล์กันทุกคน แต่ซาร่าไม่เหมือนใคร) และแม้กระทั่งอ่านฟีดแบ็คและข้อความจากใครหลายๆ คนที่เคยเจอซาร่าแล้วก็ต้องเตรียมใจรักเธอไว้เลย เพราะทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเธอเป็นคนที่น่ารัก เจ๋ง และสามารถทำให้ทุกที่มีสีสันได้แค่เพียงเธอเดินเข้ามา เราไม่รู้หรอกว่าซาร่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ มั้ย แต่เธอคงไนซ์น่าดู ระหว่างที่นั่งรอก็ฟังเพลงไป ส่งข้อความถามตอบกันเรื่อยๆ ว่าอยู่ตรงไหน ให้เรารอตรงไหน นัดกันไม่ยาก
จนในที่สุดเราเห็นซาร่าเดินลงมาจากบันไดเลื่อนของสถานี... วินาทีนั้นยอมใจ ยอมทุกอย่าง ลืมทุกอย่างที่เคยเจอมาที่สตอกโฮล์มทั้งหมดทั้งมวล
ซาร่ารู้ว่าเราคือคนที่รออยู่ เธอเดินตรงเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่หวานที่สุดและกอดทักทายเรา เราได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเธอ ที่ทำให้เราประทับใจทุกอย่างของเธอตั้งแต่แรกเจอ ซาร่าเอ่ยปากทักทายและบอกกับเราว่าคงไปดูหนังไม่ทันแล้ว เราไปที่อื่นกันดีกว่า เราตอบตกลงโดยไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเมื่อซาร่ายืนอยู่ตรงนี้ เราไม่รู้สึกอะไรอื่นนอกจากอยากไปทุกที่ที่ซาร่าจะพาไป ซาร่าเป็นสาวน้อยร่างเล็ก ไม่สูงไปกว่าเราเท่าไหร่นัก และหุ่นดี ผอม เธอใส่ชุดเหมือนเสื้อโค้ทบางๆ ยาวๆ สีครีม ใส่เสื้อลายๆ สีม่วงข้างใน และกางเกงขายาวพร้อมกับกระเป๋าและรองเท้าที่เข้ากัน เธอแต่งตัวดีมาก ดูมีเสน่ห์ ใช่.. ซาร่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ ชาร์มมิ่งมาก มากจนเราเอาใจเป็นประกันเลยว่าไม่ว่าใครมาเจอเธอก็ต้องตกหลุมรักเธอแน่นอน เราบ่นเรื่องใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือไม่ได้ระหว่างนั่งอยู่บนรถไฟ ซาร่าเลยเอาโทรศัพท์เราไปดู แล้วถามว่าใช้เน็ตของอะไร แล้วเธอก็เสิร์ชในเว็บด้วยมือถือเธอหาทางแก้ให้เรา เธอถามว่ายังมีบัตรเติมเงินของมันอยู่มั้ย เราไม่รู้ว่าเก็บไว้ไหน ซาร่าเลยพยายามจะหาเบอร์ call center เพื่อโทรไป แต่เราก็หาเบอร์ไม่เจอกัน ไม่รู้ทำไม อีกเรื่องนึงที่เราอยากจะย้ำซ้ำๆ อีกหลายๆ รอบก็คือคนสวีเดนเกือบทุกคนที่เราเจอจะมีความ helpful สูงมาก ไม่ว่าเราจะเอ่ยปากขอให้ช่วยหรือบอกปัญหาอะไรสักอย่าง พวกเธอจะช่วยจนสุดความสามารถ และเมื่อเน็ตของเรายังใช้ไม่ได้ ซาร่าบอกว่าให้เตือนเธออีกรอบแล้วจะไปถามที่ร้านกัน สักพักซาร่าเพิ่งรู้ตัวว่านั่งรถไฟผิดสาย เธอเลยพาเราเดินลงมาแล้วเดินไปขึ้นอีกฝั่ง เราตามเธอไปแต่โดยดีและไม่เอ่ยปากถามอะไรทั้งสิ้น เหมือนยอมทุกอย่างและหลงใหลในความอารมณ์ดีอยากเป็นผู้นำของเธอ ระหว่างทางซาร่าชวนเราคุยนู่นนี่เรื่อยเปื่อย ถามนู่นนี่ตามประสาคนเพิ่งรู้จักกัน เรามาลงที่สถานี Medborgarplatsen ซาร่าบอกว่าที่นี่เปรียบเสมือน SoHo ของสตอกโฮล์ม จากที่ดูก็น่าจะใช่ เพราะตลอดทางมีแต่ร้านอาหาร ห้าง และร้านค้าเต็มไปหมด ผู้คนเดินกันเยอะแยะและบรรยากาศอบอุ่นน่ารักมาก ซาร่าบอกว่าไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วจะพาไปเดินเล่นริมแม่น้ำ เราดีใจและตอบตกลง รู้สึกประทับใจในความเป็นไกด์ที่น่ารักและเอาใจใส่ของเธอจริงๆ มีตอนนึงที่เราเดินผ่านร้านอะไรสักอย่าง แล้วซาร่าบอกเราว่า แป๊บนึงนะ แล้วเธอก็เดินไปดูอะไรสักอย่างไม่รู้ แต่เราหันไปเห็นดิสเพลย์หน้าร้านเครื่องดนตรีว่ามีกลองชุด มีกีต้าร์ และเครื่องดนตรีต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่นานมานี้หรือเร็วๆ นี้น่าจะมีการแสดงที่นี่ เราหยุดดูอย่างสนใจ ซาร่ามองตามเราแล้วถามว่าเราเล่นดนตรีเป็นมั้ย เราบอกว่าเล่นเป็น และมีวงอยู่ด้วย เท่านั้นแหละ ตาเธอเป็นประกายขึ้นมา และพลังความสนใจในตัวเราก็เพิ่มขึ้นอีก 5 แต้ม เราหัวเราะและคุยกันอย่างสนุกสนาน ซาร่าดูจะสนใจที่เราเล่นดนตรีเป็น และถามว่าเล่นแนวไหน วงอะไร เล่นกับใคร มีคลิปวีดิโอให้ดูมั้ย เราดีใจที่เธอถาม และตอบว่ามี เดี๋ยวเอาให้ดูนะ เธอยิ้ม
Café Blå Lotus, Stockholm
เราเดินกันจนมาถึงย่านที่มีร้านอาหารเยอะที่สุด เดินผ่านร้านอาหารไทยที่ชื่อ เกาะพงัน (Koh Phangnan) ที่ฝรั่งจะเรียกออกเสียงประมาณว่า เกาะพันยัน 55555 เพราะชื่อมันน่าจะอ่านยากและสับสนสำหรับฝรั่งพอสมควร แต่เราไม่ได้หยุดที่ร้านนี้ เราไปติดใจับอีกย่านนึงที่มีแต่ร้านเล็กๆ แนวๆ คาเฟ่ที่ตกแต่งสวยงามทุกร้าน ซาร่าให้เราเป็นคนเลือกและพาเข้าไปดูร้านที่เราสนใจ เราสนใจร้านแรก มีความฮิปสเตอร์และความลึกลับอยู่ แต่พอเข้าไปดูเมนูอาหารแล้วก็ยังไม่ใช่ เลยออกมา แล้วในที่สุดก็ไปลงเอยกันที่ร้านที่เหมือนมีมนต์เสน่ห์บางอย่างดึงดูดเราเข้าไป ร้านนี้ชื่อว่า Café Blå Lotus หรือแปลว่า ร้านดอกบัวสีฟ้านั่นเอง เราเดินเข้าไปในร้านแล้วซาร่าก็ทักทายพนักงานด้วยเสน่ห์ของเธอ เรารักในความอัธยาศัยดีและเคมีพลังบวกของเธอที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเธอ คือเธอเป็นคนที่สามารถไนซ์กับทุกคนที่เจอได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เพราะแบบเนี้ยถึงทำให้เรารู้สึกว่าเราชอบเธอมากแม้เธอจะไม่ต้องพยายามอะไรเลย ซาร่าอ่านเมนูทั้งหมดให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษ เราตกลงเอาร้านนี้ และมองไปรอบๆ ร้านที่มีการตกแต่งด้วยสีแดง สีฟ้า สีเขียว ด้วยสไตล์กึ่งๆ เอเชียผสมตะวันออกกลางและยุโรป ทุกอย่างเจ๋งมาก เราชอบร้านนี้มากๆ พอสั่งอาหารเสร็จ อีกเรื่องที่ต้องทำให้ซาร่าขโมยใจไปอีกก็คือเธอขอจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดที่สั่ง แม้ว่าเราจะเถียงเธอแล้วก็ตาม รอยยิ้มเธอทำให้เราต้องเงียบๆ แล้วยิ้มให้เธอด้วยความประทับใจ
เราเดินเข้าไปนั่งในห้องเล็กๆ ข้างในสุดของร้าน เป็นอะไรที่เข้ากับเราสองคนมาก เพราะห้องนี้เป็นสีแดงทั้งหมด และบนผนังติดรูปวาดผู้หญิงลึกลับบ้าง ผู้หญิงคนจีนใส่ชุดกี่เพ้าบ้าง และผู้หญิงที่จ้องมองมาที่เราสองคน ไม่มีใครอื่นในห้องนี้ เราเลยเลือกนั่งโต๊ะที่ชอบ จนกระทั่งอาหารมา เรากินกันและคุยกันถามนู่นนี่ ซาร่าบอกว่าเธอทำงานอยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์ละครสัตว์ และเล่าให้ฟังว่าเธอชอบเล่นละคร ชอบการแสดง ชอบเต้น ชอบไปปาร์ตี้ เธอชอบเรื่องราวการเคลื่อนไหวทางสังคม เรื่องการเมืองและที่สำคัญคือเรื่องเพศ เธอก็เป็นสาวน้อยอีกคนที่ออกตัวอยู่ในกลุ่ม Queer และเพศที่สาม และก็เล่าเรื่องที่เธอเพิ่งไปเที่ยวแถวชานเมือง ไปเดินป่ากับเพื่อนๆ มา เธอเอ่ยปากชวนว่าถ้ามีเวลาไว้คราวหลังไปกันนะ เรายิ้ม ..ไปแน่นอนอยู่แล้ว ถ้ากับเธอ (คิดในใจ) พอเรากินกันเสร็จ เรากินเหลือเลยให้เค้าห่อกลับบ้านให้ (นี่กินเหลือทุกมื้อ เหมือนจะไม่ชินกับอาหารฝรั่ง 5555) ซาร่าเลยชวนย้ายไปนั่งตรงโต๊ะโซฟาแล้วเราก็คุยกันต่อ เรามีเบียร์ที่สั่งมา เบียร์ชื่อประมาณว่า 3 Hearts เป็นชื่อที่เราชอบมาก เรานั่งคุยกันสักพักแล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เวลานี้มันผ่านไปเลย เลยเอ่ยปากขอถ่ายรูปเธอด้วยความ awkward นิดๆ แต่เธอยิ้มแล้วบอกว่าถ่ายได้เลย แล้วเราก็เลยชวนเธอมาถ่ายรูปคู่กันด้วย ซาร่าเลยมานั่งข้างๆ เราแล้วเอามือถือเรามาเซลฟี่กัน เธอชอบถ่ายรูปให้เรา ทำตัวเหมือนเป็นไกด์ที่น่ารักตลอดเวลา พอเราคุยกันเสร็จซาร่าเลยชวนไปร้านอื่น ไปหาอะไรดื่มกัน เราเลยลุกขึ้น แล้วก็ต้องให้ใจซาร่าอีกรอบเพราะเธอหยิบขวดและแก้วที่เรากินกันทั้งหมดเพื่อเอาไปให้พนักงานที่โต๊ะ... โอ๊ยแม่คุณ อะไรจะน่ารักขนาดนี้ ก็แอบกรี๊ดในใจ คือไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ แต่เธอก็ทำ 555 เราออกจากร้านและไปหยุดที่ร้านขายค็อกเทล ซึ่งบรรยากาศตอนนี้คือมันยังสว่างเหมือน 5 โมงเย็นบ้านเรา แต่ตอนนี้คือสองทุ่มกว่าๆ แล้ว เราแอบรู้สึกไม่ชินกับการนั่งดริ๊งทั้งๆ ที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกขนาดนี้ พออยู่กับซาร่าแล้วอยากจะดื่มอะไรให้มันเมาๆ พอจะคุยกับเธอให้ได้มากกว่านี้หน่อย แต่ที่สุดแล้วเราก็สั่งแค่ Mojito แก้วนึง และเธอก็สั่งอะไรสักอย่าง ที่ขอให้บาร์เทนเดอร์ไม่ต้องใส่แอลกอฮอล์ “ทำไมไม่ใส่แอลกอฮอล์ล่ะเธอ?” เราถาม “ไม่ได้ อาทิตย์ที่ผ่านมากินมาเยอะแล้ว” เธอพูดแล้วยังคงยืนยันในความสตรองในโนแอลของเธอ โอเค ยอม เรานั่งกันสักพัก คุยกันเรื่อยเปื่อย เธอบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เราต้องชอบแน่ๆ เรารู้สึกว่าซาร่ามีความ free spirited บางอย่างที่ทำให้เธอเป็นคนที่ไปไหนมาไหนตลอด เธอดูสันโดษและดูจะค้นหาอะไรบางอย่างในชีวิตและคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เธอจะเป็นคนที่น่ารักและเฟรนด์ลี่มาก แต่เธอก็มีมุมที่เธอดูจะอยู่กับความคิดของตัวเองตลอด และความคิดเหล่านั้นก็เป็นภาพที่เหมือนดาวล้านๆ ดวงบนท้องฟ้ามืดๆ ดำๆ ดูไม่ออกแต่มันก็น่าจะสวยดีแฮะ

ซาร่า...
เราออกจากร้านนั้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะที่ใหญ่มากในละแวกนี้ มารู้ทีหลังว่าสวนนี้มีชื่อว่า Vitabergsparken หรือ Vita Bergen เป็นสวนที่ใหญ่ถึงขนาดมีบ้านคนหลายๆ หลังอยู่ในนั้น เหมือนแอบมีความเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในสวน และเป็นบ้านที่ดูจะมีตังค์หน่อย บ้านสวยและน่าอยู่มาก เราเดินผ่านบ้านเหล่านั้น ผ่านโบสถ์โซเฟีย เราหยุดเพื่อถ่ายรูป ซาร่าชอบถ่ายรูปให้เรา แต่เราก็เขินจนรูปออกมาแบบหน้าเงิบๆ บ้างอะไรบ้าง เราหยุดมองวิวแล้วซาร่าก็พูดว่า “ถ่ายรูปเอาไว้สิ เธอจะได้จำที่นี่ได้” เรายิ้มและคิดในใจว่า ไม่ถ่ายเราก็จำได้แม่นแน่นอน เราเดิน เดิน เดินไปเรื่อยๆ ซาร่าเดินเก่งมาก เราก็ตามซาร่าไปทุกที่ที่เธอนำไป เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรจะพูดกันมาก แต่เหมือนว่ายังคงมีเวทมนต์บางอย่างลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา เวลาเราอยู่กับเธอ ซาร่าพาเราเดินรอบๆ สวนจนเราแอบรู้สึกว่า นี่เธอหลอกพารามาทำอะไรรึเปล่าเนี่ย? 555 แต่ถ้าหลอกจริงๆ ก็ยอม เพราะอยู่กันมาจนป่านนี้แล้ว คงไม่หนีไปไหนแล้วแหละจ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in