เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ความสุข (น.) : เรื่องสั้นโดยนางสาวอภิญญา นกทองSameshithappenedeveryday
รติ
  • แกร๊ก…

    “ครับคุณนายหญิง” เขาตอบพลางหันมองประตูที่เปิดผาง เสียงหัวเราะคิกคักเล็ดลอดออกจากห้องโถงใหญ่ ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังยิ้มร่า เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นลวก ๆ เลอะสีประปราย ชายหนุ่มหันมามองมุทา รอยยิ้มยังปรากฏค้างไว้แบบนั้น 

    เหมือนโลกหยุดหมุน บรรยายคงละม้ายคล้ายกันหมด จังหวะหายใจหยุดชั่วขณะที่เขาเคยฟังเจ้าเพรียงเล่าถึงผู้ชายต่างอำเภอที่เจอะเจอแล้วเกี้ยวพาราสีกัน หรือมันไม่เหมือนกันนะ เขาไม่ทันเห็นคุณนายที่เดินแทรกเข้าไป ใบไม้จากกุหลาบสีซีดที่กำลังร่วงจากแจกัน เสียงนกหรือก็แสนจะเบา แสงสีทองอบอุ่นที่เล็ดลอดแอบซ่อนแทรกตัวผ่านบานหน้าต่างก็หรี่ไปเสียหมด ตอนนี้เสมือนหนึ่งว่าเสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงชายหนุ่มตรงหน้าหายใจ เขารู้ดีว่ามันเบากว่าเสียงนกหรือเสียงคุณนายพูด อาจจะเบากว่าเสียงลมโหยด้วยซ้ำ เพียงแต่มันดังเหลือเกินในโสตประสาทเขา ที่ดังยิ่งกว่าคือเสียงหัวใจของเขานั่นเอง ความสว่างทั้งหมดในห้องพร้อมใจกันสลัวลงเพราะไม่อยากให้ร่างชายหนุ่มตรงหน้าเขามัวหมองหรือเปล่า โลกในดวงตาของมุทาราวกับเป็นใจเหลือเกินให้เขาเห็นลูกชายเจ้าของบ้านหลังนี้โดดเด่นออกมาจากสิ่งไร้ชีวิตและมีชีวิตทั้งหมด 

    มันเหมือนกันกับจังหวะตกหลุมรักของคนอื่นบนโลกใช่ไหม เขาเรียกมันว่าอาการตกหลุมรักได้หรือเปล่า หรือมันเป็นเพียงชั่วขณะหลงงมงาย แล้วไม่นานจากนี้เขาจะหายดี มุทาไม่แน่ใจแต่สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจเขาคือ เขาชอบความรู้สึกนี้เหลือเกิน 

    เพียงแต่มันคือสิ่งต้องห้าม เพราะทั้งมุทาและชายหนุ่มคนนั้นคือผู้ชาย ใช่แล้ว ความรักก่อเกิดพร้อมกับความรู้สึกแน่แท้ว่าเรื่องราวเลวร้ายและความโหยหาอาวรณ์กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เขารู้ดี คนทั้งโลกรู้ดี

    แต่อย่างที่เรื่องราวความรักอันจะเป็นที่จดจำได้นั้นต้องผ่านเรื่องราวทุกข์ทรมานอย่างน้อยที่สุดหนึ่งเรื่องราว โลกมันก็เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ ความรัก ความกระเษมสานต์ อนุสรณ์แห่งสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว ความเจ็บปวดเหลือแสน และลงท้ายด้วยความตายอย่างที่มนุษย์ทุกคนควรจะเป็น


    “สวัสดี” เสียงทุ่มต่ำของชายวัยกลางคนดึงมุทาออกจากภวังค์ เขาหันมอง นึกในใจว่าคงจะเป็นนายท่านของบ้านหลังนี้ ด้วยท่าทางวางมาดเนี๊ยบทุกกระเบียดอย่างที่คุณนายหญิงกล่าวกับเขาก่อนหน้า เสื้อสะอาดสะอ้านติดกระดุมจนถึงคอ ใบหน้าไร้หนวดเครา กางเกงก็แสนจะประณีต

    “คิก ๆ ทึ่งเลยล่ะซิ นายต้องตัดผมให้ผู้ชายที่ไม่มีผมรุงรังให้ตัดด้วยซ้ำ” 

    “เงียบ รติ” โอ้ หนุ่มคนนั้นชื่อรตินี่เอง

    “ผมรตินะ นายมุทาใช่ไหม แปลกดีที่ชื่อเรามีความหมายเหมือนกันเปี๊ยบ เหมือนผมเป็นไวพจน์ของคุณ คุณเป็นไวพจน์ของผม — เรา…” ไม่ว่าไวพจน์อะไรนั่นจะแปลว่าอะไร มุทาก็ยินดีเหลือเกินที่จะเป็น เสียงไพเราะของรติทำให้มุทาพูดอะไรไม่ออกด้วยกลัวจะขัดขวางการบรรยายเจื้อยแจ้วนั่น เขาอยากได้ยินมันนานกว่านี้เหลือเกิน เขาสาบานกับนาทุกผืนที่ย่ำผ่าน ฟ้าทุกฟากที่มองเห็น เขาลืมเพลงเพราะทุกเพลงเป็นแน่แท้ ชีวิตนี้ ในตอนนี้ เสียงของรติคือสิ่งที่เพราะที่สุด


    “ตัดให้ฉันเสร็จก็ตามด้วยรติ แล้วเธอก็หอบเงินถุงนั้นกลับบ้านได้” นายท่านพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย เขานั่งหลังตรงแม้บนที่นั่งสบาย ๆ มุทาจึงเริ่มบรรจงวาดฝีไม้ลายมือในการตัดผม เขาใช้เพียงหวี กรรไกร และใบมีดโกนนิดหน่อยเพื่อเล็มรอบท้ายทอยและผมประปรายที่หน้าผากนายท่านเท่านั้น ไม่กี่อึดใจผมสุดเนี๊ยบก็ถูกแต่งด้วยน้ำแต่งผมหอมฉุน นายท่านพึงพอใจกับผลงานมากจนเผลอเอ่ยปากชวนมุทามาเป็นช่างประจำที่บ้าน จะได้เป็นเพื่อนเล่นของรติ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เขากระซิบกระซาบกับภรรยาว่ามองดูนายมุทาก็เป็นคนดี ถึงจะไม่มีหัวนอนปลายเท้า แค่มาทำงานสักเดือนละครั้งหรือสองสัปดาห์ครั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ใช้ฝีมือจับกรรไกรนั่นแหละมาทำสวน จะได้แบ่งเบางานของนายชิตที่แก่ลงทุกวันด้วย คุณนายเองก็เห็นดีเห็นงาม เผื่อลูกชายมีคนคอยดูแลเป็นเพื่อนสักคนหนึ่ง 


    คงไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วนี่

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in