หลายปีก่อน เราเป็นคนที่เขียนโพสต์ลงเฟสบุ๊กยาวมาก
เราชอบเขียน ดังนั้นเราเจออะไรเราก็เขียน เราคิดอะไรเราก็เขียน
แต่แล้วเราก็ไม่ได้เขียนโพสต์ยาวๆ ลงเฟสบุ๊กอีกเลย
เราเคยคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเรากลัวว่าเมื่อโตขึ้น สิ่งที่เขียนลงเฟสบุ๊กจะเป็นรอยด่างพร้อยของชีวิตเรา
แต่พอมาคิดดู นั่นเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ไม่ใช่สาเหตุใหญ่หรอก ไม่ใช่เลย
หลายปีก่อน เราเจอสิ่งที่ทำให้เราสะเทือนหนักมาก
ปกติเวลาโพสต์อะไรสักอย่าง เราไม่สนใจเรื่องเสียงตอบรับ เราเล่าแค่เพราะว่าเราอยากจะเล่า
ยังไงก็เป็นแค่เฟสบุ๊กของคนธรรมดาอยู่แล้ว มีเพื่อนไลก์ให้บ้างสองสามคนก็ถือว่าปกติ
แต่แล้วเราก็ได้รู้ว่า บางทีที่ไม่มีเสียงตอบรับอะไร อาจจะไม่ใช่เพราะความเป็นคนธรรมดาของเราก็ได้
เราได้ไปเห็นโพสต์ของเพื่อนสมัยประถมคนหนึ่ง
โพสต์นั้นเป็นโพสต์เล่าเรื่องการไปสถานที่แห่งหนึ่ง การพูดคุยกับผู้คน แล้วก็สิ่งที่เพื่อนได้เรียนรู้ ด้วยสำนวนราวนักเขียนสารคดีและน้ำเสียงแสนสุภาพ
พร้อมกับแนบภาพเพื่อนนั่งอกผายไหล่ผึ่งในสถานที่นั้นอย่างองอาจชาติทหาร
กล่องคอมเมนต์ยืดยาวจนเราตาลาย เพื่อนของเราชื่นชม เพื่อนของเพื่อนชื่นชม
และต่อให้เป็นโพสต์อื่นนอกจากนี้ ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร
เรา... สารภาพว่าเราดูโพสต์นั้นแค่ครั้งเดียว และไม่มีความกล้าจะกลับไปดูอีกเลย
อิจฉานั่นแหละ อิจฉา ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
หลังจากนั้น เวลาที่เราอยากจะเล่าเรื่องของเราลงเฟสบุ๊กของเราบ้าง เราก็จะนึกถึงโพสต์นั้นของเพื่อน
ไม่ดีกว่า
แล้วเราก็พับสิ่งที่คิดว่าจะเขียนเก็บไว้ในใจ และลืมมันไป
มันลงเอยอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นทุกที
เราไม่ได้เลิกเขียนหรอก
เราชอบเขียน แล้วก็อยากเป็นนักเขียน ที่เราเขียนส่วนใหญ่จึงเป็นนิยาย
เรายังคงเขียนนิยายอยู่เรื่อยๆ มาจนถึงตอนนี้ แม้จะไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร แต่ก็เป็นเส้นทางแห่งฝันที่เราต้องพยายามมุ่งหน้าต่อไป
แต่เราเขียนโพสต์ขนาดยาวไม่ได้ แถมยังแทบจะหนีหายไปจากเฟสบุ๊ก
หันมาบ่นเป็นเธรดในทวิตเตอร์แทน แต่ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เราไม่กล้าโพสต์เรื่องของตัวเอง ความคิด ความรู้สึกลงในเฟสบุ๊ก
อินสตาแกรมก็เขียนแคปชั่นรูปเป็นประโยคสั้นๆ ทำตัวอินดี้อย่างปลอมๆ
ทั้งที่ความจริงเราอยากจะเล่าอะไรตั้งหลายอย่าง
แต่เราก็รู้สึกว่าเขียนไปตัวเองก็เหมือนคนเพ้อบ้า ไร้สาระ
เขียนไปก็ไม่ดีพอ และตัวอย่างเปรียบเทียบก็ใกล้ตัวเหลือเกิน
ย้อนกลับไปในวันนั้น
เราหงุดหงิดนะ สับสนมากด้วย
ใจหนึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งที่เราพยายามพัฒนาตัวเองมาตั้งนาน สุดท้ายก็แพ้คนที่แมสกว่า เท่กว่าอยู่วันยังค่ำ
อีกใจเราก็รู้ การที่เราชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้ดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะดีกว่าไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่พยายามอยู่ในที่ที่เรามองไม่เห็น
แต่เราก็เศร้าอยู่ดี
จนกระทั่งหลายปีผ่านไป
เราคิดว่าเวลาเยียวยาเราในระดับหนึ่งแล้วนะ
อย่างน้อยเราก็รู้สึกยินดีไปด้วยได้แล้วเมื่อเห็นเพื่อนๆ เฉิดฉายในเฟสบุ๊ก เขียนเรื่องราวและถ่ายรูปประกอบโดยมีคนมากมายชื่นชมยินดี
แต่เราก็ยังไม่กล้าโพสต์เรื่องของตัวเองอยู่ดี
แต่เราคิดถึงตัวเราคนนั้น คนที่อยากเขียนอะไรก็เขียนได้ ไม่ต้องสนใจอะไร
นั่นเป็นเหตุผลที่เราหนีมาที่นี่ เราอยากรู้ว่าเราจะพาเขากลับมาได้ไหม
บางทีเราอาจจะอยากเขียนอะไรหลังอ่านหนังสือ หรือดูหนัง หรือวิ่งออกกำลังกาย
หรือบางทีเราอาจจะอยากบ่นอะไรในชีวิตก็ได้
จะบอกว่าทำเหมือนเป็นเฟสบุ๊กก็ไม่ผิด
ลึกลงไปกว่านั้น ก็คงต้องบอกว่าเป็นการแก้ปมให้ตัวเอง
อย่างที่เราตั้งชื่อเรื่องไว้นั่นแหละ
เรามาเริ่มกันอีกครั้งนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in