เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ให้ตายเถอะอพอลโล [SEULGI X WENDY]seullight210
บทนำ
  • - ค.ศ.1966 -

      



    “มติที่ประชุมออกมาแล้วนะ เก้าในสิบยอมจำนนให้กับผลตรวจร่างกายและคะแนนภาคปฏิบัติของเธอ ยินดีด้วยเรือโทเซแกน เตรียมเก็บกระเป๋าไปดวงจันทร์ได้เลย”  



    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .



    คลาร์ก เซแกน กำลังเดินตุปัดตุเป๋อยู่ริมถนนสายเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ดี ซี ท้องฟ้าสีครามเข้มกำลังค่อย ๆ เจือสีจางลงเป็นสัญญาณบอกว่าช่วงเวลาแห่งการหลับใหลของผู้คนในเมืองใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ตะวันเริ่มทอแสงเรืองรองขึ้น แสงนั้นส่องมากระทบกับดวงตาเรียวเล็กของคลาร์กจนต้องหรี่ตาลง 

     


    เธอหยุดยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่งเพื่อพินิจดูสิ่งปลูกสร้างด้านหน้า โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่อันวิจิตรตั้งตระหง่านท้าสายตาราวกับกำลังเชิญชวนให้เธอก้าวเข้าไป คลาร์กเหมือนได้ยินเสียงกระซิบเรียกเธอดังแผ่วขึ้นในโสตประสาท อะไรกัน โบสถ์เฮี้ยนวิญญาณหลอนเหรอ... 

     


    ...อ๋อเปล่า แค่หูแว่ว อาการของคนที่ดื่มเหล้าเกินขนาดน่ะ 

     


    คลาร์กยืดตัวให้ตรงขึ้น สูดลมหายใจลึกสู่ปอดอย่างพยายามมีสติ เธอก้าวขาไปข้างหน้าโดยมีจุดหมายเป็นโบสถ์นั้น ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนออกเดินทางไกล คลาร์กอยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่นการเมาหัวราน้ำจนถึงเช้าแบบเมื่อคืน หรือลองไปในสถานที่ที่ยังไม่เคยไปดูบ้าง โบสถ์คริสต์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ที่นับถือพระเจ้า ก็นับว่าแปลกดีที่คนไร้ศาสนาเช่นเธอจะลองเข้าไปเยี่ยมชม 



    เสียงฝูงนกโดยรอบดังจ้อกแจ้กจอแจขึ้นแข่งกับเสียงใบไม้ที่ถูกสายลมพัดสะบัดไหวจนคลาร์กต้องเหลียวไปมองรอบ ๆ 



    ...ที่เมืองแห่งนี้... เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เข้าเรียนเกรด 7 เด็กหญิงชาวเอเชียผู้กำพร้าครอบครัว เลือกทิ้งอดีตอันเจ็บปวดไว้ที่นั่น พยายามทำทุกวิถีทางจนสามารถถีบตัวเองให้มายืนอยู่ในจุดนี้ เธอเคยคิดว่า นี่คงเป็นจุดสูงสุดเท่าที่มนุษย์วัยยี่สิบแปดจะสามารถทำได้แล้ว กระทั่งช่วงเย็นของเมื่อวาน ประโยคที่ออกมาจากปากของศาสตราจารย์อาวุโสในนาซ่าก็ทำให้เธอรู้ว่าที่ผ่านมานั้นเธอคิดผิด 



    เพราะเธอสามารถไปได้สูงกว่านั้นและไกลกว่านั้นจนเธอเองแทบไม่เชื่อหู 



    หญิงสาวเงยหน้ามองเศษเสี้ยวของดวงจันทร์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าด้วยแววตาอันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมหาศาล 

     


    .

    .

    .

    . 

    .

    .

    .

    .

    .

    .



    “พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอวยพรลูกอย่างแน่นอน” 



    “คะ?” คลาร์กหันขวับไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังของเธอ ชายสูงวัยจนเกือบเรียกได้ว่าชราภาพยืนส่งยิ้มให้เธออย่างเปี่ยมไมตรี ดูจากเครื่องแต่งกาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านคือบาทหลวง “อวยพร...แม้ดิฉันจะเป็นผู้ไม่มีศาสนา ไม่ได้ศรัทธาในคริสตจักรอย่างนั้นหรือคะ”  



    “พระองค์ทรงเมตตาแก่ทุกชีวิตอย่างไม่เลือกปฏิบัติ นี่คือความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์” 



    “แล้วท่านล่ะคะ? เอ่อ...หมายถึงคุณพ่อ...” คลาร์กถามหยั่งเชิงอีกครั้งแต่ด้วยท่าทีตะกุกตะกัก เธอไม่แน่ใจคำศัพท์ที่ต้องใช้ยามสนทนากับบาทหลวงด้วยเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ 



    บาทหลวงชราส่งยิ้มให้พลางหันไปทางรูปปั้นพระเยซูคริสต์แล้วกล่าว “พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” 



    สิ้นคำตอบนั้น คลาร์กเผลอหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหัวไปมาอย่างกลั้นไม่อยู่ บาทหลวงผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ทว่าความคิดนั้นต้องหยุดชะงักลงเมื่อเธอได้ยินประโยคถัดไป 



    “ทุกการเดินทางไกลย่อมเปลี่ยนชีวิตของเราไปไม่น้อยก็มาก พ่อขอให้ลูกจงเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เมื่อความมืดมิดกลืนกิน ความหวังจะเป็นสะพานนำพาลูกกลับมา” 



    “คะ? ม...หมายถึง? แล้ว...คุณพ่อรู้ได้อย่างไรคะว่าดิฉันกำลังจะไปไหน?” 



    ทว่ามีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่คลาร์กได้กลับมา  

      


    .

    .

    .

    . 

    .

    .

    .

    .

    .

    .


     

    Rrrrrrrrrrrrrrrr 



    วิทยุสื่อสารในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวยาวดังขึ้น หลังจากที่คลาร์กก้าวเท้าออกมาพ้นประตูรั้วอันเป็นปราการสุดท้ายของโบสถ์ มันมีไว้สำหรับบุคลากรใช้ติดต่อสื่อสารกันภายในตึกนาซ่า หรือตราบเท่าที่ระยะสัญญาณไปถึง วิทยุสื่อสารนับเป็นอุปกรณ์สื่อสารอันชาญฉลาดที่สุดในยุคปัจจุบัน และในขณะนี้ คลาร์กซึ่งกำลังสีหน้าตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่งรีบหยิบเจ้าวิทยุขนาดเกือบสองฝ่ามือออกมากดตอบรับอย่างลนลาน ในหัวนึกใคร่ครวญไปว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหนอ จึงทำให้ต้องติดต่อมาในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ก่อนที่หัวคิ้วของเธอจะขมวดติดกันทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่ต่อสัญญาณถึง 



    “//โอ้ คลาร์ก ผมได้ยินพวกในตึกพูดกันว่าที่ประชุมอนุมัติเรื่องส่งคุณไปสำรวจดวงจันทร์แล้ว//” เสียงนั้นเป็นของปีเตอร์ อดีตแฟนหนุ่มของเธอ เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงลิงโลด “//ให้ตายเถอะคลาร์ก ที่ผมพูดในวันที่เราเลิกกันว่าคุณมันเป็นพวกเนิร์ด introvert แสนน่าเบื่อน่ะ ผมรู้ว่ามันทำให้คุณเสียหน้า แต่ก็ไม่เห็นต้องพิสูจน์ให้ผมดูด้วยการไปไกลถึงดวงจันทร์เลย//” 



    “ว่าไงนะ... แกนี่ มัน...” 



    “//อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิที่รัก เอาน่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าคุณจะได้กลับมาอีกรึเปล่า เพราะงั้นคืนนี้เรามาสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกันมั้ยล่ะ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาความสาวไปทิ้งไว้ที่ดาวนั่นอย่างเปล่าประโยชน์หรอกนะ มาหาผมที่ห้อ...//” 



    “เก็บปากของแกไว้ร้องไห้ตอนหมอตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิสเถอะ ไอ้จู๋เดินได้ FUCK!!!!! YOU!!!!!” 



    ...โคตรเฮงซวย

     


    .

    .

    .

    . 

    .

    .

    .

    .

    .

    .


     

    ช่างเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่แสนยาวนานเหลือเกิน ตามปกติในเวลาเช่นนี้ คลาร์กคงจะกำลังทำงานอย่างหัวหมุนอยู่ในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์อวกาศบ้าง ลานบำรุงหุ่นยนต์จักรกลบ้าง และอื่น ๆ อีกมากหมุนเวียนกันไป แต่ในยามนี้เธอได้รับอนุญาต ไม่สิ... เรียกว่าถูกบังคับมากกว่า ว่าให้หยุดโหมทำงานหนักแล้วพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกเดินทางไกล ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงถูกค่อนแคะด้วยสายตาว่าเพราะเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็เพราะเป็นชาวเอเชียผู้อ่อนแอ ถึงได้รับอภิสิทธิ์ในการพักผ่อนมากกว่าคนอื่น ๆ  



    นึกย้อนกลับไป เมื่อตอนที่คลาร์กยังอาศัยอยู่ ณ ประเทศบ้านเกิดซึ่งเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย เพศของเธอเป็นเพศที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพสังคมชายเป็นใหญ่ ค่านิยมนี้ได้หยั่งรากลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรมอันถูกแทรกอยู่ในทุกอณูของการดำเนินชีวิต ทว่าความเลวร้ายเหล่านั้นเทียบไม่ติดเลยกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญในทันทีที่เท้าคู่นี้แตะผืนแผ่นดินอเมริกา เพราะคลาร์กไม่ได้เพียงต้องต่อสู้กับชุดความคิดที่ริดรอนความเท่าเทียมทางเพศเท่านั้น แต่เธอยังต้องต่อสู้กับสายตาและการกระทำอันหยามเหยียดที่ชาวตะวันตกมีต่อชาวเอเชียอีกด้วย  



    คลาร์กใฝ่ฝันถึงความเท่าเทียมมาตลอดชีวิต โลกในอุดมคติของเธอคงเป็นโลกที่ทุกคนมีทัศนคติที่ไม่แบ่งแยกเพศ สีผิว เชื้อชาติ ฯลฯ เพราะหากตัดสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นแค่ เปลือก ออกไป เราทุกคนต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน นั่นก็คือมนุษย์



    ความคิดหัวก้าวหน้าของเธอมักได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะเยาะกลับมาเสมอ หลายคนพร่ำบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอก, จะเป็นไปได้อย่างไรกัน, ลาออกจากงานแล้วอยู่บ้านเข้าครัวเรียนรู้วิธีการเป็นแม่บ้านที่ดีเถอะ, คุณค่าของผู้หญิงน่ะอยู่ที่การได้เป็นภรรยาและแม่ของลูกต่างหาก ฯลฯ คลาร์กแสนเจ็บปวดใจทุกครั้งที่ได้ยินประโยคเหล่านั้น หญิงสาวกำหมัดและกัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่เคยคิดที่จะทรยศต่อจุดยืนและอุดมการณ์ของตนเอง นั่นเพราะเธอคือคลาร์ก! เซแกน!   



    คลาร์ก เซแกน ถูกค้นพบว่ามีอัจฉริยภาพด้านสมองครั้งแรกในชั่วโมงเต้นบัลเล่ย์โดยครูประจำวิชา  ซึ่งขณะนั้นเธอมีอายุเพียงห้าขวบ  



    คุณครูที่สอนคลาร์กในขณะนั้นนำเรื่องมาบอกแก่ผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะคลาร์กสามารถจดจำรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับท่าเต้นได้เพียงแค่มองดูครั้งเดียวเท่านั้น ในขณะที่เด็กทั่วไปต้องได้รับการฝึกฝนซ้ำหลายครั้งและใช้เวลาเป็นวันหรือหลายวันกว่าจะจดจำได้ขึ้นใจ 



    พ่อแม่ของคลาร์กตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อได้รับรู้ความจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับบุตรสาว ทั้งคู่ได้ลองทดสอบความจำและการคิดวิเคราะห์ของคลาร์กอีกครั้งด้วยหนังสือปรัชญา บทความระดับกลางไปจนถึงระดับสูง และแม้กระทั่งด้วยเกมหมากล้อม ผลปรากฎไปในทิศทางเดียวกับการทดสอบด้วยการเต้นบัลเล่ย์ นั่นคือเด็กน้อย... เธอเป็นอัจฉริยะโดยแท้! 



    ชีวิตของคลาร์กดำเนินบนเส้นทางกลีบกุหลาบมาโดยตลอด จนกระทั่งเธออายุได้สิบเอ็ดขวบ คลาร์กได้ค้นพบว่ากุหลาบนั้นไม่ได้มีเพียงกลีบอันหอมหวน แต่มันยังมีหนามแหลมแอบซุกซ่อนอยู่เบื้องล่าง หนามนั้นคือคืนหนึ่งในฤดูร้อน ไฟแห่งปีศาจร้ายโหมไหม้บ้านของเธออย่างเกินจะดับไหว พ่อใช้แรงเฮือกสุดท้ายหย่อนเธอออกมาผ่านทางหน้าต่างชั้นสามด้วยผ้าปูที่นอนและผ้าห่มซึ่งพ่อและแม่ช่วยกันนำมาผููกต่อจนมีลักษณะยาวคล้ายเชือก และนั่นคือวันสุดท้าย ที่เด็กน้อยได้สัมผัสกับคำว่าครอบครัว... 



    ในคืนสุดท้ายของพิธีศพ ชายปริศนาคนหนึ่งได้เดินทางมาร่วมงานแล้วแนะนำว่าตนเองคืออาจารย์ธีโอดอร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซสต์ และเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอ ธีโอดอร์ยื่นข้อเสนอแก่เด็กน้อยว่าจะเลือกอยู่ที่นี่ต่อไปกับบรรดาญาติมิตรผู้หิวโหยเงินตราซึ่งคอยจ้องแต่จะหาประโยชน์จากตัวเธอ หรือ จะเลือกไปอยู่กับเขาในที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้อันจะสามารถดึงอัจฉริยภาพของคลาร์กออกมาได้อย่างไม่รู้หมด


     

    ...เธอจะไปได้ไกลอย่างที่เธอไม่เคยคาดคิด เธอจะบินได้สูงอย่างที่เธอไม่เคยคาดฝัน...



    นั่นคือคำสัญญาของธีโอดอร์ซึ่งให้ไว้กับเธอ และมันกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า


      

    ศาสตราจารย์ธีโอดอร์ในปัจจุบันคือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือองค์การนาซ่า ส่วนคลาร์ก กำลังจะได้ถูกบันทึกชื่อลงบนหน้าประวัติศาสตร์ในอีกไม่ช้านี้ ว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบดวงจันทร์อันเป็นดาวบริวารถาวรดวงเดียวของโลกมนุษย์ 



    .

    .

    .

    . 

    .

    .

    .

    .

    .

    .


     

    “ฉันยังภาวนาให้เธอเปลี่ยนใจ แม้ในนาทีสุดท้าย” 



    คลาร์กได้ยินเสียงของธีโอดอร์ดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวขาออกมาจากห้องเก็บชุดอวกาศ หนึ่งในนั้นถูกสวมใส่อยู่บนตัวเธอแล้ว 



    หญิงสาวหยุดยืนตรงหน้าศาสตราจารย์ผู้สูงวัย เขาคงมายืนรอเธออยู่สักพักใหญ่แล้ว ร่องรอยแห่งวัยปรากฎอยู่บนใบหน้าของธีโอดอร์ เส้นผมสีขาวแซมสลับอยู่บนศีรษะ แววตาของชายสูงวัยดูเศร้าหม่นตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาเดินมาส่งข่าวแก่เธอ 



    ‘มติที่ประชุมออกมาแล้วนะ เก้าในสิบยอมจำนนให้กับผลตรวจร่างกายและคะแนนภาคปฏิบัติของเธอ ยินดีด้วยเรือโทเซแกน เตรียมเก็บกระเป๋าไปดวงจันทร์ได้เลย’ 



    “ไม่มีเหตุผลใดที่คุณจะต้องโศกเศร้าเลยค่ะศาสตราจารย์ อย่างที่คุณเคยสัญญากับฉันไว้ ในตอนนี้ ฉันกำลังจะไปได้ไกลอย่างที่ฉันไม่เคยคาดคิด ฉันกำลังจะบินได้สูงอย่างที่ฉันไม่เคยคาดฝัน” คลาร์กทวนคำพูดของธีโอดอร์อีกครั้งให้ตัวเขาเองฟัง 



    “แต่เธอไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกเลย ถึงผลวิเคราะห์จะออกมาว่ามันมีแนวโน้มปลอดภัย แต่ใครเล่าจะรู้... คลาร์ก... ฉันจะยอมผิดจรรยาบรรณเพื่อบอกบางสิ่งแก่เธอ มีเพียงผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่รู้ นาซ่ามีแผนจะนำยานรุ่นใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพดียิ่งกว่าอพอลโล และมันสามารถจุคนได้มากกว่าหนึ่ง เราวางแผนจะนำมันไปจอดบนดวงจันทร์ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น เธอค่อย...” 



    “ไม่ค่ะ ฉันจะไม่รอ” คลาร์กปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันทุ่มเทเพื่อสิ่งนี้มานานเหลือเกิน แล้วคะแนนที่ผ่านการคัดเลือกมา คุณก็เห็นนี่คะว่าผลออกมาคือฉันเป็นที่หนึ่งในทุกด้าน ฉันมีชีวิตรอดจากไฟไหม้วันนั้นก็เพื่อสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่ฉันจะเปลี่ยนใจเด็ดขาด”



    “เฮ้อ...” ธีโอดอร์ถอดแว่นตากรอบสีทองออกมาจากใบหน้าพลางใช้มืออันเหี่ยวย่นนวดบริเวณเบ้าตาทั้งสอง ก่อนจะสวมแว่นกลับเข้าที่เดิม “ฉันได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว คลาร์ก เธอเป็นเหมือนลูกสาวคนนึงของฉัน ฉัน...ไม่อยากจะเสียเธอไปตลอดกาล” 



    “แค่สามแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยสามกิโลเมตรเท่านั้นเอง แล้วฉันจะกลับมาหาคุณอีกครั้ง" คลาร์กส่งยิ้มมาให้ "จะกลับมาเล่าถึงความมหัศจรรย์ของดวงจันทร์ให้คุณฟังอย่างแน่นอน” 


     

    ธีโอดอร์มองเหม่อมาที่เธอเนิ่นนาน จนในที่สุด เขาก็ฝืนยิ้มตอบ “ขอให้พระเจ้าส่งเธอกลับมา”


     

    ทั้งคู่บอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่คลาร์กจะหยิบหมวกอวกาศขึ้นมาสวมและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หันกลับ

     


    ฐานยิงจรวดกำลังสั่นสะเทือน ไม่กี่วินาทีถัดมา ลำแสงไฟร้อนถูกฉีดออกมาจากส่วนปลายของจรวดทั้งสามลำซึ่งโอบอุ้มยานอวกาศอพอลโลอยู่ในขณะนี้ เมื่อการเผาไหม้เชื้อเพลิงในห้องเผาไหม้มีอุณหภูมิที่สูงมากพอ จึงก่อเกิดเป็นแรงผลักดันมหาศาลต่อตัวจรวด หมู่ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาโดยรอบก่อนจะพุ่งตัวสูงขึ้นไปด้านหน้า และเพียงห้าสิบวินาทีเท่านั้น ยานอวกาศอพอลโลขนาดใหญ่ก็กลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนท้องฟ้า ก่อนจะหายวับไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่จริง  

     


    เวลาแห่งการเดินทางของคลาร์กเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าเวลาแห่งการรอคอยของใครคนหนึ่ง ณ ที่แสนไกลกำลังจะสิ้นสุดลง...ในไม่ช้า 




    ...To be continued



    สารบัญ http://minimore.com/b/a8o53

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in