ผมคงต้องย้อนความไปถึงตอนบ่ายของเมื่อวานเสียก่อน
หลังจากตั้งสติอยู่หน้าคาเฟ่ประมาณสองสามนาที ผมย้อนกลับไปรับกราฟที่ทาวน์เฮ้าส์หลังมหาวิทยาลัย ขับลัดเลาะเข้าไปในซอยซึ่งผมใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะจดจำได้แม่น สองข้างทางช่วงหนึ่งเป็นที่ดินว่างและกลายสภาพเป็นป่าย่อม ๆ ซึ่งส่งสัมผัสเย็นวูบที่ต้นแขนเป็นระยะทั้งที่เป็นเวลาเที่ยงวัน
กราฟยืนกอดอกพิงประตูรั้วเหล็กในเสื้อเชิ้ตสีกรม (ของผม) กางเกงขาสั้นสีดำ (ของผมอีก) คีบรองเท้าแตะหนังสีน้ำตาล (ของมัน) สวมแว่นตาทรงกลมกรอบรอบสีเงินทับนัยน์ตาชั้นเดียวที่ดูไม่ออกว่ากำลังลืมตาอยู่หรือไม่ ผมสั้นย้อมสีน้ำตาลแดงซึ่งบริเวณโคนเริ่มเป็นสีดำนั้นชี้กระจายไปทุกทิศทางกับหน้าตาดูสะอาดสะอ้านที่มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้เบื้องหลัง อยากให้น้องคนนั้น น้องคนนี้ของมันมาเห็นพี่กราฟ ชั้นปีที่ห้า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในแบบที่ผมได้เห็นซะจริง
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้วตอนที่ผมดับเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อขี่ออกมาจากย่านมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขับตรงไปทางสนามกีฬาเจ็ดร้อยปีเลียบคลองชลประทานแล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยที่สามในเขตตำบลช้างเผือก ขับตรงไปเรื่อย ๆ สุดทางแยกแล้วเลี้ยวขวาอีกครั้งจะพบกับร้านกาแฟอยู่ในตึกแถวหน้าโครงการคอนโดแห่งหนึ่ง ภายในร้านล้อมด้วยผนังสีขาว เคาน์เตอร์ไม้สีเข้ม โต๊ะไม้ยาวสองตัว ตัวหนึ่งอยู่ริมหน้าร้าน อีกตัววางตั้งฉากกันลึกเข้าไป มีที่นั่งติดผนังฝั่งซ้ายกับโต๊ะขนาดเล็กสองตัว เพราะมันเป็นร้านโปรดของกราฟจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นร้านประจำของผมด้วย เราสั่งอเมริกาโน่เย็นสองแก้ว แม้จะเป็นบ่ายวันจันทร์แต่คนกลับแน่นกว่าที่คิด ผมจึงต้องนั่งหันหลังให้กับหน้าร้านพลางสบตากับไอ้กราฟที่นั่งถอนหายใจอยู่ฝั่งตรงข้าม
"เมื่อไหร่กูจะจบวะปอนด์ เดี๋ยวเย็นนี้แม่งต้องกลับไปแก้สไลด์อีก" กราฟรำพึงก่อนจะดูดกาแฟไปอึกใหญ่
"อ้าว กูนึกว่ามึงส่งงานไปแล้วนะ งั้นมึงหายไปทำอะไรตั้งหลายวันกูจะนึกว่าอยู่บ้านกับผีแล้วเนี่ย"
"ของกูส่งไปสองอาทิตย์ก่อนแล้ว แต่นี่ปีสี่เขาส่งงานวันศุกร์ . . . กูก็ไปช่วยน้องเขา"
" สัx " ผมกล่าวชมเชยในการกระทำของเพื่อนรัก น้องเขาที่ว่าคือน้องคนนั้น (กราฟมันไม่ยอมบอกชื่อกับผม ตัวผมเองก็ถามจนขี้เกียจถามอีกแต่ก็ยังไม่รู้คำตอบ) คนที่พี่กราฟเทียวไปรับไปส่งมาตั้งแต่พวกเรายังเรียนปีสาม จนปัจจุบันผมเรียนจบสี่ปีที่กรุงเทพและอยู่ในระหว่างรอรับปริญญา ส่วนกราฟเองกำลังเรียนปีห้าที่เชียงใหม่ แต่ก็ยังไม่เห็นสถานะจะคืบหน้าไปไหนเสียที
"กูบอกแล้วไงว่าอย่าเดินต่อในความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก"
"มันก็มีชื่อ ตอนนี้ก็เป็นพี่น้องกันไง"
"แล้วมึงอยากเป็นแค่นั้นเหรอครับคุณกราฟ"
เงียบ - ผมรู้ว่ากราฟมีคำตอบให้ตัวเองมานานแล้วแค่ยังต้องอาศัยเวลากับหัวใจซักหน่อย ผมปล่อยให้มันคนน้ำแข็งในแก้วกาแฟดำไปจนกว่าจะตั้งสติได้ ส่วนตัวเองก็แอบนึกถึงเสี้ยวหน้าพระจันทร์ที่ผมเห็นในคาเฟ่เมื่อวาน ไม่รู้อะไรในตัวเธอที่ดึงดูดความคิดผมนัก ใช่ว่าไม่เคยมีความรักมาก่อนแต่เป็นผมที่ไม่เคยเชื่อในรักแรกพบ แล้วเพราะอะไรกัน แค่คิดถึงชื่อเธอขึ้นมาผมก็เริ่มจะมีความสุขซะแล้ว
"พี่พาย"
.
.
.
ใช่ ชื่อของเธอ
แต่นั่นไม่ใช่เสียงของผม
ผมหันตามสายตาของกราฟไปที่ประตูเข้าร้าน ใบหน้านวลผ่องมีเส้นผมเคลียบ่า ผมคิดว่าจินตนาการของตัวเองคงไม่เข้มข้นขนาดก่อรูปเธอขึ้นมาเป็นตัวตนได้แต่ทันทีที่เธอยกรอยยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมปริศนาก็ฟุ้งกระจายทั่วบรรยากาศไปหมด - - - ใช่ เธอมีตัวตน แต่ยังมีปริศนาข้ออื่นที่ยังไม่ถูกไขคำตอบ , กราฟรู้จักเธอ ? พี่พาย ? หมายความว่าเธออายุมากกว่า ? ผมที่มีเครื่องหมายคำถามตราอยู่บนหน้าผากหันไปสบตาขอคำอธิบายจากเพื่อนรักแต่ดูเหมือนสัญญาณของผมจะส่งไปไม่ทัน
"ไม่เจอกันนานเลยพี่" กราฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกจากที่นั่งเพื่อให้หญิงสาวแทนที่แต่เธอโบกมือปฏิเสธซะก่อน ส่วนผมยังคงทำตัวไม่ถูกจึงอยู่ในท่ายืนเก้ ๆ กัง ๆ มองทั้งสองคนสลับไปมา
"ไม่เป็นไรๆ , กี่ปีแล้วล่ะ นี่กราฟอยู่ปีอะไรแล้วนะ ทำทีสิสแล้วใช่ไหม" เธอยิ้มอีกแล้ว โอ้ย ผมคิดอะไรไม่ออกแถมจะอ้าปากถามก็ไม่รู้จะเริ่มจากใครก่อนดี
"ครับผม เอ้อพี่ , นี่ปอนด์ เพื่อนกราฟจบฟิล์มจากลาดกระบัง"
"สวัสดีครับ"
ให้ตาย ไม่คิดว่านั่นคือเสียงของผม
"หวัดดี"
เธอยิ้มหวาน
"เราชื่อพายนะ"
เธอยิ้มกว้างกว่าเดิม
ต้องขอบคุณที่พี่พาย (?) เดินหลบไปสั่งอะไรที่เคาน์เตอร์เสียก่อนผมจึงมีเวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง กราฟที่ตอนนี้ย้ายมายืนฝั่งเดียวกับผมดูดกาแฟไปจนหมดในครั้งเดียว ผมพยายามเก็บรายละเอียดส่วนอื่นของเธอที่ตกหล่นไป นัยน์ตากลมโต ผมเส้นเล็กยาวกลางหลัง สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงห้าส่วนสีดำ เมื่อเทียบความสูงกันเมื่อครู่เธอตัวสูงกว่าที่คิดไว้ น่าจะประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้า คงเพราะใบหน้า ข้อมือ ข้อเท้า เหมือนทุกสัดส่วนของเธอดูเล็กไปหมดจนทำให้ผมคิดว่าเธอดูเด็กกว่า
ผมจดจำทุกการเคลื่อนไหวจนแทบเห็นเธอเป็นภาพช้า นึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งว่าเพราะอะไรกัน ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนทั้งกับคนรักเก่าก็ตาม พูดกันตามตรงโดยปกติผมไม่ใช่คนประเภทที่จะจดจำชื่อและใบหน้าของคนอื่นได้เก่งด้วยซ้ำ อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าปกติเสียอีก คงมีอะไรซักอย่างในตัวเธอที่ทำให้ผมสลักข้อมูลทางกายภาพเข้าไปในความทรงจำ . . . ทั้งที่เรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
กว่าผมจะรู้สึกตัวก็เป็นกลางดึกของวันอังคารซะแล้ว บทสนทนาสั้น ๆ และฉากการพบกันของผมและเธอยังอบอวลอยู่ในความคิด (ผมจะทำเป็นลืมการมีตัวตนของกราฟไปก่อน) มันอิ่มเอมซะจนผมกลัวว่าอาจเป็นผมที่หลงละเมอจนเกินไป เพ้อเจ้อกับความรู้สึกมากเกินพอดี เมื่อผมรู้ตัวจึงทำให้เมื่อวานนี้แม้จะนึกอยากทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นแต่ก็ห้ามตัวเองไว้ซะก่อน - อย่าให้ใครก้าวเข้ามารับรู้เรื่องของผมเพิ่มจะดีเสียกว่า ยิ่งตัวละครน้อยนิดเท่าไหร่ยิ่งดี คิดมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไปทุกทีและเวลาว่างที่มีก็ทำให้ผมตกอยู่ในห้วงความรู้สึกบ่อยครั้งจนกลายเป็นโทษกับตัวเอง
'ถ้าเราจะเป็นคู่กันจริง เราจะต้องได้พบกันอีก'
หึ ตลกสิ้นดี
เพราะผมไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีกต่างหาก
เพราะประโยคโง่ ๆ นี่แหละที่ทำให้ผมหนีใครอีกคนมาอยู่เชียงใหม่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in