เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cloud flow , tears runxundae
day twenty-three : winter sky
  • เราไปถึงโรงพยาบาลในตอนเที่ยง ใช้เวลาวนหาที่จอดรถอยู่นานจนมาจบที่ดาดฟ้าของตึก เมื่อวานเราวิ่งวุ่นทั้งวันไปกลับจากบ้านของพาย ตลาด และโรงพยาบาล แม่ของเธอความดันขึ้นสูงตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ผู้เป็นพ่อรีบพาอดีตภรรยาในนามของเขาไปให้ถึงมือหมอ เมื่อพายจัดการธุระเอกสารและเปิดคลินิคให้ทันตแพทย์ที่เข้าเวรรับช่วงต่อเป็นที่เรียบร้อยถึงมารับผมไปเป็นคนขับรถ โชคดีที่เธอมาถึงทาวน์เฮ้าส์ได้อย่างปลอดภัย ร่างเล็กพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเวลาอยู่แล้ว


    ผมยังไม่เจอพ่อของพาย ส่วนแม่หล่อนเพียงยิ้มทักทายผมเมื่อเธอลืมตาในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะนอนพักไปอย่างอ่อนแรงในห้องพิเศษหอผู้ป่วยใน สายน้ำเกลือบนแขนซ้ายถูกถอดออกไปเรียบร้อย เราทรุดนั่งที่โซฟา รอคอย เข็มวินาทีเคลื่อนที่ในความเงียบ ม่านสีฟ้าบดบังแสงอาทิตย์จากภายนอก เสียงเครื่องปรับอากาศครางแผ่วเบาแผ่ไอเย็นให้กระจายทั่วห้อง ใบหน้าสวยมองตรงไปข้างหน้า จับจ้องแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงใต้ผ้าห่มสีฟ้าของโรงพยาบาล - ผมเบือนสายตาหนี จำครั้งล่าสุดที่พบแม่ของตัวเองนอกจากบนสถานะเครือข่ายสังคมออนไลน์ไม่ได้ ผมเจ็บปวดแม้ไม่มาก ทั้งพ่อและแม่ทั้งคู่ยังมีอีกคนเคียงกายที่พร้อมดูแล ไม่เหมือนผม และผมคงยังไม่พร้อมที่จะดูแลใครได้เลยด้วยซ้ำ


    "ขอบคุณนะ" พายเอ่ยขึ้น "ขอบคุณปอนด์มากนะ"

    "เรื่องอะไร เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย"

    เธอยิ้ม "ขอบคุณที่อยู่ข้างเราตอนนี้ไง"

    "แค่นี้สบายมาก" ผมตอบ พายยิ้มจนตาหยี รอยยิ้มที่สะกดหัวใจผมตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ได้เห็น


    ผมขอตัวออกไปสูดอากาศที่ระเบียง นี่จะเป็นลมสงบก่อนพายุรึเปล่าผมไม่อาจคาดเดา ความคิดผมหยุดนิ่งไปเสียก่อน เมื่อไม่ต้องการพูดถ้อยคำจึงถูกกลืนลงสู่ผืนดินที่ย่ำอยู่เสีย ฝังกลบความรู้สึกที่กำลังงอกเงยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ทันการ - หากผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ - หากไม่ใช่เธอ หากไม่ใช่เขา เราจะยังรู้สึกต่อกันเช่นนี้อยู่ไหม


    ประตูกระจกถูกเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงของพายที่เริ่มพูดโต้ตอบกลับปลายสาย ผมฟัง แต่ไร้กำลังจะได้ยิน จนกระทั่งฝ่ามือเล็กสัมผัสที่ไหล่ผมจึงรู้สึกตัวว่าปล่อยให้ความเงียบดำเนินไปนานเท่าไหร่ 



    "เรากลับกันเถอะ"



    ประตูห้องผู้ป่วยถูกเลื่อนปิดอย่างไร้เสียง เสื้อผ้าเปลี่ยนและตะกร้าผลไม้ที่ผมเตรียมมาถูกทิ้งไว้ในห้องโดยไม่มีโอกาสฝากฝังให้ผู้รับ พายเดินนำหน้าบนทางเดินแต่ผมรู้ได้จากจังหวะก้าวเท้าว่าเธอกำลังมีความสุข หรืออย่างน้อยผมหวังว่าเธอกำลังมีความสุข หญิงสาวหยุดและหันมารอผมเสมอเมื่อรู้ตัวว่าผมตามเธอไม่ทัน ไม่บ่อยที่เราออกเดินด้วยกัน ผมชอบที่เธอทำเหมือนไม่ได้กำลังคอย ยิ่งเมื่อเธอเดินต่อหลังจากจังหวะเท้าเราเคียงกันผมยิ่งชอบ บรรยากาศภายในโรงพยาบาลเปลี่ยนไปจากขามาลิบลับเพียงเพราะการฮัมเพลงเล็ก ๆ ของหญิงสาว


    "อารมณ์ดีเกินไปรึเปล่าเนี่ย"

    "ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วแถมตอนนี้พ่อยังหยุดงานมาดูแลแม่อีก"

    "รอให้แม่ตื่นก่อนไม่ดีกว่าเหรอ"

    "ไม่ได้" เธอปฏิเสธเสียงแข็ง "เราอยากให้แม่ตื่นมาเจอพ่อเป็นคนแรกมากกว่า"

    "แล้วแต่พาย" ผมยิ้มบางเสริมคำตอบ "แต่พายรู้ใช่ไหม ความสัมพันธ์ของเขามันคงไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกแล้วนะ"

    "รู้"

    เธอเดินนำหน้าผมไปอีกครั้ง

    "อย่างน้อยให้ความผูกพันมันทำงานแทนแล้วกัน"



    .
    .
    .



    "ไปเดินเล่นที่ไหนกันก่อนไหม ยังไม่อยากกลับบ้านเลย"

    "อ่านใจผมได้ยังไงเนี่ย"

    "วันนี้อากาศดีนี่นา ฝนไม่ตกด้วย" เธออมยิ้มเจ้าเล่ห์

    "มันก็ต้องมีวันที่ฟ้าฝนเป็นใจบ้างสิว่าไหม"



    .
    .
    .



    ผมจอดรถสีครีมไว้หน้าประตูลวดดัดขึ้นสนิมตามที่พายบอก บ้านไม้กึ่งปูนสีขาวหลังใหญ่ตั้งอยู่บนทางสามแยก เมื่อถามเธอจนแน่ใจว่าการกีดขวางช่องทางเข้าออกที่แม้ไม่ใช่ประตูหลักนี้จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าบ้านแล้วผมจึงดับเครื่องยนต์ ไม้ยืนต้นสูงล้อมรอบบ้าน ที่ว่างมุมหน้าบ้านจับจองด้วยต้นหญ้าและใบไม้ปกคลุมดิน รถเวสป้ารุ่นเก่าสองคันถูกจอดไว้ไกลสายตา ที่นี่ร้างคน แต่ถนนภายในบ้านซึ่งวิ่งตรงจากประตูรั้วกลับโล่งเรียบไม่มีแม้เศษกรอบแห้งของใบไม้สักใบ


    เราเดินกลับมาที่ถนนหลักในซอยแล้วเลี้ยวซ้าย ร่มไม้ใหญ่เผื่อแผ่เงาพ้นขอบรั้วออกมาตลอดทาง กำแพงยาวเกือบร้อยเมตรปกคลุมด้วยไม้เลื้อยจนเขียวครึ้ม ผมหยุดถ่ายรูปเป็นพักโดยมีเธอเดินฮัมเพลงอยู่ข้างหน้าเช่นเคย ฟ้าสีอ่อนไร้เงาเมฆบดบังในตอนบ่ายส่งให้แสงเงาคมกริบจนเหตุการณ์เหมือนปรากฏในภาพถ่าย ถนนสงบเงียบ หรือนี่อาจเป็นดินแดนเงียบเชียบที่อนุญาตเฉพาะผู้ที่ถูกคัดเลือกเท่านั้น


    พ้นจากรั้วเถาไม้อาคารกระจกชั้นเดียวทอดตัวอยู่หลังกำแพงสีขาวฝั่งตรงข้าม พายเล่าว่าเธอชื่นชอบชาอินเดียของร้านนี้ไหนจะเมนูประเภทแกงกะหรี่จากหลายภูมิภาคให้เลือกทานอีก น่าเสียดายที่วันจันทร์ตรงกับวันหยุดร้านขนมปังขนาดเล็กที่ตั้งในขอบรั้วเดียวกันซะได้ ผมสั่งกาแฟดำเหมือนเคย เหนือทั้งบริเวณกิ่งใบของไม้ยืนต้นมอบความร่มรื่นให้เราสามารถนั่งอยู่ในสวนภายนอกได้อย่างไม่เดือดร้อน ชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งกระจายตัวกันเป็นขอบเขตส่วนตัว เสียงเปียโนแจ๊สคลอมาจากลำโพงของร้านรื่นรมย์เสียจนผมต้องหยิกตัวเองว่าไม่ได้อยู่ในฝัน ว่าผู้หญิงตรงหน้าและบรรยากาศโดยรอบทั้งหมดเป็นของจริง


    "เราขับมาจอดรถหน้าร้านก็ได้นี่ ทำไมให้ผมไปจอดตั้งไกล"

    "อยากให้เดิน" เธอกระเซ้า "ล้อเล่น บ้านเมื่อกี้เป็นที่เรียนวาดรูปเราเอง คิดว่าถ้ามาแถวนี้จะได้แวะทักแต่ไม่เห็นรถจอดอยู่ เขาคงไปสอนที่คณะอยู่มั้ง"

    "พายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากเรียนวิจิตรศิลป์"

    "มอสี่ ก็รู้ตัวตอนที่ไม่อยากเรียนฟิสิกส์เคมีชีวะพอขึ้นมอห้าถึงเริ่มมาเรียนติวศิลปะ"

    "แปลว่าเมื่อก่อนต้องมาแถวนี้บ่อย ๆ ?"

    "เกือบทุกวันเลยล่ะ เพื่อนสนิทบางคนก็มารู้จักกันตอนติวที่นี่ ส่วนร้านนี้เรามาตั้งแต่เขายังไม่รีโนเวทเลย" เธอหัวเราะนำ พาให้ผมขำตามไปด้วย

    "เหมือนผมกำลังเยี่ยมชมอดีตของพายเลยสิ มีความทรงจำของพายอยู่ในสถานที่ที่ไปด้วยกันเต็มไปหมด"

    "ถูกต้องอยู่ส่วนหนึ่ง" แก้วชาและกาแฟของเราถูกนำมาเสิร์ฟ "และที่เราสองคนกำลังทำอยู่คือการเขียนทับมันลงไป จริงอยู่ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นความทรงจำของเราเพียงคนเดียว แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้เมื่อเราคิดถึงร้านนี้ คิดถึงการลิ้มรสชาแก้วนี้ มันจะมีภาพของปอนด์ปรากฏขึ้นพร้อมกันด้วย"

    "แล้วคนที่เคยอยู่ในความทรงจำของพายเขาจะไม่เจ็บปวดเหรอ"

    "ไม่รู้สิ คนที่เจ็บปวดคงเป็นเรามากกว่ามั้ง" เธอว่า ควันบางเบาลอยขึ้นจากแก้วเซรามิคของเธอ "เหมือนที่ปอนด์ยังใจหายเมื่อได้ยินเพลงของ Selina and Sirinya"

    "เหมือนที่พายชอบฟังเพลงของ Penguin villa เพราะมันมีใครอยู่ในเพลงใช่ไหม"

    ทำเป็นรู้ทัน เธอพึมพำ พวงแก้มเนียนขึ้นสีจาง เราต่างซ่อนใครสักคนหนึ่งไว้ในบทเพลงที่เราเคยฟัง ในภาพยนต์ที่เราเคยดู ในหนังสือที่เราเคยอ่าน ในสถานที่ที่เราเคยไป ความทรงจำของเราถูกเขียนทับขึ้นทุกวัน ผมนึกถึงเรื่องที่เคยพูดคุยกับเธอเมื่อวันก่อน ภาพของพายไม่เคยซ้อนทับกับเบลล์ เพราะเธอไม่เคยเป็นตัวแทนของใครมาตั้งแต่แรก

    "ไม่ใช่แค่เราที่เป็นเชียงใหม่ของปอนด์หรอก ตอนนี้ ปอนด์ก็เป็นปัจจุบันของเราเหมือนกัน"

    "รู้" ผมพูดเสียงเบา รู้ในตอนที่ใกล้จะสายว่ากำลังเหลือเวลาน้อยเต็มที



    .
    .
    .



    "ปอนด์มีตัวตนอยู่จริงใช่ไหม" พายเอ่ยถามเสียงเรียบ สายตาเธอยังทอดมองไปที่อื่น

    "ทำไมถึงคิดว่าเราไม่มีอยู่ล่ะ" ผมต่างหากที่อยากถามคำถามนี้กับพาย มุมปากเผลอยกขึ้นโดยอัตโนมัติแม้เธอไม่ได้สังเกต ครั้งที่สองของวันที่พายล่วงรู้ความคิดของผมเร็วกว่าที่ถ้อยคำเหล่านั้นจะเดินทางไปถึงเธอ

    หญิงสาวหมุนสายตากลับมา ภาพของผมสะท้อนบนแก้วตาสีเข้ม "จังหวะการพบกันของเรามันเหมือนเรื่องบังเอิญจนเราคิดว่าทั้งหมดนี้มันคือความฝันรึเปล่า"

    "ผมเคยลองคิดดูเหมือนกันว่าถ้าเรายังไม่พบกันในวันนั้น เราจะยังได้พบกันอยู่ไหม"

    "ปอนด์ได้คำตอบว่ายังไงล่ะ"

    "ยังไงเราก็คงได้พบกันอยู่ดี จะช้าหรือเร็ว เราคงได้พบกัน แต่การที่เราได้รู้จักกันตอนนี้มันทำให้ทุกอย่างมีความหมาย เพราะทั้งผมและพายในเมื่อวานหรือวันพรุ่งนี้ก็คงไม่ใช่คนเดียวกับในวันนี้ และด้วยเรื่องของเราตอนนี้ -"


    . . . อยู่ดี ๆ ผมก็เหมือนได้คำตอบในคำถามที่ผมเคยตั้งเอาไว้ พายยกแก้วชาขึ้นจิบแต่ไม่อาจบดบังรอยยิ้มกว้างของเธอได้




    "ความผูกพันของเรามันเริ่มทำงานแล้วไง"









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in