เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Down the windowAdelaide
บทนำ
  • บางเรื่องบางราวก็ฟั่นเฝือเกินกว่าจะหาที่ไปที่มาได้พบ จุดเริ่มต้นโยงเกี่ยวเลี้ยวพัน อาจถึงลักลั่น มลายหายไปในจุดสำคัญใดอื่น ทว่าหากเพียงแต่จะเยี่ยมเยือนหนแห่งอันเป็นจุดเริ่มต้นนี้เพียงอีกสักครั้ง ฉันก็จำนรรจ์ได้ว่า ย่ำสนธยานั้นเป็นโมงยามที่ออกจะหนาวเหน็บ สันโดษ และเปลี่ยวเหงา อย่างในตำนานหรือเรื่องเล่าที่โศกนาฏกรรมกำลังจะถูกคลี่แผ่ แหล่งพักสีส้มเปลี่ยวดายหลังหนึ่งตระหง่านอยู่ถัดจากกลิ่นอายเกลือทะเลและพื้นสมุทรเพียงนิด ห้อมล้อมด้วยทุ่งขจีซึ่งแนบแน่นไปกับปถพีอย่างหวงแหนสุดลูกหูลูกตา หมู่ไม้ใบพฤกษ์ยืนต้นเซื่องซึมเป็นเงาคล้ำปัดป่ายอยู่นอกหน้าต่างในร่มทึบทึมของชายคา เปลวไฟเรืองรองอ่อนแรงในเตาผิงกำลังโรมรันกับสายลมเยียบเย็นสุดชีวิต ทุกยามที่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นภายในห้อง หล่อนจะขยับกายคล้ายเริงระบำ วูบขยับซ้ายบ้างขวาที บางคราหรี่ลง แต่แล้วก็รุ่งโรจน์ขึ้นอีกภายในไม่กี่อึดใจ แสงสว่างของหล่อน และของประดาลูกไฟกระจิดบนเชิงเทียนก่อให้เกิดเป็นภาพวาดขาวดำพร่าพรายบนผนังสีคัสตาร์ด โดยมีเสียงเม็ดฝนแตกกระจาย เสียงสะเก็ดไฟ และกลิ่นเผาไหม้คลุมห่มทุกตารางเมตรที่หลงเหลืออยู่ ยึดครอง หมายปองให้สถานแห่งนี้เป็นอาณาจักรใต้พันธนาการของมัน และมิใช่ของหยาดพิรุณที่เกาะพราวอยู่ภายนอก

    ท่ามกลางเหล่านั้น ใครบางคนแหวกว่ายขึ้นมายังผิวน้ำแห่งความสงบนิ่งอย่างเงียบเชียบ ด้วยเกรงว่าเสียงอันแผ่วเบาจะรุกรานไปแผ้วพานดวงชีวันของผู้พักอาศัยอื่น

    “คุณว่าคนเราสามารถตายได้กี่ครั้งกันเชียว”

    บุรุษผู้เป็นเจ้าของความใคร่ฉงนประดับรอยยิ้มอ่อนจางไว้บนใบหน้าขณะสาละวนบางอย่างอยู่ ณ มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น ตรงหน้าไต่ขึ้นไปตามผนังมีชั้นวางไม้ทำมือที่เรียงแถวขจัดขจายไร้ครรลอง แผ่นไม้ไม่เคยมีขนาดเท่ากัน หรือขนานกัน ตะปูที่ถูกตอกยึดไว้กับผนังตรงบ้างเฉียงบ้าง ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่เอนกายอยู่บนชั้นเหล่านั้นทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ โอนเอนเหมือนชาวประมงที่เดินเรือเพื่อไปโต้คลื่นอย่างทุลักทุเลในคืนที่ห่าพายุซัดเข้าฝั่ง สะเปะสะปะเหมือนก้าวแรกของทารกที่แสนเปราะบางเพราะยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับร่างกายทุกสัดส่วนของตนได้อย่างดิบดี ถึงกระนั้นโหลแก้วหลายทรงหลายขนาดบนชั้นก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยมีประกายนวลวับวามจากกองไม้เพลิงลุกสะท้อนเคล้าอยู่บนพื้นผิว บางสิ่งแน่นิ่งภายในทุกขวดโหล – บุรุษผู้นั้นหยุดจัดแจงสมบัติล้ำค่า วางภาชนะแก้วใบล่าสุดลงที่ปลายชั้นไม้ชั้นหนึ่ง ทิ้งระยะให้ความเงียบได้โรยตัว เมื่อไม่มีเสียงใดตอบกลับ เขาจึงค่อยทรงตัวไปยังเก้าอี้โยกหน้าเตา และหย่อนกายลงนั่งพร้อมถอนใจหากไม่ร้อนรน

    “นี่” บัดนั้นเอง กลุ่มก้อนควันทมิฬซึ่งอยู่พ้นจากอ้อมแขนของความสุกสกาวจึงยอมเผยกายออกมาพร้อมสุรเสียงทุ้มก้องเป็นกัมปนาทที่สะท้อนไปตามชิ้นส่วนรกรังของห้อง มันมีย่างก้าวกระหึ่มหนักแน่นที่กระตุ้นการกู่ร้องเอี๊ยดของแนวไม้เก่าๆตามพื้น ทว่ารูปร่างที่ถูกกอปรขึ้นในรัศมีของควันขมุกขมัวนั้นช่างสะโอดสะอง มันมีรยางค์เหยียดยาวและผ่ายผอมเร้นซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมดำขลับตบแต่งด้วยขนกาหน้าตาน่าเกลียด มีลำคอขาวซีดระหง แต่แล้วหากจะเพ่งพิศขึ้นไปอีกสักนิดก็จะพบว่าศีรษะของมันถูกกลืนหายเข้าไปในอนธการ มองผ่านๆอาจเหมือนลูกบอลสีดำ – นักอ่านทั้งหลายเอ๋ย พวกคุณจะไม่มีวันได้เห็นใบหน้าของมัน อย่างที่เราไม่อาจคาดเดาเรื่องราวได้จากหนังสือที่ไร้ซึ่งหน้าปก แม้กระนั้นความเป็นไปของอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจะยังดำเนินต่อด้วยอักษรระโยงระยางบนหน้ากระดาษด้วยความรอคอยให้ถูกอ่านและค้นพบ อย่างที่สิ่งนี้จะยังมีสุรเสียงและวาจา และตัวตนในห้วงเวลาให้เชยชม แม้ปราศจากซึ่งอวัยวะจำเป็นนั่นเอง

    เด็กๆที่นี่เรียกมันว่า สหายความตาย

    “ทำไมจึงถามเช่นนั้น”

    “ก็ต้องเป็นเพราะอยากรู้น่ะสิคุณ ในฐานะที่คุณทำงานกับมันมานาน” เขาเอ่ยโดยไม่ละสายตาจากขวดแก้วและม้วนกระดาษมากล้นไปด้วยความลึกลับที่อยู่ตรงผนัง

    “ไม่ใช่ว่าคุณหรอกหรือที่ควรจะให้คำตอบแก่กระผม ผู้ที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตย่อมใกล้ชิดกับความตายมากกว่าใครอื่นอยู่แล้ว”

    “หวังว่านี่คงไม่ใช่คำสาปแช่งของคุณนะ อะไรกัน ผมยังไม่เคยตายเสียหน่อย ฮ่า ๆ – แค่ก ๆ”

    เขาหยุดพูดจากนั้นก็ไอโขลก ทุกครั้งที่เขาหัวร่อ สิ่งต่อมาที่เขาจะทำคือการไอ ไอชนิดที่ร่างกายท่อนบนสั่นคลอน แล้วปากก็พะงาบเหมือนปลาร้องหาน้ำ เป็นเช่นนี้เสมอโดยอย่างยิ่งสามปีที่ผ่านมา แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นเขาพูดน้อยลงหรือหัวเราะให้เบากว่านี้เสียเมื่อไร ฉันคงเฝ้ามองบุรุษอ่อนแอผู้นั้นอยู่พักใหญ่ทีเดียวกระทั่งนึกได้ว่า ฉันเห็นเขายกแก้วชาจิบไปแล้วหลายอึกเพื่อให้หายระคายคอ เห็นเขาก้มๆเงยๆหาผ้าพันคอสีแดงตัวโปรดรอบเก้าอี้จนเขาโอดครวญเพราะกระดูกหลังลั่น ฉันจึงหันเหไปมองสหายความตายที่อยู่ไม่ห่างเก้าอี้โยกตัวนั้นแทน แลเหมือนว่ามันกำลังมีสีหน้าละล้าละลัง ริมฝีปากเรียบเล็กฉาบฉายความเป็นกังวลใจเพราะเสียงไอที่ยังไม่เงียบลง ส่วนมือข้างหนึ่งกำลังหยิบยื่นม้วนผ้าสีแดงให้กายเปราะบางของผู้เป็นเจ้าของบ้าน – เอ แต่สหายจะกังวลใจกับความตายของมนุษย์ทำไมกันเล่า ตลกน่า อย่างไรเสีย การตายก็เป็นงานของมนุษย์ และความตายมนุษย์ก็เป็นหน้าที่ของสหายความตาย จริงไหม – ฉันใคร่ครวญแต่ไม่ได้เอ่ยถาม สิ่งที่ฉันถาม คือเมื่อไรตาแก่นั่นจะถึงคราต้องตายเสียที

    “โอ้ตายจริง ขอบคุณครับ ขอบคุณ”

    บุรุษเจ้าของบ้านรับเอาน้ำใจของมันมาด้วยความเปรมปรีดิ์ สักที่บนกะโหลกดำนั่น ฉันสบตาสหายความตาย – ยมทูต ฉันตระหนักดีว่าคือสิ่งเดียวกัน ทว่าสหายความตายผู้นั้นชื่นชอบให้พวกเราเรียกมันแบบนี้ ฉันชอบที่จะเรียกมันแบบนี้ – แววตาของมันแข็งกร้าวขึ้นมาทันใด ราวกับว่าสิ่งที่ฉันสงสัยจะถูกได้ยินอย่างใดอย่างนั้น ฉันยักไหล่ สหายหนอสหาย คุณก็รู้ว่าบุรุษผู้นั้นไม่มีทางได้ยินฉันหรอก เขาคงกำลังวุ่นวายอยู่กับการหาปลายผ้าพันคอด้วยมือที่สั่นระริก และจะไม่มีเวลาพอให้ใส่ใจคำถามของฉัน แต่หากมันจะไม่ตอบฉันก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสีย สหายความตายก็เป็นพวกไม่ชอบเปลืองน้ำลายอยู่แล้ว
    หรือจนกว่าเจ้าของบ้านจะพันผ้าพันคอเสร็จเรียบร้อยดี

    “แน่นอนว่ากระผมไม่มีความประสงค์ที่จะสาปแช่งคุณ นั่นไม่ใช่หนึ่งในกงการที่กระผมดูแล ส่วนที่คุณถาม กระผมเกรงว่ามนุษย์เช่นคุณอาจมีสิทธิ์ตายได้เพียงครั้งเดียวเมื่อสิ้นอายุขัย อาจด้วยการป่วยไข้หรือการผุพังของร่างกาย อุบัติเหตุ การปองร้าย หรืออาจด้วยการตัดสินใจของคนผู้นั้นเอง ล้วนแต่เป็นการตายครั้งเดียวแล้วจบไป”

    “นั่นสินะ”

    “แล้วทำไมคุณจึงถามเช่นนั้น”

    บุรุษเจ้าของบ้านเหียนหันมองสหายในเสื้อคลุมที่ยืนอยู่ด้านข้างเก้าอี้ผ่านแพขนตาสีทองเมลืองกับหนังตาที่หย่อนคล้อยลงมาจวนเจียนบดบังการมองเห็นของเขาเต็มทน เขายิ้มให้เสมือนชายสูงวัยใจดีข้างบ้านที่หากคืนหนึ่งในเดือนกรกฎาคมคุณไปกดกริ่งหน้าประตูบ้านของเขา และบอกกับเขาว่าคุณไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนกลางฤดูฝน บุรุษผู้นั้นจะยินดีเปิดประตูต้อนรับคุณเข้าบ้านด้วยความเต็มใจ และลืมไปเสียสิ้นว่าบ้านของคุณนั้นอยู่ถัดไปเท่านั้นเอง ใช่ว่าความแก่เฒ่าจะมาพร้อมความโอบเอื้อเสมอไป เพียงแต่เขาเป็นมนุษย์เช่นนั้นแล ซึ่งแน่นอนฉันเดียดฉันท์ความใจดีพรรค์นั้นเหลือเกิน มันฟังดูดีเกินไป เป็นความบริสุทธิ์ดีที่เหนือจริงเกินไปจนบางครั้งมันจึงง่ายกว่าที่จะคิดว่าเหล่านั้นเป็นของปลอม อนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็คงอยากโกงความตายให้คนดี ไม่มีใครอยากให้ตัวแทนแห่งศีลธรรมความดีเยี่ยงเขาตาย จริงไหม แต่เพราะฉันเป็นสหายของสหายความตายไงเล่า ฉันจึงไม่แยแสความดีงามของเขาเท่าใดนัก

    เขาทอดสายตาไปยังชั้นวางของปริศนาดังเดิม ขวดแก้ว ม้วนกระดาษ ความฝัน – ฉันไม่รู้หรอกว่าบรรดาผู้อาศัยขีดเขียนสิ่งใดลงไปในขวดโหลเหล่านั้นบ้าง รู้เพียงแต่ว่าเจ้าของบ้านให้ความหมายและความสำคัญแก่มัน เทิดทูนหากไม่บูชา ให้รักราวกับเป็นของล้ำค่า ดังนั้นคราใดที่ภาพของมันผุบโผล่เข้ามา นัยนาฟ้าครามจะเกิดระยับจับใจไม่ต่างจากผิวน้ำสีเขียวของห้วงน้ำชลาลัยใต้แสงดาว ซึ่งสหายของฉันจะไม่พลาดสักครั้งที่จะยลโฉม

    เขาเผยออ้าปากคล้ายจะพูด กลีบปากกระพือสั่นเหมือนปีกผีเสื้อกลางคืน แต่แล้วก็พับปิด เผยออ้าอีกครา

    “ผมแค่คิดว่า บางครั้ง…บางครั้งความตายก็เดินเข้ามาในชีวิตของผมเหมือนเป็นคลื่นทะเล เป็นระลอก คลื่นลูกใหญ่บ้างเล็กบ้าง มาพร้อมสายฝนบ้าง พร้อมแสงอรุณบ้าง แต่ก็ล้วนแต่เป็นความตาย อา” เขาพยักหน้าขบคิดกับตนเอง คิ้วที่ขมวดกระซิบบอกฉันว่าหลายสิ่งอย่างกำลังวิ่งพล่านอยู่หลังหน้าผากยับย่นของเขา “ผมเพียงแต่คิดว่า แบบว่า คุณจะเข้าใจใช่ไหม”

    สหายความตายไม่ส่งเสียง

    “ชีวิตทำให้ผมเรียนรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มนุษย์จะตายได้อย่างอนันต์”

    มนุษย์จะตายได้อย่างอนันต์…

    “ผมจึงคิดว่า ความตายอาจไม่ได้มาในรูปแบบของปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นได้เพียงครั้งเดียว”

    เขาควรเป็นกวี

    มันคงไม่โปรดปรานที่จะหารือเกี่ยวกับความตายของมนุษย์เท่าใดนัก ฉันตริตรอง สหายผู้นั้นถึงได้พาเจ้าของบ้านไปแวะเวียนบทสนทนาอื่นๆเกี่ยวกับผู้อาศัยในบ้านอีกหลายบท จำพวกปีเตอร์ (หนึ่งในผู้พักอาศัย) จะมีความสุขกับเจ้าสาวคนแรกของเขาไหม หรือธีโอดอร์ (หนึ่งในผู้พักอาศัยอีกเช่นกัน – อย่างที่เห็น แหล่งพักแห่งนี้เผื่อแผ่เมตตาให้คนแปลกหน้าอย่างล้นหลาม) จะยังอยากจัดนิทรรศการที่เต็มไปด้วยลูกโป่งและลูกกวาดหลากสีสันเมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่หรือเปล่า เพื่อวนกลับมายังวัฏจักรเดิมของการหัวร่อและไอโขลก บุรุษผู้นั้นชราแล้วและฉันไม่เคืองโทษเขาเลย แม้ว่าเสียงไอของเขาจะน่ารำคาญอยู่บ้าง กระนั้นก็เถอะสหายเอ๋ย ฉันเองก็เคยยืนอยู่ในที่ของเขามาก่อน หากจะมีใครในห้องนี้เข้าอกเข้าใจเขาได้ นั่นก็คงจะเป็นฉัน ฉันเฝ้าและรอ ครั้นเพลิงในเตาไฟเริ่มสลัวลง ฉันก็สัมผัสได้ว่าราตรีกาลอบอุ่นของเรากำลังมาถึงจุดสิ้นสุดเหมือนอย่างที่งานเลี้ยงถึงคราเลิกรา เจ้าของบ้านดูไร้เรี่ยวแรงเต็มทน ไม่ว่าสิ่งที่มันสอนจะยิ่งใหญ่เพียงใด ชีวิตยังคงเป็นสิ่งบอบบาง เขาต้องพักผ่อน และการนิ่งงันจ้องมองของสหายความตายจะไม่ทำให้มนุษย์ผู้นั้นได้พักผ่อน ฉันกลอกตาหากผู้ใดจะอุตส่าห์แยแส ทว่าเมื่อไม่มี ฉันจึงลุกจากที่นั่งข้างกองไฟ และเยื้องย่างอย่างเฉื่อยช้าไปยังหน้าต่างเสียแทน ฉันเดาว่ากลิ่นฝนชื้นแฉะคงทำให้สีเขียวของแมกไม้เข้มขึ้นกว่าตอนมันต้องแดด แผ่นกระจกคงเย็นเฉียบ ฉันไม่ได้จับ และในโอกาสที่กำลังสอดส่องไปตามทัศนวิสัยมืดครึ้มซึ่งถูกโอบกอดโดยนภาแสนวิจิตรนี้ ฉับพลันก็เห็นร่างตะคุ่มร่างหนึ่งกำลังสืบเท้าเข้าใกล้อาณาจักรเปลี่ยวเหงาของเรา ท่ามกลางเม็ดฝนโปรยปราย กายเล็กจ้อยของมันค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะที่เคลื่อนมาตามทางเดินหินเปลือย แต่ความห่างไกลทำให้ฉันบอกไม่ได้ว่าร่างนั้นเป็นของผู้ใดระหว่างความเป็นกับความตาย อย่างไรก็ดี ฉันคอยสิ่งนั้นอยู่นานโดยไม่คิดปริปากบอกใคร เพียงคอย คอยอยู่นาน คอยต้อนรับแขกไม่ได้รับเชิญผู้อาจสามารถแต่งเติมความหฤหรรษ์ให้แก่ค่ำคืนนี้ ฉันเริ่มสั่นขาด้วยใจที่โลดเต้นแม้จะสิ้นใจที่สามารถโลดเต้นได้ไปนานโขแล้วก็ตาม ส่วนสหายความตายกับเจ้าของบ้านหรือ พวกเขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าสิ่งใดกำลังคืบคลานเข้ามา และหากฉันเล่า นี่คงกลายเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องเล่ารอบกองไฟของเรา

    แต่แล้วคืนนั้น หลังจากความเงียบสงัดที่ดูคล้ายนิรันดร์ เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็แผดเสียงแหลมกรีดหูในที่สุด
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in