เป็นเรื่องประหลาดแต่ไม่น่าแปลกใจ
ผมมีเพื่อน แต่อันที่จริงไม่ค่อยอยากเรียกเขาว่าเพื่อนสักเท่าไหร่ ในความคิดของผม สถานะของเขาไม่ใกล้เคียงคำนั้นเลยสักนิด
การปรากฏตัวของเขาเป็นปริศนา และตัวตนของเขาก็เป็นปริศนาอีกเช่นกัน เสียงของเขาโผล่ขึ้นมาในหัวผมเฉยๆ เหมือนอาร์เคดเกมที่คุณต้องเอาค้อนตีตัวอะไรสักอย่างที่โผล่ออกมาจากรูเพื่อเก็บแต้ม เพียงแต่ว่าผมไม่มีค้อน และเขาอยู่ในหัวของผม
สวัสดี มีใครได้ยินฉันไหม ตอบฉันที
ประโยคห่วยแตกชะมัด
ผมหัวเราะในลำคอ เสียงคลื่นวิทยุดังซ่าแข่งกับเสียงฟ้าคำรามภายนอก และกว่าผมจะรับรู้ได้ว่านั่นคือสุรเสียงทั้งหมดที่ผมได้ยินในตอนนั้น เขาก็ตะโกนโหวกเหวกน่ารำคาญซะก่อน
ไม่นานก็รู้ว่าคุยกับเขาน่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงหรอก
แค่คิดออกไปก็พอ
เขาไม่บอกชื่อผม ไม่ใช่ว่าเขาลืม เขาแค่ไม่บอก
ผมค่อนข้างจะรู้สึกเฉยๆ ค่อนไปทางดีใจด้วยซ้ำ เพราะการรู้ชื่อกันและกันมันก็เหมือนกับการเติมน้ำหยดเล็กๆลงในแก้วที่มีตะกอนความสัมพันธ์นอนอยู่ที่ก้น แต่ถึงจะเป็นหยดเล็กๆมันก็อันตราย ผมยอมรับจากใจจริงว่าการเป็นเพื่อนกับเสียงอะไรไม่รู้ในหัวของตัวเองค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวและแปลกประหลาดในระดับนึงอยู่
ถึงแม้เราจะคิดโต้ตอบกันและกันในหัวแบบนี้มาสัปดาห์นึงแล้วก็เถอะ
นายไม่มีเพื่อนเลยเหรอ
เขาถามขึ้นมาในบ่ายวันพฤหัสสุดท้ายของเดือนกันยายน ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เก่าๆในห้องดนตรี มือที่ดีดกีต้าร์อยู่เปลี่ยนไปหรี่เสียงเอ็มพีสามรุ่นเก่ากึกในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแทน นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงสามสิบเจ็ด อันเป็นเวลาที่ผมจะต้องเสนอหน้าเข้าไปอยู่ในคลาสเรียนวิชาสังคมศึกษาอันแสนน่าเบื่อ และผมก็ไม่มีความคิดที่จะแลกความน่าเบื่อนั้นกับเวลาที่มีค่าในช่วงบ่ายเลยสักนิด
ผมส่ายหน้าตอบเขา ก่อนจะรู้ตัวขึ้นมาได้ว่าเขาไม่เห็น ไม่
ทำไมล่ะ นายก็ไม่ได้นิสัยแย่อะไรหนิ
ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ หัวเราะแบบที่เขาจะไม่มีวันได้ยิน
ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับลูกของฆาตกรหรอก
นายควรจะออกจากหัวของฉันไปได้แล้ว
ผมบอกเขา อาการปวดหัวเหมือนมีพายุลูกใหญ่หมุนวนในหัวยิ่งทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยักรู้ว่าอารมณ์ของเขาจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ผมต้องพยุงตัวเองไว้กับขอบโต๊ะเพื่อไม่ให้ล้มลง ถึงจะชินแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะรับมือกับมันได้ดีสักเท่าไหร่นัก
แก! ไอ้สารเลว! ขอให้ไม่ตายดี!!!
ผมคุดคู้ไปกับพื้น โต๊ะไม้ที่ใช้พยุงตัวเองไว้ล้มกะเทเร่ สัมผัสได้ถึงอาการปวดหูอย่างรุนแรงเหมือนดำดิ่งอยู่ในทะเลลึกสุดขอบแผ่นดินโลก ผมยันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนอน สองมือประคองหูทั้งสองข้างของตัวเอง อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อมันเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดง
ไอ้เวรเอ้ย
ขอบคุณที่อวยพร ไปลงนรกก็ขอให้อยู่ดีกินดีแล้วกัน
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมคุยกับเขา อาจเป็นเพราะแก้วหูผมทะลุไปแล้วก็ได้จึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงโหยหวนของเขาอีก ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เปลวไฟสีแดงเพลิงลุกโชติช่วงพอดีในคืนวันผลัดเปลี่ยนฤดูกาล พรุ่งนี้หน้าหนาวจะมาเยือน
ผมยิ้ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in