แมรี่ เป็นเด็กผู้หญิง
แมรี่ เป็นเด็กแปดขวบ
แมรี่ อยู่บ้านข้าง ๆ สตีฟ
และ แมรี่ แอบปลื้มลูกชายคนเดียวของสตีฟอยู่
จริง ๆ จะเรียกว่าแอบปลื้มก็คงไม่ได้ เพราะเจ้าตัวออกจะแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น แมรี่มักจะมายืนเกาะรั้วข้างบ้านของเธอตอนที่ไอ้แสบกลับมาจากโรงเรียน เธอจะเขย่งปลายเท้าเล็ก ๆ นั่นเพื่อให้ดวงตากลมโตเป็นประกายและผมสองจุกเลยผ่านขอบรั้วมาได้
ทุกครั้งที่เจ้าสตีฟจูเนียร์กำลังจะเดินเข้าบ้าน เธอจะตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยเสียงอันหวานแหลมของเธอ และโบกมือน้อย ๆ นั่นไปมาเหมือนกำลังถูกระจกล่องหน เธอรู้ตารางในชีวิตประจำวันของเขาดีกว่าใคร — เผลอ ๆ ดีกว่าพ่อแม่เขาเสียด้วยซ้ำ — เธอจึงรู้เสมอว่าเวลาไหนที่ควรมายืนเกาะรั้วรอขวัญใจของเธอ ก่อนหน้านี้ผมเห็นเธออยู่บ่อย ๆ เวลาแวะมาที่นี่ เธอมักจะมองตามผมอย่างสงสัยใคร่รู้ และบางครั้งก็โบกมือทักทายทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยคุยกันมาก่อน
พี่สายฟ้า คือชื่อที่เธอใช้เรียกเจ้าแสบ ผมเคยถามสตีฟว่าทำไมเธอถึงเรียกเขาแบบนั้น แต่โรเจอร์คนพ่อก็ได้แต่ยักไหล่แล้วตอบว่าไม่รู้ ประจวบกับที่เจ้าแสบเดินเข้ามาได้ยินพอดีแล้วบอกกับเราว่าเธอก็ตั้งชื่อไปตามประสาเด็ก ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่จะต้องใส่ใจ
ผมออกมาสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านตอนที่เธอเรียกผมว่า “คุณ ๆ” อย่างสุภาพ ผมสีน้ำผึ้งของเธอสะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นประกาย แก้มของเธอมีเลือดฝาดแดงประดับอยู่ชัดเจน แมรี่กวักมือเล็ก ๆ ของเธอมาทางผม ในตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าเธอเรียกหรือแค่กำลังซ้อมโบกมือให้เจ้าแสบมันกันแน่ ผมจึงใช้นิ้วชี้ที่หน้าอกตัวเอง แต่เมื่อเธอพยักหน้าหงึกหงักจนหัวแทบจะหลุด ผมจึงต้องดับบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยอย่างเสียไม่ได้
“คุณย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วเหรอคะ” เธอถามขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงรั้วฝั่งตรงข้ามเธอ เมื่อมองข้ามไปจะพบว่าเธอเลิกพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ใบหน้ากลม ๆ นั่นพ้นรั้วขึ้นมาแล้วใช้วิธีการที่ฉลาดกว่านั้น ซึ่งก็คือเก้าอี้ซักผ้าที่ดูจะไม่แข็งแรงเสียเท่าไหร่
“แค่ชั่วคราวน่ะ” ผมว่า ยิ้มให้เธออยางอ่อนโยน “หนูคือ แมรี่ ใช่ไหม”
เธอพยักหน้าจนจุกผมสองข้างของเธอไหวไปมา “คุณชื่ออะไรคะ”
“บัคกี้—เรียกว่าบัคกี้ก็ได้” หลังจากที่ผมว่าแบบนั้น เธอก็พยายามยื่นมือข้ามรั้วมาจับมือผมพร้อมพูดคำว่า “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เสียงดังฉะฉาน และชะโงกหน้าซ้ายทีขวาทีเพื่อมองไปยังบถนนบริเวณหน้าบ้านโรเจอร์ “พี่สายฟ้าใกล้จะกลับแล้วล่ะค่ะ วันนี้กลับช้ากว่าปกติ สงสัยเป็นเพราะข้อสอบยากแน่ ๆ เลย” เธอทำปากจู๋ บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์นัก
เป็นอีกครั้งที่ผมสนใจชื่อแปลกประหลาดซึ่งเธอตั้งให้เขาขึ้นมาหลังจากที่พยายามเดาเล่นไปต่าง ๆ นานาว่ามันมาจากอะไร อาจจะมาจากตาสีฟ้าของเขาที่บางครั้งก็เหมือนสายฟ้าแวบผ่านไปเมื่อมันขยับอย่างรวดเร็ว อาจจะมาจากการใช้ขายาว ๆ ของเขาวิ่งผ่านหน้าเธออย่างฉับไวราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเพียงวีเดียว หรืออาจจะมาจากการที่เธอคิดว่าเขาเท่เหมือนตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง จอห์นนี่ ธันเดอร์ ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่ผมกำลังจะอ้าปากถามความจริงกับเธอ จู่ ๆ ก็มีนิ้วปริศนามาจี้เข้าที่เอวจนต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่ พอหันกลับไปอย่างเร็วก็ต้องเจอคนที่หน้าคล้ายกับ สตีฟ โรเจอร์ จนต้องผงะ คนที่ผมกำลังจะพูดถึง เจ้าของฉายา พี่สายฟ้า ของแมรี่ เขายืนอยู่ตรงนี้ ใกล้จนใบหน้าแทบชิดกัน กลิ่นเปปเปอร์มินต์จาง ๆ อันแสนคุ้นเคยลอยมาแตะจมูก ริมฝีปากของเขาที่อยู่ในระดับสายตาของผมคลียิ้มออกมา ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อเขาขยับมันเข้ามาใกล้ขึ้นอีกจนจมูกเขาแทบจะชนกับหน้าผากผม
“ว้าว” เขาอุทานเบา ๆ ยังไม่หยุดรอยยิ้มซุกซนนั่น “ไม่เคยอยู่ใกล้กันขนาดนี้เลยนะเนี่ย” เขากระซิบ มองเข้ามาในดวงตาของผมด้วยสายตาที่ทำให้ต้องมองกลับอย่างเสียไม่ได้
จู่ ๆ แก้มมันก็รู้สึกร้อนคล้ายเตาผิงที่กำลังโดนเครื่องเป่าลมเร่งความร้อนขึ้นมา เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่ผมไม่ค่อยจะมีให้ใคร — ไม่สิ — ไม่เคยมีให้ใครเลยต่างหาก ยกเว้นสตีฟ เขาคนเดียวนั่นแหละ มันเป็นความรู้สึกที่มักจะเกิดขึ้นตอนที่เขาเข้ามาใกล้จนเกินไป หรือแตะเนื้อต้องตัวผมมากจนเกินเหตุ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้ามีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงสตีฟมากจนผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา หรือเป็นคำพูดและการกระทำของคนตรงหน้าล้วน ๆ — คำพูดและการกระทำของ “เจ้าแสบ” ล้วน ๆ — ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเข้า และผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะรู้สึกแบบนี้กับเขาขึ้นมา
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนิ่งค้างไปนานแค่ไหนก็ตอนที่แมรี่เรียกชื่อ “พี่สายฟ้า” ของเธอออกมาเสียงดัง ผมกะพริบตาสองสามทีเพื่อเรียกสติตัวเองกลับคืนมา แล้วจึงเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยกยิ้มเบา ๆ ที่มุมปากอย่างมีเลศนัย ผมจึงยกมือขึ้นดันอกเขาให้ห่างออกไปจากตัว เจ้าแสบหัวเราะในลำคอเหมือนมันเป็นเรื่องตลกหนักหนา แต่ก็ยอมเดินห่างออกจากผมแต่โดยดี
“โผล่มาแบบนี้ ถ้ามีมีดเดี๋ยวก็ได้ตายหรอก” ผมว่า
เขาเลิกคิ้วขึ้นทำเป็นแปลกใจ “ผมแน่ใจว่าหลบทัน เขินแรงนะเนี่ยเรา” และยิ้มยียวนกวนประสาทมาให้
ผมหลบตาเขาไปทางอื่น เคี้ยวริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บนิด ๆ คิดอยากจะหยิบมีดที่อยู่ข้างในรองเท้าที่กำลังใส่ออกมาลองแทงดูสะจริง อยากรู้ว่าจะหลบทันได้จริงหรือเปล่า
“พี่สายฟ้า!” แมรี่เรียกเขาอีกรอบเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความสนใจในครั้งแรก มือของเธอโบกไปมาบนอากาศ เร็วจนมองแทบไม่ทัน พี่สายฟ้า ของเธอหันไปทักทายเธออย่างคุ้นเคย ใช้มือใหญ่ ๆ ของเขายีหัวเธอจนผมที่เธอทำมาอย่างดียุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แมรี่หัวเราะคิกคักไม่ได้สนใจว่าผมของเธอจะกลายเป็นอะไร
“มากวนอะไรลุงเขาล่ะ” คนโตกว่าถาม น้ำเสียงเจือปนความเอ็นดู
“ไม่ได้กวนสักหน่อยค่ะ หนูทำความรู้จักเพื่อนบ้านใหม่เฉย ๆ เขาเป็นลุงพี่สายฟ้าเหรอคะ ไม่สิ ไม่ใช่ลุงแท้ ๆ แบบว่า—เป็นเพื่อนของกัปตันอเมริกาใช่ไหมคะ พี่ก็เลยเรียกเขาว่าลุง แบบนั้นเหรอคะ” เธอถามอย่างฉะฉาน
เจ้าแสบยิ้มที่มุมปากและหันหน้ามามองผม แววตาหยอกล้อเปล่งประกายชัดเจน “ใช่ เป็นลุงบัค ตอนนี้เป็นแค่นั้นแหละ — จนกว่าเขาจะใจอ่อนยอมเป็นอย่างอื่น”
วินาทีหนึ่งผมคิดว่าเขาพูดจริง เขามักจะพูดล้อเล่นกับผมแบบนี้อยู่เสมอตามประสาวัยรุ่นที่ติดจะกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อครู่นี้น้ำเสียงที่เขาส่งออกมามันดูจริงจังแปลก ๆ เอาจริงแปลก ๆ จนผมต้องเม้มปากเข้าหากันและหันมองไปที่ต้นไม้ไกลลิบ ๆ นั่นแก้เก้อ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรที่เขาพูด กระนั้นเขาก็ยังมองมาทางนี้ไม่เลิกและหัวเราะออกมาเบา ๆ จนผมต้องยกมือขึ้นลูบที่แก้มตัวเองทั้งสองข้างเพื่อจะมีอะไรติดอยู่บนนั้น
“อือออ บอกตรง ๆ หนูไม่ค่อยเข้าใจที่พี่พูด แต่ช่างเถอะค่ะ วันนี้หนูเข้าไปนั่งวาดรูปบ้านพี่ได้ไหมคะ นะ นะ นะ” แมรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเว้าวอน มือทั้งสองข้างของเธอกุมเข้าหากันที่อก พี่สายฟ้าของเธออิดออดในตอนแรก บอกว่าอยากนอนเสียมากกว่า แต่เมื่อเด็กหญิงเริ่มพูดถึงสีไม้ที่เธอได้มาเป็นของขวัญวันเกิดด้วยความกะตือรือร้น เจ้าคนโตกว่าก็ดูจะใจอ่อนขึ้นมา “แค่แปบเดียวนะ” เขาว่าและใช้สองมือสอดเข้าใต้รักแร้ของเธอ อุ้มเธอลอยข้ามรั้วมาจนเธอต้องหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้เกเบรียลมาสารภาพรักกับหนูแหละ” แมรี่ว่าขึ้นในขณะที่เธอกำลังใช้สีแดงระบายกระเป๋าเป้ของเด็กผู้ชายที่เธอวาดขึ้นมาบนกระดาษเหลือใช้ซึ่งลอบขโมยมาจากใต้โต๊ะทำงานของสตีฟ (เธอบอกว่าเด็กผู้ชายในรูปคือพี่สายฟ้า และเธอกำลังจะวาดตัวเองลงไปข้าง ๆ หลังจากที่ระบายสีเขาเสร็จ) ไอ้แสบที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางห้องส่งเสียงครางฮือในลำคอเป็นการรับรู้ ผมขอเดาว่าเกเบรียลคงเป็นเด็กผู้ชายใส่แว่นที่ผมมักจะเห็นอยู่บ่อย ๆ ในละแวกนี้ เขามีดวงตาโตสีเฮเซลนัทและฟันกระต่ายอันเป็นเอกลักษณ์ แมรี่สูดลมหายใจเข้าเพื่อพูดประโยคถัดไป “แต่หนูบอกไปว่าหนูไม่ได้ชอบเขา หนูชอบพี่ต่างหาก แล้วเขาก็ทำหน้าทำตาเหมือนโดนมดทั้งรังกัดสะอย่างนั้นแหละ โอเวอร์จริง ๆ” เธอว่า น้ำเสียงแสงออกถึงความรำคาญอย่างชัดเจน
เจ้าแสบทำตาโต “โอ้ ถ้าอย่างนั้น ก็พอเข้าใจอยู่” เขาวางหนังสือการ์ตูนในมือลงกับอกแล้วหันไปพูดกับเธอ “รักคนที่เขารักคนอื่นมันเจ็บยิ่งกว่าโดนมดกัดทั้งรังสะอีก” เจ้าตัวว่า ดูตั้งใจจะเพิ่มเสียงตัวเองให้ดังขึ้นกว่าเดิมจนถ้าเพ็กกี้กับสตีฟอยู่ในบ้านด้วยล่ะก็ คงต้องเดินออกมาเอ็ดเขาเข้าสักคน
ผมที่นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ห้องครัวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดและแก้รายงานการประชุมต่อไปอย่างขมักเขม่น แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังรู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองมาจนไม่มีสมาธิอยู่ดี
“เหรอคะ” แมรี่วางสีไม้ในมือลง “ถ้ามันจะเจ็บขนาดนั้นแล้วทำไมเขาไม่ไปชอบคนอื่นล่ะ รู้อยู่แล้วแท้ ๆ ว่าหนูชอบพี่ เขาชอบฮันน่าห์ก็ได้หนิ ผมสีแดงของเธอสวยจะตาย”
ผมลุกออกจากเคาน์เตอร์ที่นั่งอยู่และคิดว่าจะย้ายข้าวของไปทำงานที่ห้องข้าง ๆ แทน เพราะหากนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปล่ะก็ งานคงไม่เดินไปถึงไหนแน่ ขอสารภาพตรง ๆ ว่าสายตาเจ้าแสบมันกวนสมาธิผมมากจนเกินไป แต่ในจังหวะที่ผมกำลังเดินหอบของพะรุงพะรังผ่านโซฟาตัวที่เจ้าคนขี้จ้องนอนอยู่ เขาก็ลุกขึ้นนั่งและคว้าข้อมือผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดึงรั้งมันจนตัวผมต้องเซไปหาเขา สะดุดขาตัวเองล้มลงบนโซฟา คร่อมอีกคนไปจนหน้าของเราห่างกันไปไม่ถึงคืบ ผมสูดหายใจเข้าลึกอย่างตกใจ เอกสารกองสูงที่ขนมาหล่นกระจายไปทั่วพื้น กระดาษที่สอดเอาไว้ในนั้นมากมายปลิวว่อนไปทั่วห้องตามแรงพัดลมเพดานที่ถูกเปิดเอาไว้ “จะรักจะชอบใครมันเลือกไม่ได้หรอกนะ” เขาพูด มองจ้องมาที่ผมแทบไม่กระพริบตา “ใช่ไหมครับลุงบัค”
อันตราย
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ผมกลั้นหายใจ สมองไม่สามารถประมวลผลได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเมื่อสายตาของเขาเลื่อนลงมาจับจ้องไปที่ริมฝีปากของผม มองมันเหมือนเป็นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล หรือไม่ก็ลูกเชอร์รี่ที่อยู่บนไอติมซันเดย์ ก่อนที่จะเลียริมฝีปากตัวเองจนทำให้ผมต้องเกร็งไปทั้งตัว “คนประเภทนี้” เขาเข้ามากระซิบข้างหูผมเบา ๆ “ทางเดียวที่จะมีความสุขได้ก็คงต้องทำให้เขาหันมาชอบเราแทนคนคนนั้นของเขาให้ได้เท่านั้นแหละ”
ในจังหวะที่ริมฝีปากของเขาเข้ามาคลอเคลียเบา ๆ กับใบหูของผม เสียงเปิดประตูหน้าก็ดังขึ้น
คนที่อยู่ข้างล่างผมจึงยอมปล่อยมือผมไปอย่างรวดเร็ว ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่ร้อนฉ่าเกินกว่าจะหาคำมาเปรียบ เจ้าแสบยกการ์ตูนขึ้นมาอ่านต่ออย่างไม่ยี่หระ แมรี่นั่งมองพวกเราอย่างงงงวย พอดีกับตอนที่สตีฟและเพ็กกี้เดินเข้ามาในบ้าน
“บัคกี้ คุณไม่สบายเหรอ” เพ็กกี้ถามผม มือของเธอกำลังแขวนเสื้อคลุมไว้ที่ราวข้างประตูแต่สายตาของเธอมองมาทางผมอย่างกังวล สตีฟหันมามองผมด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะกวาดตามองไปทั่วห้องแล้วต้องพบว่ามีเอกสารและกระดาษปลิวว่อนอยู่ทั่วพื้น
ผมอ้าปากจะพูดแต่พูดไม่ออก ผนวกกับได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคนที่กำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่ข้าง ๆ จนทำให้พูดไม่ออกมากยิ่งขึ้นไปอีก คนอื่นอาจจะคิดว่าเขากำลังสนุกไปกับเนื้อเรื่องในการ์ตูน แต่ผมรู้ว่าเขากำลังสนุกไปกับท่าทีของผมเสียมากกว่า
“กัปตัน!” เสียงเจื้อยแจ้วของแมรี่ดังขึ้น เธอทิ้งสีไม้ที่เธอหวงหนักหนาไว้บนโต๊ะและวิ่งเข้าไปหาสตีฟอย่างร่าเริง สตีฟทักทายเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วอุ้มเธอขึ้นจนตัวลอย ผมแอบได้ยินเสียงบ่นพึมพำว่า “ถ้าได้ลูกสาวก็คงดี” ออกมาจากปากเขาเบา ๆ และวินาทีต่อมาเขาก็วางเธอลงพร้อมหันมาพูดกับผม “นายโอเคไหม ขอโทษด้วยถ้าทิ้งให้อยู่กับเด็กสองคนจนนายเกิดไม่สบายขึ้นมา — เอ่อ นี่แมรี่ ลูกบ้านข้าง ๆ แต่นายน่าจะรู้จักเธอแล้ว” เขาว่า ก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องที่มีแต่เศษกระดาษและเอกสารที่กระจายอยู่อีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างกังวล
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่เผลอซุ่มซ่ามสะดุดแล้วทำเอกสารพวกนี้กระจายไปหมดน่ะ” จู่ ๆ เจ้าแสบก็พูดขึ้นมา ในขณะที่ตายังคงกวาดไปมาบนหนังสือการ์ตูนอยู่ ผมไม่รู้จะขอบคุณเขาที่ช่วยผมไว้ หรือด่าเขาที่ทำให้ผมต้องพูดไม่ออกจนมีท่าทีแปลก ๆ แบบนี้ดี
“แล้วทำไมไม่ช่วยลุงเขาเก็บ ยังจะมานอนอ่านการ์ตูนอยู่อีก” เพ็กกี้ว่า ยกมือขึ้นกอดบนอก เจ้าแสบที่ดูจะเกรงกลัวฝ่ายแม่มากกว่าก็เลยวางหนังสือที่อยู่ในมือลงแต่โดยดี และเอื้อมลงไปเก็บเศษกระดาษและเอกสารเอาเท่าที่พอเขาจะเอื้อมถึงโดยไม่ต้องลุกออกจากโซฟา
สตีฟและเพ็กกี้ถอนหายใจให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า
เพ็กกี้เพิ่งวางโทรศัพท์ลงตอนที่ผมเดินเข้าไปหาเธอในห้องทำงานเพื่อถามว่าเธอได้คุยกับสตีฟแล้วหรือยัง เพ็กกี้บอกว่า “คุยแล้ว” เสียเบา สีหน้าไม่สู้ดีนัก “เขาบอกว่าเขาจะไล่พวกคนของสมิธไปเองถ้าพวกเขากล้าบุกเข้ามาถึงในบ้านนี้อีกรอบ”
ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเธอต่างออกไปจากตอนที่เธอเผชิญหน้ากับสมิธครั้งก่อน เธอดูมั่นใจน้อยลง และกังวลมากขึ้น เพ็กกี้เดินไปเทบรั่นดีที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งอยู่ตรงข้ามห้อง ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ผมก็เห็นมือที่สั่นเทาของเธอในตอนที่เธอพยายามจะเทมันลงแก้ว
“บอกตามตรงเลยนะ ถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉันค่อนข้างเป็นห่วงลูกชายตัวเอง” เธอว่า ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก “ฉันบอกกับสตีฟแล้วว่าเราหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนสักพักแล้วค่อยย้ายกลับมาก็ยังได้ แต่เขาไม่ยอม และมะรืนนี้ก็จะครบสามวันที่พวกสมิธบอกแล้วด้วย”
ผมพอเข้าใจได้อยู่ถึงความดื้อด้านของเพื่อนตัวเองหากเขามีความตั้งใจอันชัดเจน เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่อยากจะสู้กับคนตัวใหญ่ทั้ง ๆ ที่ตัวเองตัวเท่าลูกหมา ตั้งแต่ที่อยากจะเข้ากองทัพทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็บอกว่าแค่วิ่งเขายังทำไม่ได้ หรือตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปช่วยผมจากค่ายของพวกไฮดร้าทั้ง ๆ ที่หัวหน้าของเขามองว่าเขาเป็นแค่มาสคอตโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพอเมริกา
สตีฟเป็นแบบนั้นมาเสมอ และครั้งนี้ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน
เวลาตีสามคือเวลาที่เงียบที่สุดบนถนนสายเบเวอร์ลี่ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องระงมกันอยู่ข้างนอกตรงพงหญ้าข้างทาง และเสียงครางของแมวที่ยังคงเดินเล่นอยู่บนกำแพงบ้านเพื่อหาเหยื่อในยามดึกเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่ ผม — ในที่สุด — ก็สามารถย้ายร่างตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงในห้องรับรองแขกได้สำเร็จ และมันก็นุ่มอย่างที่เขาว่าไว้จริง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปเชื่อคำพูดของเจ้าเด็กแสบนั่นจนต้องไปนอนในอ่างน้ำในวันแรกทำไม — อีกอย่าง เตียงนี้ก็ไม่ได้มีกลิ่นคล้าย เขา เลยสักนิด
คงเป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ตอนเป็นทหารในสนามรบ ผมนอนไม่ค่อยหลับหากไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านตัวเอง ความหวาดระแวงยังคงฝังลึกอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของสมองผมอยู่ตลอดเวลา เมื่อหูยังได้ยิน และผิวยังสัมผัสได้ สายลมที่พัดมาผ่านช่องหน้าต่างที่ปิดได้ไม่สนิทบางครั้งก็ทำให้ผมสะดุ้งตื่น ดวงตาจ้องมองไปในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ช่วยทำให้มันไม่ได้เป็นความมืดที่น่ากลัวไปเสียทีเดียว
ผมลุกขึ้นมาจากที่นอนบ่อยครั้ง และทุกครั้งเป็นการสะดุ้งตื่นเพราะผมระแวงไปเอง ยกเว้นครั้งนี้
ผมได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้าน และแน่ใจว่านั่นไม่ใช่สตีฟ เพ็กกี้ หรือแม้กระทั่งเจ้าแสบที่อาจจะแอบหนีออกจากบ้านในยามดึก เพราะถึงจะป่วงยังไง เขาก็คงจะไม่บ้าขนาดออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตอนนี้มีอันตรายบางอย่างคอยจ้องเล่นงานครอบครัวเขาอยู่แน่
ผมลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ คว้าปืนกระบอกยาวที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาถือและค่อย ๆ เปิดประตูออกไป ฝีเท้าของผมเงียบเชียบยิ่งกว่าตีนแมว ผมใช้มันย่องไปตรงหัวบันได กวาดตาไปตรงบริเวณห้องนั่งเล่นด้านล่างผ่านซี่บันไดจากชั้นสอง ทุกอย่างเงียบสนิท ประตูหน้าบ้านยังคงปิดดี และไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ จากสิ่งมีชีวิต
แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะก้าวลงไปจากชั้นสอง ร่างกายก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากข้างหลังจนพลัดตกลงไปอย่างรวดเร็ว ตัวกระแทกไปตามขั้นบันไดจนเจ็บปวดไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าสมองจะประมวลได้ทัน มีแต่ร่างกายเท่านั้นที่ขยับไปตามสัญชาตญาณ ผมพลิกตัวกลับ ใช้มือสองข้างยกปืนขึ้นปะทะกับมีดที่กำลังจะแทงลงมา เหวี่ยงมันออกไปจนมีดที่อยู่ในมือของคนร้ายปลิวไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง มันรีบกระโดดหลบเมื่อผมกำลังจะฟาดด้ามปืนเข้าที่หัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงดังมาจากห้องของโรเจอร์คนลูก นั่นทำให้ผมต้องรีบตัดสินใจใช้ขาสะกัดคนลอบจู่โจมคนนี้ไว้ให้ล้ม แล้วดึงปืนสั้นที่ซ่อนไว้ตรงสายเหน็บที่น่องออกมายิงไปที่หัวมันทันที
ร่างที่ล้มอยู่บนพื้นแน่นิ่งไป
ผมหอบหายใจ
มองดูให้แน่ใจว่ามันตายแล้วจริง ๆ
เสียงบางอย่างกระแทกกันอย่างแรงดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมได้สติขึ้นมาแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก้าวข้ามบันไดสองสามขั้นขึ้นไปทีเดียว แม้จะรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายจากการตกบันไดลงมาแค่ไหนก็ตาม ผมหันไปกระแทกประตูด้านขวาซึ่งเป็นห้องของโรเจอร์คนลูกทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง ประตูเหวี่ยงเปิดออกอย่างแรง และเมื่อผมกำลังจะยกปืนขึ้นยิงทั้งทีที่เห็นร่างที่ยืนหราอยู่กลางห้อง ผมก็ต้องชะงักไปเมื่อร่างนั้นคือร่างที่ผมคุ้นเคย
เด็กผู้ชายที่ผมเห็นมาตั้งแต่เล็กกำลังยืนอยู่ท่ามกลางร่างอันไร้สติของกลุ่มคนติดอาวุธครบมือ เว้นเสียแต่ว่าอาวุธของพวกเขากระจายไปคนละทิศละทาง เมื่อกวาดตามองดูก็ต้องพบว่าคนพวกนี้มีอยู่ประมาณสิบกว่าคนได้ อัดแน่นกันอยู่บนพื้นห้องเล็ก ๆ ห้องนี้จนแทบจะไม่มีส่วนพื้นไม้โผล่มาให้เห็นเลย
ผมลดปืนลง มองไปที่เจ้าของห้องซึ่งค่อย ๆ หันมามองผมเช่นเดียวกัน เสียงโวยวายจากห้องของสตีฟและเพ็กกี้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเริ่มเงียบเสียงลง ผมเดาว่าเขาก็คงโดนโจมตีจากที่นั่นเหมือนกัน และเชื่อว่าเขารับมือกับพวกมันได้สบาย แต่กลับกัน ลูกชายของเขานี่ล่ะสิ
ทำได้ยังไง
“โห ชุดนอนเซ็กซี่ดีนะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม ไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมกำลังจะเปิดปากถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาส่ายหน้าออกมาเสียก่อน และค่อย ๆ เดินมาหาผม เหยียบร่างที่นอนอยู่บนพื้นราวกับมันเป็นแค่หมอนหรือผ้าห่มที่กระจายอยู่ ทันทีที่เขาเข้ามาประชิดถึงตัวผม เขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากที่เปื้อนรอยยิ้มของตัวเอง และพูดกับผมด้วยเสียงกระซิบว่า
“ชู่— เป็นความลับของเราล่ะนะ อย่าบอกพ่อกับแม่ล่ะว่าผมเป็นคนทำทั้งหมดนี่ด้วยตัวเอง”
TBC
__________________________________________
Hi! Talk to me on Twitter - @uchihanippa or #ลุงบัคแอบชอบพ่อผมเหรอ
ตอนสี่มาแล้ว ตอนสี่มาแล้วเย้ T-T อยากแจ้งให้ทุกคนทราบว่าฟิคเรื่องนี้ส่วนมากแต่งในเวลาฝึกงาน (ตอนที่ไม่มีงานนะ5555) บางทีจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไป พอคนเดินผ่านหลังทีก็ผวาที ล่าสุดออกไปแต่งที่หน้าบริษัท เพื่อนที่ฝึกงานด้วยกันถึงกับเป็นห่วงว่าทำไม จู่ ๆ ถึงเดินไปนั่งตรงนั้นล่ะ ความจริงก็คือแต่งฟิคจ้า 5555555 ทุกคนคิดยังไงกันบ้างกับตอนที่สี่นี้!? บอกเราให้รู้ด้วยนะ เราชอบอ่านคอมเมนต์ทุกคนมาก ๆ ใครที่ยังอ่านอยู่แล้วไม่กล้าคอมเมนต์ หรือไม่รู้จะคอมเมนต์อะไร ก็เขียนอะไรลงไปในแท็ก #ลุงบัคแอบชอบพ่อผมเหรอ ก็ได้ จะลงเพลง จะใส่รูป จะโวยวาย ได้หมดเลย เราชอบ555555 รักทุกคนมาก ๆ นะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้าาา <3
จนกว่าจะพบกันใหม่
เกินเบอร์มากๆไอเด่กกก