บรูซ เวย์นคิดว่าเขาไม่มีไอ้ของอย่าง 'เสป็ค' อะไรนั่น ไม่เห็นสร้างสรรค์ที่ต้องมาคอยจดคอยท่องว่าชอบคนแบบไหน เหมือนเอาตะกร้อมาครอบตัวดีๆ นี่เอง เขาหลบเลี่ยงได้เก่งเสมอเมื่อบทสนทนาลากมาเข้าหัวข้อนี้ แต่เอาเข้าจริง—โดยสัตย์จริงเลยนะ เขาก็ว่าตัวเองพอจะมีแบบที่ชอบในใจอยู่เหมือนกัน
เขาพบว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้กับสำเนียงนุ่มทุ้ม แผ่วหวิว ติดริ้วแหบประดับปลายคำเหมือนลูกไม้ตามชายกระโปรงเด็กสาว คนที่เวลาพูดแล้วโลกบุกำมะหยี่ คลี่ยิ้มละมุน สายตายิ่งละมุนกว่า และจะยิ่งนุ่มจนแทบหลอมละลายยามฉ่ำพร่าด้วยหยาดน้ำตา ผสมความเกรี้ยวกราดกับรสเฝื่อนปร่าของความสิ้นหวังโรยหน้า คนที่อารมณ์ขันกระจัดกระจาย หัวเราะแบบสุ่ม หัวเราะแบบน้ำตาลข้นๆ เหนียวหนืด หยดลงไปเป็นไซรัปบนแพนเค้ก ใช่เลย แบบนั้นแหละ
แล้วก็ดวงตา—ดวงตาที่บอกไม่ถูกว่าสีอะไร กำหนดชัดทีเดียวไม่ได้ มีโอกาสสับสนกับภาพเงาสะท้อนของฟ้าโปร่งหน้าร้อน ฟ้าสว่างจ้า ฟ้าสดที่ไม่สะท้อนแม้แต่ดวงอาทิตย์ หรือไม่ก็ฟองคลื่นใต้แดดบ่ายจัด มหาสมุทรตีวงกระทบโขดหิน ดูเย็นฉ่ำแต่ก็ร้อนแทบบ้า ดวงตาสวยเกินฝัน ฟังดูไม่น่าเชื่อ ? ฟังต่อ แล้วจะไม่เชื่อยิ่งกว่าเดิม
มีอะไรอีก อ้อ เสียง.. น้ำเสียง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงบนสวรรค์เป็นพยานเถอะ เสียงเพราะอะไรขนาดนั้น เสียงที่ฟังแล้วเผลอนึกไปว่านั่งอยู่กลางวงออเคสตราของวิวาลดิ เสียงที่สามารถแนบหัวใจมากับถ้อยคำ เสียงที่ทำให้คนฟังสัมผัสความสุข น้ำตา และความเจ็บปวดแสนสาหัสจนสุดปลายประสาท ถึงบางทีจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ช่างไพเราะ ไหนจะพลังขับเคลื่อนนั่นอีก
คนที่พูดประมาณว่า—
'สวัสดี'
'ฉันชื่ออาเธอร์นะ'
'เธอชื่ออะไรเหรอ ?'
—อะไรทำนองนั้น
แน่นอนล่ะว่าคนอย่างเขา, คนอย่างบรูซ เวย์น ไม่เคยต้องใจกับอะไรที่ธรรมดาสามัญ เห็นดาษดื่นทั่วไปตามท้องถนน ระดับเขาแล้วมันต้องมีสิ่งพิเศษ สิ่งที่หายาก แต่ก็จับต้องได้ สิ่งที่เขาควบคุมได้ สิ่งที่เขาเอื้อมถึง
นั่นแหละ, อืม, แบบนั้นแหละ
ก็ประมาณนี้แหละ..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in