เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ME IN KOREA: เกาหลีในตอนนั้น (2017/2018)dkelf
FAFL2017/2018: รีวิวทุนแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนมหาวิทยาลัยแทจอน ประเทศเกาหลีใต้
  • Introduction: 
    Blog นี้จะมารีวิวเกี่ยวกับทุนที่ตัวเองเคยได้รับตอนปี 2017 นะคะ (นานมาแล้ว แฮร่) เคยเขียนลง FB ส่วนตัวไปแต่อยากเก็บไว้ในนี้ด้วย แต่ข่าวร้ายคือหลังจากรุ่นเราทุนนี้ก็หยุดไปหลายปีแล้วค่ะ ยิ่งมีโควิดยิ่งแล้วใหญ่ TT อ่านเอาสนุกแล้วกันนะคะ อีกหลาย ๆ ปีข้างหน้าอาจจะกลับมาอีกก็ได้ค่ะ
    (ช่วงเวลาที่ไป: 31 สิงหาคม 2017-30 มิถุนายน 2018)

  • ทุนนี้มีชื่อว่า Fostering ASEAN Future Leaders Programme 2017/2018 เป็นทุนเต็มจำนวนจากความร่วมมือของ AUN-DJU และปีที่เราไปเป็น Batch ที่ 15 แล้วค่ะ หลัก ๆ ทุนนี้จะให้กับนักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยที่เป็น MOU ต่อกัน คือ จุฬาฯ มหิดล ม.เชียงใหม่ ม.บูรพา และ ม.สงขลานครินทร์ เรามาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (หากไม่ใช่นักศึกษาจาก 5 มหาวิทยาลัยนี้แต่อยากสมัคร แนะนำว่าให้ติดต่อทาง AUN โดยตรงไปเลยค่ะ) รับนักศึกษาทั้งสิ้น 20 คนจาก 10 ประเทศอาเซียน จำนวนตัวแทนจากแต่ละประเทศจะคละกัน บางประเทศก็ไม่มา เช่นปีเราไม่มีสิงคโปร์กับบรูไน บางประเทศมาถึง 4 คน บางประเทศแค่คนเดียว ส่วนไทยแลนด์ของเราไป 3 คนจ้า อ้อ แล้วทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนคนเกาหลีนะ มีแน่นอน เพราะเราต้องเข้าโครงการบัดดี้ นอกจากนี้แล้วเรายังได้เพื่อนเกาหลีจากคลาสเรียนต่าง ๆ ด้วย เคยอ่านรีวิวว่าเพื่อนเกาหลีหายาก แต่เรา ๆ ในนี้คือมีเพื่อนเกาหลีอย่างเยอะ 

    ทุนนี้มีค่าสมัครไหม
    สมัครฟรีค่ะ แต่ต้องเสียค่าเอกสารตรวจสุขภาพเพื่อขอใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐค่ะ ต้องแนบไปในใบสมัครด้วย

  • ทำไมตัดสินใจสมัครทุนนี้ เพราะถ้าติดแล้วต้องดรอปเรียนถึง 1 ปี
    ฝันมาตั้งแต่ ม.ต้นแล้วค่ะว่าชีวิตนี้ต้องไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศสักครั้ง ไม่เกี่ยงว่าประเทศไหน ยิ่งมาเจอทุนเต็มจำนวนแบบนี้ เราเลยลุยเต็มที่ ช่วงเดือนนั้นเป็นรอมฎอนหรือเดือนสำหรับการถือศีลอดของมุสลิม เราใช้เวลาหลังจากทานข้าวมื้อเช้าตรู่ (ซาโฮร) เสร็จแล้วเราจะมานั่งหน้าคอมเพื่อเขียน Essay สมัครทุนนี้ทุกวัน เขียนอยู่หลายวันกว่าจะออกมาเรียบร้อยตามที่ตัวเองต้องการ พยายามงัดวิชา Essay ที่เพิ่งเรียนไปมาใช้ให้ได้มากที่สุด เหตุผลหลักที่สมัครก็เพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเอง และเป็นทุนเต็มจำนวนค่ะ ยอมดรอปเรียนเพราะคิดว่ายังไงก็คุ้ม โอกาสแบบนี้ไม่ได้มากันง่าย ๆ Why not? Right?


    จดหมายตอบรับจากโครงการ หน้าบานไป 8 วัน ทั้งดีใจ ตื่นเต้น ไปจนถึงกลัว ครบ
  • ทุนนี้ให้อะไรกับเราบ้าง
    ให้ทุกอย่างค่ะ เต็มจำนวนจริง ๆ แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ยกเว้นค่าเดินทางตอนไปทำวีซ่า อันนี้ต้องจัดการเองนะจ๊ะ แล้วก็มีค่าใช้จ่ายช่วงแรกเล็กน้อยค่ะ

    •••สิ่งที่เราจะได้•••

    - ค่าเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด (หาดใหญ่-สุวรรณภูมิ/ สุวรรณภูมิ-อินชอน)
    - ที่พักฟรี
    - อาหารฟรี 3 มื้อทุกวัน (ยกเว้นช่วงปิดเทอม)
    - เงินเดือน 300 ดอลล่าห์/เดือน
    - Field trip ไปเที่ยวหรือดูงานกับโครงการฟรี
    - ที่พักช่วงฝึกงาน/ช่วยงานองค์กร ฟรี 1 เดือน (โซล อินชอน เซจง)

    •••ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยช่วงแรกที่ต้องออกเอง•••

    - ค่าเดินทางไปทำวีซ่าที่กรุงเทพ ค่าเครื่อง ค่าโรงแรม แต่วีซ่าทำฟรีนะคะ รอผลไปอีกประมาณ 3 วัน
    - ค่าตรวจสุขภาพเพื่อทำวีซ่า
    - ค่าประกันสุขภาพ (ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5,000 วอน หรือ 150 บาท)
    - ค่ากินช่วง 3 สัปดาห์แรก เพราะเราต้องรอให้โครงการอนุมัติเงินเดือนก่อน
    - ค่าหนังสือเรียนภาษาเกาหลี เล่มละ 15,000 วอน เทอมละ 2 เล่ม 30,000 วอน ก็เกือบ ๆ 1,000 บาท/เทอม


  • ข้อมูลมหาวิทยาลัย
    มหาวิทยาลัยที่เราไปแลกเปลี่ยนมีชื่อว่ามหาวิทยาลัยแทจอน (Daejeon University) ตั้งอยู่เมืองแทจอน อยู่ภาคกลาง ห่างจากโซลไป 2 ชั่วโมง เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก สามารถเดินวนได้รอบเลย ต้นไม้เยอะ เนินก็เยอะประหนึ่งเดินขึ้นเขาตลอดเวลา ช่วง Fall แล้วก็ Spring จะสวยเป็นพิเศษ ที่เราชอบที่สุดก็คือห้องสมุด ห้องสมุดที่นี่ต้องจองโต๊ะผ่านระบบก่อนถึงจะไปนั่งได้ ห้องอ่านหนังสือก็มีเยอะ สมคำร่ำลือว่าเด็กที่นี่เรียนหนัก และที่สำคัญคือเงียบมากกกกก ห้องสมุดในฝันเลย ช่วงเวลาปิดเทอมของที่นี่จะยาวเท่า ๆ กัน คือ 2 เดือน 10 วัน (ปิดช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อน)


  • เมืองแทจอน
    เป็น 1 ใน 5 เมืองใหญ่ของเกาหลี ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองวิทยาศาสตร์เพราะมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ชื่อดังอยู่ที่นี่ (Kaist) และสถาบันวิจัยอีกมากมาย ด้วยความที่ไม่ใช่เมืองหลวง เลยไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไร สงบ สะอาด สถานที่ทางธรรมชาติก็มี มีความเนิบ ๆ ผู้คนใจดี สบายตาสบายใจ แต่ถ้าใครสายชอปปิ้ง แทจอนเองก็มีโซนดาวน์ทาวน์อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าบรรยากาศค่อนข้างครบเลยทีเดียว ชอบ 
    แทจอนมีสวนสาธาณะให้ไปนั่งเล่นเยอะมาก ๆ แน่นอนว่าต้นไม้อย่างเยอะ ร่มรื่นสุด ๆ 
    บรรยากาศข้าง ๆ มหาวิทยาลัย
  • ภาษาจำเป็นมากแค่ไหน?
    1. ภาษาอังกฤษ:
    จำเป็นมากกกกกกกกกกก เราต้องสื่อสารกับเพื่อนและอาจารย์เป็นภาษาอังกฤษ ฉะนั้น ควรมีทักษะในการสื่อสาร การเขียน รวมทั้งการนำเสนองาน เพราะเราต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกวิชา (ยกเว้นวิชาภาษาเกาหลี 2 ตัวที่ต้องเรียนเป็นภาษาเกาหลี) ก็เรียนเหมือนเรียนที่มหา’ลัยเรา มีงานเดี่ยว งานกลุ่ม ไม่ค่อยมีสอบ Midterm/Final (ยกเว้นภาษาเกาหลี) แต่อาจารย์จะให้พรีเซ้นต์งาน ทำ Project กลุ่ม หรือให้เขียน Essay ส่งมากกว่า
    .
    .
    2. ภาษาเกาหลี: มีทักษะติดตัวบ้างก็ดีค่ะ แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราเองก็ไม่ได้เรียนเอกเกาหลีหรือโทเกาหลี หลายคนเข้าใจผิดว่าคนที่ไปโครงการนี้ต้องพูดเกาหลีได้ซึ่งไม่จริงเลย ทั้ง 20 คนไม่มีใครเรียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเลยแม้แต่คนเดียว (เราเรียนศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ม.อ.ปัตตานี) ซอนแซงนิมเขาจะสอนเราตั้งแต่ตัวอักษร สระ การอ่าน ไปจนถึงแกรมม่าต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเน้นเรียนเพื่อเอาตัวรอด เพราะคนที่นี่ไม่ค่อยพูดอังกฤษกัน ทั้งโครงการ 20 คน มีคนมีพื้นฐานอยู่ไม่ถึง 5 คน แต่พอเรียนจนถึงเทอม 2 แล้วทักษะทุกคนก้าวกระโดดมาก ๆ สื่อสารกับอาจารย์สบาย อาจจะไม่ได้ไหลลื่นมาก แต่สื่อสารได้ทุกคน (แหงล่ะ เราได้ยินเจ้าของภาษาพูดทุกวัน) และอาจารย์ทุกท่านก็น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ พูดแล้วก็คิดถึง >< 
    Korean II 
  • เรียนวิชาอะไรบ้าง

    ใน 1 เทอม เราต้องเรียนวิชาเลือก 4 ตัว + เกาหลี 2 ตัว + เสรี 1 ตัว (ไม่บังคับ) รวม ๆ แล้วก็ 6-7 ตัว โดยวิชาเรียนจะแบ่งเป็น 2 สาย คือ ICT กับ Social science ของเราจะเป็นอย่างหลัง วิชาทางฝั่งสังคมศาสตร์ก็จะมีวิชาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม วิจัยทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี แล้วก็วิชาธุรกิจ (ฝั่ง ICT นี่จำไม่ค่อยได้แล้วฮะ เพราะไม่ได้เรียนสายนี้ ทุกวิชาจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ) ยกเว้นวิชาภาษาเกาหลีที่จะสอนเป็นภาษาเกาหลี เทอมแรกยังแทรกอังกฤษนิด ๆ ให้พอรู้เรื่อง แต่พอเทอม 2 คือเกาล้วนเลยจ้า อาจารย์ถือว่าเราอยู่มานานมากพอที่จะเข้าใจได้แล้ว มันส์เลยทีนี้ และนี่คือวิชาที่เราลงทั้ง 2 เทอมค่ะ

    ••Cross-cultural communication I & II••
    ชอบวิชานี้ที่สุดเลย เรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมเชิงทฤษฎี เน้น discussion และเขียนอภิปราย การบ้านที่เด็ดที่สุด คือ เรื่อง Cultural space อาจารย์ให้เราไปในที่ที่เราไม่เคยไปและไม่คิดว่าจะไป แล้วกลับมาเขียนสะท้อนว่าตอนนั้นเรารู้สึกยังไง เราทำตัวยังไง เราเลือกไปที่โบสถ์คริสต์วันอาทิตย์ เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดีนะเออ เรียนรู้เขา เรียนรู้เรา

    ••Technology and social change I & II••
    เทอมแรกจะเน้นไปที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม การบ้านที่หนักที่สุดสำหรับเราตอนนั้น คือ การเขียนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไทย นอนเช้าเลยจ้า ถถถถถถ ส่วนเทอมสองจะเน้นงานกลุ่ม เรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีรอบตัวและการพัฒนาของโลก เทอมสองชิลกว่าเยอะ

    ••The perspective••
    ตอนลงคือไม่ได้คิดว่าวิชานี้จะเกี่ยวกับธุรกิจ แต่ก็เกี่ยวจนได้ แรก ๆ เครียดมาก เพราะเราไม่มี background ในด้านนี้เลย ทุก ๆ คาบอาจารย์จะให้เราฟัง Ted talk แล้วให้เรามาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศเรา จากนั้นอาจารย์ก็จะให้เราพูด คืออออออ หนูไม่รู้เรื่องเลยค่า ทำการบ้านกันหนักเลย แต่ดีที่มีเพื่อนร่วมคลาสคอยช่วย ส่วนงานมิดเทอมและไฟนอลคือการพรีเซ้นต์งาน นี่น่าจะเป็นการพรีเซ้นต์งานภาษาอังกฤษเดี่ยว ๆ ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ อัลฮัมดุลิลลาห์

    ••Interdisciplinary social work seminar••
    เป็นอีกวิชาที่ชอบมาก ๆ ถึงแม้ช่วงแรกจะเอ๋อ ๆ เพราะอ่านวิจัยไม่รู้เรื่องก็เถอะ อาจารย์ให้เราไปอ่านวิจัยแล้วก็มาถกกัน พอช่วงกลางเทอมก็ให้ทำ Mini paper เกี่ยวกับการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาแลกเปลี่ยน พวกเราได้เพื่อนเกาหลี 2 คนมาจากวิชานี้แหละ

    ••Entrepreneurship theory and practice••
    อันนี้เริ่ด ตามชื่อเลย วิชาได้ทำธุรกิจกันจริง ๆ ลงทุนจริง ได้กำไรจริง สาหัสมากจ้ากับวิชานี้ ต้นเทอมวางแผน มิดเทอมพรีเซนต์ก่อนขายจริง หลังจากนั้นถึงเริ่มขาย เปลี่ยนสินค้าอยู่ 3 รอบกว่าจะได้กำไร เป็นแม่ค้าไปครึ่งเทอมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่สนุกสุด ๆ

    ••20th century history••
    วิชานี้สนุก ไม่เครียด แต่เนื่องจากว่าเป็นวิชาเสรี ในคลาสเลยมีต่างด้าวอยู่ 2 คน คือเรากับเพื่อนเมียนมาร์ ที่เหลือเกาหลีหมด อาจารย์เป็นคนอเมริกัน เน้นเล่าเรื่องประวัติศาสตร์และเล่นเกมสนุก ๆ

    ••Introduction to social science research method••
    เป็นวิชาที่ซีเรียสที่สุดแล้วมั้ง ทุก ๆ สัปดาห์ อาจารย์จะให้เราอ่านวิจัยแล้วมานั่งคุยกันว่าวิจัยนี้ใช้วิธีการอะไรในการค้นคว้า พร้อมทั้งเรียนทฤษฎีอีกล้านแปด ร้องห้ายยยย ส่วนไฟนอลคือเราต้องมาพรีเซ้นต์ว่าในอนาคต เราอยากทำวิจัยเรื่องอะไร จะใช้วิธีไหนในการทำ กลุ่มตัวอย่างเป็นใคร ประมาณนี้ฮะ

    ••Advanced English conversation••
    อันนี้เป็นเสรี เพื่อนในคลาสมีทั้งอาเซียนและเกาหลี ทุก ๆ สัปดาห์เราจะมาถกกันในประเด็นต่าง ๆ ที่ค่อนข้างซีเรียส เช่น Stereotype, Stress เป็นต้น เอ๋อมากช่วงแรก ช่วงหลังเริ่มมันส์ ไม่มีใครยอมจ้า 55555

    ••Korean grammar I & II••
    ••Korean conversation I & II••

    ตามชื่อเลย ไวยากรณ์เกาหลี กับสนทนาภาษาเกาหลี คนเกาหลีไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น จำเป็นต้องเรียนเพื่อตัวรอดค่ะคุณ เทอมแรกจะสอนตั้งแต่เบสิกเลย ประหนึ่งเราเป็นเด็กอนุบาล (พื้นฐานภาษาเกาหลีมีอยู่ 5% จากการดูซีรีส์ และบางคนก็ไม่มีพื้นฐานเลย) เรียนไปนาน ๆ เข้าก็เริ่มยาก ภาษาเกาหลีอ่านง่ายมากค่ะ แต่แกรมม่าบรรลัย ผันผิดผันถูก ยุ่งไปหมด แต่ชอบนะ เป็นพวกบ้าภาษา เทอมสองสอนเป็นเกาล้วน ๆ พยักหน้าหงึก ๆ ไว้ก่อน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็เห็นชัดนะว่าพวกเราเริ่มสื่อสารรู้เรื่องขึ้นเยอะมากเลย และอาจารย์ใจดีทุกท่านเลย ชอบมากกก 
    อย่างที่บอกค่ะว่าคลาสเรียนส่วนใหญ่จะเป็นแนว discussion ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแค่การแชร์มุมมองของแต่ละด้านเท่านั้นเอง ฝึกการพูดการเขียนให้เยอะ ๆ เด้อ 
    ภาพส่วนหนึ่งจากวิชา Cross-cultural communication อันนี้เป็นการบ้านเรื่อง Cultural space ที่ทำให้เราได้ไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ชีวิตนี้ไม่น่าจะได้เจอ นี่ไปโบสถ์คริสต์วันอาทิตย์จากนั้นก็ค่อยมาเขียน Essay สะท้อน วิชานี้สนุกมาก 
    ภาพจากวิชา Advanced English Conversation 
    วิชาแม่ค้า101 - Entrepreneurship theory and practice กลุ่มเราเปลี่ยนสินค้าหลายรอบมากกว่าจะลงตัว สนุกสุด ๆ 

  • กิจกรรม Field trip
    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าโครงการนี้มีการพาไปดูงาน+เที่ยวฟรี หรือ Field trip การทัศนศึกษานอกสถานที่นั่นเอง หลัก ๆ ก็จะเป็นการไปดูงานตามองค์กรรัฐและบริษัทต่าง ๆ (แทจอน โซล เซจง ชอนจู คังนึง) ไปเยี่ยมชมสนามกีฬาโอลิมปิกพย็องชัง จังหวัดคยองกี ทริปเที่ยวสวนสนุก Everland ทริปเก็บสตรอเบอร์รี่ กิจกรรม Workshop ที่ปูซาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหลังจากดูงานเราก็จะจบด้วยการเที่ยวเสมอ 
    เยี่ยมชมพระราชวัง
    เข้าร่วม Forum ที่โซล
    ไปดูงานที่บริษัทโฆษณา 
    ไปดูงานเกี่ยวกับ Co-working space ที่ชอนจู ได้ไปทำชีสสดกับพิซซ่าด้วย
    ไปพรีเซนต์ Project วิชาผู้ประกอบการที่มหาวิทยาลัย Kaist 
    ทำกิจกรรมที่บริษัทซองชิมดัง บริษัทขนมชื่อดังแห่งเมืองแทจอน
    ไปเก็บสตรอเบอร์รี่อ้วน ๆ ที่นนซาน 
    Workshop สุดท้ายที่ปูซาน 
    ได้ไปเที่ยวเกาะกอเจใกล้ ๆ ปูซานด้วย สวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    พอแระ...ลงไม่ไหว Field trip ที่โครงการจัดให้คือเยอะมากๆๆๆๆ ที่เอามาลงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งปีคือได้ไปเที่ยวฟรีหลายรอบเลย ขึ้นเหนือลงใต้ อย่างชอบเลย สนุกมาก 
  • กิจกรรมช่วงปิดเทอมฤดูหนาว
    ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวเราต้องขึ้นไปอยู่โซล 1 เดือน เพื่อเป็นผู้สังเกตการณ์และสตาฟงานฟอรั่ม มีประชุมบ้างประปราย เวลาที่ว่างคือเที่ยวแหลก ช่วงนั้นวิ่งเล่นรอบโซลเลยจ้า เชี่ยวชาญเส้นทางกว่าแทจอนอีก 55555 ส่วนงานฟอรั่มจะจัดที่ปูซาน ถือโอกาสได้ไปเที่ยวอีกเมือง ทางโครงการเป็นผู้จัดหาที่พักให้ ซึ่งตอนนั้นพวกเราที่ได้ไปโซลต้องไปพักที่หอของ ม.ซงชิล 

    Forum ที่ปูซาน

  • กิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย 
    กิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยที่เราชาวต่างชาติจะได้ทำแน่ ๆ คือ งาน International Food festival และ International sport day งานเทศกาลอาหาร คืองานที่เราจะได้นำเสนออาหารไทย อยากจะนำเสนอก็จัดมาเลย แต่งชุดไทยพร้อม ส่วนงานกีฬาก็จะเป็นกีฬาพื้นบ้านซะส่วนใหญ่ ก็ไม่ต้องซีเรียส ไปเล่นขำ ๆ สนุก ๆ
    International food festival ทีมไทยปั้นบัวลอยกันจ้าาาาา ปั้นถึงตี 4 อยากร้องไห้ ดีที่มีเพื่อนจากชาติอื่นมาช่วยด้วย 
    International sport day ตอนเทอม 1 ลงไปเล่นดอดจ์บอลขำ ๆ สนุกดี พอเทอมสองก็ขอลาละ นั่งโง่ ๆ เป็นกองเชียร์ดีกว่า เหน่ย 
  • Roommates: เดอะแก็งเพื่อนรักส์เพื่อนตายตลอดสิบเดือน
    อันนี้ไม่พูดไม่ได้จริง ๆ เนื่องจากว่าเราเป็นหญิงไทยใจงามเพียงคนเดียว เราจึงต้องไปอยู่กับเพื่อนชาติอื่นที่เขามาคนเดียวเหมือนกัน ห้องเราพิเศษตรงที่อยู่ได้ 3 คน (ห้องอื่น 2 คน) และคนอื่น ๆ เขาจะได้อยู่กับชาติเดียวกัน พวกเราคือแหวกแนวมาก คนนึงเป็นกัมพูชา อีกคนเป็นฟิลิปินส์ แทบไม่ได้ใช้ภาษาไทยยกเว้นตอนคุยกับเพื่อนคนไทย ความพีคอีกเรื่องคือเราสามคนนับถือต่างศาสนากันหมดเลย อยู่ไปอยู่มาก็พบว่าทุกคนคือคนบ้าค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าเคมีจะดีขนาดนี้ เป็นเพื่อนเที่ยว เพื่อนทำอาหาร เพื่อนเดินขึ้นเขา ไปจนถึงเพื่อนร่วมทริปไปญี่ปุ่น (อันนี้ไว้เล่าแยก ทริปสนุกมาก) วันสุดท้ายนี่ร้องไห้กันหนักมากจ้า ตาบวมไม่ไหว ไม่มีใครให้แกล้งละ ฮ่า จนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อกัน และวิดิโอคอลกันบ้างตามโอกาส 



  • Muslimah in Korea: การเป็นมุสลิมในเกาหลี 
    มีเรื่องเดียวที่ลำบากคือเรื่องของกิน ช่วงที่อยู่แทจอนก็จะทานแป้งและอาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่ (ต้องตกลงกับป้าที่โรงอาหารก่อน) ถ้าอยากทานเนื้อก็ต้องไปกินที่ร้านอาหารอินเดียหรืออินโด ซึ่งแพงจ้า ไปนาน ๆ ครั้งก็พอ แต่ช่วงที่ไปอยู่โซลจะแวะไปอิแทวอนอยู่บ่อย ๆ ไปมัสยิด ไปกินเนื้อฮาลาล แต่นอกนั้นสบายนะ เรื่องฮิญาบก็ไม่ใช่ปัญหาเด้อ เคยเจอคุณลุงคุณป้าถามเรื่องฮิญาบบ้าง แต่เขาถามเพราะสงสัยเฉย ๆ เราก็ตอบไปแบบเป็นมิตร เขาเอ็นดูเรานะ กลัวเราร้อนบ้างอะไรบ้าง ไม่เคยเจอเรื่องการเหยียดต่อหน้าแต่อย่างใด ตอนแรกก็กังวล เพราะเป็นต่างจังหวัด กลัวว่าผู้สูงอายุบางส่วนอาจจะมีทัศนคติที่ลบกับเราหรือเปล่า แต่ผิดคาดมาก ๆ ทุกคนใจดีและเป็นมิตรมากกกก บางคนชมด้วยว่าใส่แล้วสวยนะ ยิ่งฤดูหนาวนี่สบายเลย ไม่ต้องใส่ผ้าพันคอ ส่วนช่วงเดือนรอมฎอนก็มีสุเหร่าใกล้ ๆ มหาลัยให้ไป คืนไหนอยากจะไปกิยามุลลัยก็จะไปที่มัสยิดเซ็นเตอร์ ไกลหน่อย แต่จะดีที่มีมุสลิมะห์อยู่กันเยอะ ตอนรายอเราก็ไปที่นี่ แต่คนชอบคิดว่าเรามาจากมาเลย์ อินโด สิงคโปร์ บรูไน พีคสุดคือ อิหร่าน เป็นคนทุกที่เลยค่ะ ยกเว้นคนไทย ถถถ พอบอกว่าเป็นคนไทยนะคะ แทกุกซารัม คนจะอึ้งนิดนึงแล้วถามว่าแทกุกมีมุสลิมด้วยหรอ เอ้ออออ ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้แชร์ให้เขารู้ว่าประเทศไทยก็มีมุสลิมจ้า หนูไง ><
    เพื่อนมุสลิมมาเลเซีย 1 อินโด 3 และคนสุดท้ายเราเอง เป็นคนทุกที่ ยกเว้นคนไทย 

  • Our moments! 
    อย่างที่บอกค่ะว่าทั้งโครงการมี 20 คน และพวกเราสนิทกันมากกกก แต่ไม่ใช่แค่นั้น เรายังมีเพื่อนต่างชาติจากโครงการอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งคาซักสถาน จีน รัสเซีย อเมริกัน ญี่ปุ่น บรูไน ลาว ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย เจอกันในคลาสเกือบทุกวัน เพราะเหตุนี้เลยทำให้เรารู้จักเพื่อนหลายคน ซึ่งการมีเพื่อนต่างชาติเนี่ยทำให้เราได้รับรู้มุมมองอะไรใหม่ ๆ เยอะมากกก และเรายังสามารถแชร์มุมมองของเราได้ด้วย เหรียญมีสองด้านเสมอ แค่ทำความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันก็พอ
    มินิปาร์ตี้ของพวกเราาาาา
    วันรับใบจบของนักเรียนต่างชาติ ในรูปนี้มีพวกเราทั้ง 20 คน เพื่อนอเมริกัน บรูไน พี่ ๆ วิเทศที่ดูแลพวกเรามาตลอดทั้งปี และอาจารย์ที่สอนภาษาเกาหลี 2 ท่าน 

    จบการรีวิวเพียงเท่านี้ค่ะ ในส่วนของเรื่องราวอื่น ๆ เราจะเล่าเป็นไดอารี่เรื่อย ๆ นะคะ ถึงแม้ว่าทุนนี้จะหยุดไปนาน แต่ก็อาจจะกลับมาอีกครั้งก็ได้ค่ะ เพราะ 15 รุ่นที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีทุกปีเหมือนกัน คิดในแง่ดีไว้ ^^

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in