เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องจริงยิ่งกว่าหนีตามกาลิเลโอSaisai Moment
เรื่องจริงยิ่งกว่าหนีตามกาลิเลโอ
  • ถึง : คนที่หลงกดเข้ามา หรือคนที่บังเอิญเข้ามาเจอเรื่องราวของเราในบทความนี้ ! 

    สวัสดีนะขอต้อนรับสู่ความชุลมุนที่คุณกำลังจะได้อ่าน อาจจะสงสัย ว่าหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโอ เกี่ยวกับกับเรื่องของเรา เราจะแอบบอกให้ความคีย์เวิร์ดของหนังเรื่องนี้นี่ related กับเราสุดๆ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนของต้อนรับสู่โลกความเป็นจริงของเรา


    มัธยมปลายวัยหวานของชีวิต

    เริ่มด้วยวัยม.6 เป็นช่วงที่ขยันที่สุดในชีวิตทั้งเรียนหนังสือ เตรียมตัวสอบ ทำงานห้อง และกิจกรรมต่างๆเพื่อเก็บเข้า portfolio เอาจริงๆแค่อธิบายให้ทุกคนฟังภาพก็ลอยมาในหัวแล้ว ตอนแรกชีวิตเราก็เหมือนเด็กม.6 ทั่วไปนั่นแหละ เรียนๆเล่นๆเรียนพิเศษ มีความสุขกับเพื่อน เอนจอยชีวิต แต่พอเริ่มเข้าช่วง admission crisis ทุกอย่างก็ยิ่งกดดัน มีทั้งการแข่งขันเพื่อสู้กับเด็กคนอื่นๆและที่ยากกว่าคือการสู้กับใจตัวเองให้หนักแน่นกับความฝัน+ต้องใส่ความพยายามและความขยันลงไป!!! เราเองก็เป็นหนึ่งในเด็กม.6ที่มีคณะในฝัน และคณะนี้ก็ยังอยู่ในฝันของเราอยู่ คือ ที่มีโลโก้เป็นรูปดินสอ(เดาๆกันไป) เราลองทั้งยื่นรอบพอร์ต, ยื่นรอบโควตา, เรียนพิเศษภาษาที่ไม่ได้เรียนตอนม.ปลาย (ตอนม.ปลายเอกเราไม่มีสิชาที่สามารถสอบแพทได้เลย เศร้ามาก) และใช่ค่ะ คณะรูปดินสงดินสอ ก็เป็นได้แค่คณะในฝัน ตอนแรกเราติดพอร์ตมหาวิทยาลัยอื่นด้วยแต่เราคิดว่าเราจะรอมหาลัยนั้น แต่มหาลัยนั้นไม่ได้อยากได้เรา ;-( และก็ใช่อีกค่ะ อย่างที่ทุกคนคิด เราสอบไม่ติด นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของ "ชีวิตที่ไม่มีplan B" หลังจากเราสอบไม่ติดปุ๊ป เข้าสู่โหมดโคตรเศร้าเลยค่ะ ถึงแม้จะเตรียมใจมาเเล้วว่าจะไม่ติด แล้วตอนนั้นเรามั่นหน้ามัั่นใจมากๆว่าจะซิ่วเป็นเด็ก65เลยยื่นไปแค่คณะเดียวมหาลัยเดียวเลยค่ะ (สวยให้5มั่นหน้าให้10) ด้วยความที่เพื่อนๆส่วนมากสอบติดกันแล้ว เราก็ยิ่งลำบากใจเลยอยากเศร้านะ แต่ก็อยากแสดงความยินดีกับเพื่อน เพราะเราก็สู้เรียน สู้ติวมาพร้อมๆกัน ใจหายไปหมดเลย

    การตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต

    ในตอนนั้นเรามีเพื่อนคนนึงที่สนิทมากๆเพราะตอนม.ปลาย3ปีก็อยู่ด้วยกันแถมเรากับเพื่อนก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เพื่อนคนนี้ได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศไต้หวัน เรายินดีและดีใจกับเพื่อนมาก แต่ในตอนนั้นด้วยความเศร้าของเรา เพื่อนเลยเสนอว่าเออลองคิดดีๆจะซิ่วจริงหรอ ไปเรียนไต้หวันป่าว มีกูนะ ด้วยความที่เราพูดจีนก็ไม่ได้ อังกฤษก็แหะๆพอเอาตัวรอด เราเลยปฏิเสธไปค่ะ แต่ในตอนนั้นก็มีภาพขึ้นมาในหัวว่า ถ้าไม่ออกจาก comfortzone เราก็ไม่โตดิ เราเลยลองขอทุนไปไต้หวันแบบเพื่อน(เรียนตามเพื่อน) เพื่อนเราคนนี้ก็ดีมากๆช่วยเหลือเราเต็มที่สุดๆ จนจะได้ไปพร้อมกัน แต่เรื่องก็ดันพลิกล็อคกันน่าดู ถล่มทลายฮ่าฮ่าฮ่า เพื่อนโทรมาขอห่างกับเราก่อนไปไต้หวัน ตอนเเรกเราก็ตกใจ จำได้เลยว่าตอนนั้นเคว้งมาก เหมือนใจเราไม่อยากไปไต้หวันแล้ว ทั้งสอบไม่ติด หนีไปเรียนต่างประเทศตามเพื่อนอีก แล้วเพื่อนก็ขอห่าง เห้อ...เราไม่รู้ว่าคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะเข้าใจเรามั้ย แต่เราบอกเลยว่ามันโคตรจะแย่เลยสำหรับเราในตอนนั้น ยิ่งกว่าโดนแฟนบอกเลิกก็เพื่อนนี่แหะ เพื่อนว่าความผูกผันและความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ sensitive มากๆ เราไม่อยากเจาะจงเรื่องราวเพราะเราอยากจะนึกถึงเพื่อนคนนี้แต่เรื่องดีๆที่เคยมีให้กัน ถึงแม้ตอนจบของเรากับเพื่อนคนนี้อาจจะซับซ้อน แต่ว่าเราก็ยังมีเพื่อนคนนี้อยู่ในความทรงจำฝั่งที่ดีของเราในวัยมัธยม :-) 


    ปล.ก่อนจะไปหน้าถัดไป ถ้ามึงบังเอิญมาเจอหรือมีคนเอาไปให้อ่าน กูขอบคุณนะสำหรับสิ่งดีๆที่เคยทำให้กัน แล้วกูจะเลือกจำแค่นั้นเก็บไว้ให้ย้อนคิดถึงในตอนเราโตกว่านี้
  • อยากหนีปัญหาก็มาต่างประเทศ

    หลังจากที่เราต้องไปป.ตรี ที่ต่างประเทศ ม.เดียวกัน คณะเดียวกันกับเพื่อน เราแอบกลัวนะ ไม่รู้จะมองหน้ากันยังไง จะวางตัวยังไง เพราะคนที่เคยเป็นคนใกล้ชิด แต่ตอนนี้กลายเป็นคนทีรู้จักแบบห่างๆ เราเป็นคนที่ค่อนข้างแคร์คนรอบข้างและความเห็นของคนอื่น เลยทำให้ในบางทีเรากดดันตัวเองโดยไม่รู้ตัว เหมือนตอนที่จมอยู่กับเรื่องนั้นเรามองในมุมที่แคบเกินไป ทั้งที่จริงๆแล้วเรายังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ยังพร้อมซัพพอร์ตเรา ครอบครัวก็ด้วย แต่เราพึ่งมาตกตะกอนได้ในตอนที่เรื่องนี้ผ่านมาแล้ว เราเพิ่งจะคิดได้ว่า "ถ้าคนที่ใช่จริงๆยังไงก็จะวนมาเจอกัน ถ้าคนที่ไม่ใช่ก็จะหลุดหายไปตามกาล" เราจะพยายามไม่คาดหวังอะไร ปล่อยไปตามธรรมชาติ

    ในวันที่บินจะไปเรียนที่ไต้หวันเราดีใจที่เพื่อนที่อยู่กับเรา (เวลาทำให้เรารู้เลยว่าชีวิตมีคนหลุดหายจากวงโคจรไปเยอะ) และยังดีที่เราเป็นยังมีครอบครัวและญาติด้วย มีคนเคยบอกเราว่าถ้าเราหันหลังแล้วเริ่มก้าวเท้าขึ้นบันไดเลื่อน ภาพทุกอย่างในทางที่ดีจะมีมาเต็มหัวก่อนเราจะก้าวต่อไป แต่สำหรับเรา เรารู้สึกว่าตอนที่ขึ้นเครื่องแล้วมองออกไปรอบๆตัว มันหน่วงยิ่งกว่า เหมือนกับทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเราก็ไม่รู้ตอนเริ่มและตอนจบของอะไรทั้งนั้น เราเริ่มหยิบภาพและการ์ดต่างๆที่เพื่อนให้ก่อนบินมาอ่าน เราโคตรเหมือนอยู่ในฉากของหนังเรื่องอะไรซักอย่าง ความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนต้องทิ้งที่ที่เราอุ่นใจ ทิ้งบ้าน ทิ้งเพื่อน ทิ้งของกินอาหารไทย ทิ้งทุกอย่างที่เรามี เพื่อไปไต้หวัน ประเทศที่เรามีแค่ มหาลัย กับ เพื่อนเคยสนิท แค่คิดก็วิตกแล้ว 

    หนีเสือเจอะจระเข้ตัวใหญ่ชุบแป้งทอด

    ในช่วงแรกที่เราไปไต้หวันมันดันตรงกับช่วงโควิดยุคแรกๆเลยต้องกักตัว21วัน สำหรับเราเรียนออนไลน์และอยู่ในห้องกักตัวไม่ได้มีปัญหามาก เพราะเรายังมีเพื่อนที่ไทยที่ยังไม่ได้เปิดเทอมมหาลัย ทำให้เราได้คอลกับเพื่อนและแม่เกือบทุกวัน ช่วงนั้นเราได้พักผ่อนเยอะมากๆ แค่กินๆนอนๆในห้องแล้วก็ทิ้งขยะ เอาอาหาร วนลูปอยู่อย่างนั้น จนถึงตอนเราออกจากที่กักตัวและได้ไปเรียน onsite ที่มอ เราพูดภาาจีนไม่ได้ ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ปังแบบใครเขา แค่พอสื่อสารได้ เราได้ไปเรียนในปีที่คนไทยหลายคนอยากโยกย้ายส่ายสะโพกไปประเทศอื่น ดังนั้นรุ่นเราจะมีคนไทยเยอะกว่ารุ่นพี่รุ่นก่อนๆ เอาจริงๆเราไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัว แต่พอทุกคนได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียว แบบไม่มีผู้ปกครอง ไร้ขีดจำกัดในการใช้ชีวิต มันอิสระมากๆจนน่ากลัว เพราะทุกคนมาที่นี่เพื่อ"เอาตัวรอด" และแต่ละคนมาก็มีเป้าหมายที่ต่างกัน บางคนมาเรียน บางคนมาใช้ชีวิต บางคนมาเพื่อทำงานพาร์ทไทม์ และอื่นๆอีกมากมาย ด้วยความที่ทุกคนมาจากหลายสถานที่และมีความต้องการในการใช้ชีวิตที่หลากหลาย ทำให้เราได้รู้เลยว่า บางทีคนไทยด้วยกันเองน่ากลัวกว่าต่างชาติอีก เราไม่ได้เจาะจงใครหรือเหมารวมคนไทยในต่างประเทศเเละเราก็ไม่ได้อยากตัดสินใครเพราะอย่างที่เราบอกไปทุกคนมาจาก หลากหลายที่ต่างประสบการณ์ แต่พาร์ทที่เราเจอมันอาจจะเป็นการ random ไม่แน่มันอาจจะnormalกับคนอื่น (รึป่าวนะ?!)  ตอนเราอยู่ไต้หวันเราก็มีเพื่อนคบนะ(มีน้อยแต่ยังพอมีนะ มีคนไทยไม่กี่คน ส่วนมากก็เป็นเพื่อนอินโด) เพื่อนทั้งดีและแปลกปนๆกันไป55555

    การที่เราได้ใช่ชีวิตที่ไต้หวันเป็นเวลาเกือบ1ปี โดยพูดภาษาจีนไม่ได้ (เอาตัวรอดไปวันวัน ใช้อากู๋เกิ้ลช่วยแปล แล้วก็ภาษาอังกฤษกับภาษามือ) การไปเรียนที่ไต้หวันของเราในครั้งนี้ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่เราเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

    เราเคยได้ยินมาว่า การเข้ามหาลัยก็คล้ายการสุ่มกล่องสุ่ม ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไง ไม่มีคู่มือบอกว่าต้องรับมือยังไง และไม่ได้มีคำเตือนว่าต้องระวังอะไร ทุกอย่างมันคือชีวิตจริง ปัญหาที่จะเข้ามาก็ไม่มีสัญญาณเตือน ตอนเราอยู่ที่ไต้หวันมีทั้งพาร์ทที่ดีและพาร์ทที่ไม่ค่อยน่าจดจำ มันทำให้เราได้เรียนรู้เยอะมากๆ จนถึงจุดที่เราถามตัวเองว่า เมื่อไหร่แม่จะมารับเรากลับจากที่นี่ เราเรียนรู้ชีวิตจนเปราะบางไปหมดแล้ว แล้วในช่วงที่เจอปัญหาและดราม่าต่างๆที่ไต้หวัน เราเคยหนีจากเมืองที่เราอยู่นั่งรถไฟคนเดียวเพื่อไปอีกเมือง ไปแบบไม่เปิดmap ไม่เตรียมอะไรทั้งนั้น เราแค่อยากหาที่ร้องไห้ อยากได้ privacy อยากหนีไปไกลๆแต่ก็กลัวหลง5555 เราตัดสินใจติดต่อกับเพื่อนที่ไทย เพราะตั้งแต่เปิดเทอมของไต้หวันเราแทบไม่ได้ติดต่อเพื่อนที่ไทย เพราะเราคิดว่าเพื่อน่าจะมีความสุขกับมหาลัยแถมเพื่อนๆก็งานเยอะมากๆในตอนแรกเราเลยไม่ค่อยติดต่อกับเพื่อน ส่วนครอบครัวก็เช่นกัน ในทุกครั้งท่ี่เราโทรไปหาแม่ เเค่ได้ยินเสียง น้ำตาเราก็ไหลแล้ว มันมากกว่าการ homesick มันเป็นความคิดถึงที่กอดไม่ได้ จริงๆแล้ว


  • ความจริงอีกมุมที่ไม่มีใครรู้

    หลังจากที่เราได้เปิดใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นฉบับย่อๆ (ดราม่า, ปัญหา, และอัพเดทชีวิต)ให้กับแม่และเพื่อนที่ไทย เพราะไม่ได้คุยกับคนที่ไทยนานพอสมควร แต่ทุกคนรู้มั้ยว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไป หรือเราอาจจะไม่ได้คุยกันอัพเดทกันทุกๆวัน แต่ครอบครัวเราโดยเฉพาะแม่และเพื่อนๆเราที่ไทยรอซัพพอร์ตเรา รอรับฟังเรา เราเหมือนได้เข้าไปหลบในที่ที่มีหลังคาในวันที่ฝนตกหนัก ที่ที่เราสามารถพักใจได้หลังจากที่ฝนตกมาเป็นเวลานาน เรารู้สึกคิดถึงความอบอุ่น ความสบายใจ ความจริงใจ ความรักที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน สิ่งพวกนี้มันหาได้ยากมากในไต้หวัน เราเชื่อใจใครมากก็ไม่ได้ จับมือใครดมก็ต้องคอยระแวง เราไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เหมือนเราprotectตัวเราเอง ไม่อยากเจออะไรร้ายๆอีกแล้ว มันทั้งท้อทั้งเหนื่อย เราอยู่ที่นั่นเหมือนเราต้องแบกหลายสิ่งมากๆ ตอนเด็กคิดว่าเรียนหนังสือเหนื่อยสุดๆแล้ว แต่ความจริงแล้วใช้ชีวิตเหนื่อยกว่าเรียนหนังสืออีก เราคิดว่าเราเป็นคนที่โชคดีมากๆที่มีเพื่อนที่ดีและมีครอบครัวที่พร้อมช่วยเหลือเรา แต่ความโชคดีมันดันติดตม.ข้ามประเทศมาไม่ได้มั้ง เราอยู่ไต้หวันมีแต่เรื่องที่ทำให้เราต้องเป็นคนแก้ปัญหาหรือไม่ก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ บางทีเราแค่เหนื่อยแต่เราไม่สามารถปล่อยโฮออกมาได้ คนอื่นที่ติดตามเราในโลกโซเชียลอาจจะคิดว่า เรามีความสุขดี กินดีอยู่ดีออกจากหอทุกวัน ใช่แล้วนั่นคือโลกโซเชียล เราลงแต่ของกิน ลงแต่ความทรงจำดีๆเพราะเราอยากจำแต่ภาพดีๆ ;-(แต่ความจริง เราไม่อยากกลับหอ เราไม่อยากเจอสังคม เราพยายามไปคาเฟ่เพื่อนั่งทำงานหรือไม่ก็ไป hi-life(ร้านสะดวกซื้อ)นั่งทำงาน ในบางทีถ้าเราเศร้ามากๆเราก้ไปห้องซักผ้าเพื่อร้องไห้ (โคตรละครหลังข่าวเลย) 

    มึงๆฟังกูก่อน!

    การบ่นและเล่าเรื่องฉบับย่อของเราในตอนนั้นทำให้เพื่อนเรา คนที่เราไปปรึกษาในตอนนั้นมีไอเดียมาเสนอเราว่า "มึงใจเย็นๆนะพวกกุอยู่ตรงนี้ มึงฟังกูก่อนมึงลองซิ่วมั้ย" ในตอนเเรกที่เพื่อนเราพูดถึงการซิ่ว เราปฎิเสธแล้วบอกเพื่อนว่าไม่มีคะแนนแล้ว ไม่ได้กลับไทยไปสอบทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว แต่เพื่อนเราช่วยเราอย่างเต็มที่ เพื่อนบอกว่าเราสามารถใช้คะแนนเก่าของปีที่แล้ว(ปี64) มาสมัครปีนี้ได้ เราดีใจมากๆที่ได้ยินเพื่อนพร้อมช่วยเราอย่างเต็มที่ เพื่อนเราช่วยส่งเรื่องไปหา ทปอ.แล้วเราก็ได้ลองยื่นมหาลัยอีกครั้งในปี65 ตอนเราเลือกอันดับคณะ เราก็ยังจะเอาคณะในฝันไปไว้อันดับต้นๆเหมือนเดิม แต่ที่แตกต่างคือในปี65เราได้ใส่คณะอื่นลงไปด้วยเพราะเรากลัวเดจาวู แต่เราดันมีข้อกำหนดและเวลาที่กะทันหันมากๆ คือ เราสามารถยื่นคณะที่ใช้แค่แกทแพท+มหาลัยที่เลือกต้องอยู่ในกทม.เพราะเราไม่อยากอยู่ไกล comfort zone แล้ว ดังนั้นในเวลานั้น เรามีเวลาเลือกไม่ถึง3วัน เราเลยเลือกๆไปก่อน 

    ในตอนที่เราสมัครมหาลัยที่ไทยเราไม่ได้บอกใครที่ไต้หวันเลย จนกระทั่งผลประกาศ เราสอบติดคณะที่โลโก้เป็นรูปเสือ ตัวเราในตอนนั้นใจนึงก็ดีใจที่สอบติด แต่อีกใจก็ตกใจมากว่าทำอะไรต่อดี คณะดันคนละแนวกับตัวเราและความชอบความถนัดของเราเลย เราคิดทบทวนนานมากๆ ช่วงนั้นคือโคตรลังเล มันเแ็น BIG DECISION ของชีวิตอีกแล้ว ช่วงว้าวุ่นปรึกษาใครมากก็ไม่ได้ ถ้าปรึกษาเพื่อนก็จะมีความเห็นเยอะแยะมากไปไปหมด แค่ตัวเองก็สับสนแล้ว555555ไปเอาความเห็นเพื่อนและคนอื่นๆมา ลำบากใจมาก เราตัดใจทำ pros and cons ระหว่างการเรียนที่ไต้หวันคณะที่ชอบ หรือ การเรียนคณะที่ไม่ชอบแต่ได้กลับบ้านมารักษาสภาพจิตใจ มาชาร์จแบตจิตใจของเรา เราในเวลานั้นคือตื่นเช้ามาโอเคกลับไทย กินข้าวกลางวันเอออยู่ไต้หวันดีกว่า ตอนเย็น กลับไทยเถอะไม่ไหวแล้ว และตอนกลางคืนอยู่ไต้หวันก็ได้ขี้เกียจซิ่วไปปี1รอบ คำตอบและทางเลือกของเราวันสลับไปๆมาๆจนเราแบบโอ้ยไม่เลือกแล้วได้มั้ยยย

    เอายังไงต่อกับชีวิต

    เราไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง เพราะเรื่องที่เราแบ่งปันไปเป็นแค่บางส่วนจากเรื่องราวมากมายที่เล่ายังไงก็เล่าไม่มีวันจบ แต่สุดท้ายนี้ไม่ว่าเราจะเรียนที่ไหน หรือจะเดินไปทางไหน บทเรียนหนีตามกาลิเลโอได้สอนให้เราเข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีใครอยู่กับเราไปตลอด และอย่าไว้ใจใครง่ายๆ ทุกคนเข้ามาและผ่านไปอาจจะเหลือไว้แค่ความทรงจำดีๆที่ควรจะเก็บไว้ให้นึกถึงกัน เราควรที่จะสนใจและใส่ใจปัจจุบันและคนที่ยังอยู่เคียงข้างเราในตอนนี้ และอย่าลืมรักตัวเองให้มากๆ ทำอะไรให้ถามตัวเองก่อนว่ามีความสุขจริงๆใช่มั้ย :-)) ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าจะได้เจอกันใหม่ในบทความหน้า


    saisai


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in