เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music is Magicpatstylez
แปลเพลง : Twenty One Pilots - Never Take It และทฤษฎี Scaled And Icy


  • Song Title : Never Take It
    Album : Scaled And Icy
    Artist : Twenty One Pilots

    Talk :
    สวัสดีค่ะทุกคน ได้ฟังอัลบั้มใหม่กันแล้วใช่ไหมคะ ตอนแรกเราอยากสอบไฟนอลให้เสร็จก่อน แล้วค่อยมาแปลเพลงค่ะ แต่พอวันนี้ดู Livestream Experience แล้วมันปริ่มใจจนทนไม่ไหวเลยต้องมาอัพค่ะ แง นอกจากนี้ในไลฟ์ก็ยังมี easter eggs อยู่เยอะเลยด้วย ในท้ายบล็อกนี้เราก็เลยจะรีวิว Livestream และรวบรวมทฤษฎีต่างๆเท่าที่เจอมา เพื่อนำมาแปลให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะคะ ก่อนที่เราจะลืมเสียก่อน ฮาา

    เอาล่ะ ก่อนที่จะเริ่มแปลเพลง เราก็ขออัพเดทสตอรี่ไลน์เหมือนอย่างที่เคยก่อนนะคะ

    ** ข้อความที่มีตัวหนังสือสีชมพูคือเราใส่ลิงก์เอาไว้นะคะ สามารถคลิกเข้าไปดูต้นทางได้ค่ะ ต้องขออภัยอย่างมากจริงๆที่ในเพลงก่อนๆเราไม่ได้ทำแบบนี้ เพราะนอกจากทฤษฎีที่มีอยู่ในเว็บจีเนียสแล้ว หลายๆทฤษฎีเราก็จำเขามาอีกที แต่ไม่ได้บันทึกต้นทางเอาไว้ค่ะ แต่เพลงนี้เรารีเสิร์ชไปด้วยระหว่างที่แปลค่ะ

    xxxxxxxxx

    อัลบั้มใหม่นี้เป็นอัลบั้มที่แฟนๆหลายคนให้ความเห็นว่า มันแตกต่างไปจากผลงานเดิมๆของทางวงมากเลยค่ะ เหตุผลนึงก็คงเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้จำกัดตัวเองว่าเป็นศิลปินประเภทไหนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่นอกจากเหตุผลที่ว่าไทเลอร์กับจอชก็คงอยากทดลองทำอะไรใหม่ๆแล้วเนี่ย อัลบั้มนี้มันก็ยังมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังเหตุผลของความแตกต่างนี้ด้วยค่ะ

    อย่างที่แฟนๆรู้กันดีว่าตั้งแต่อัลบั้ม Blurryface ที่มีตัวละครหลักคือเบลอรี่ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงการต่อสู้ของไทเลอร์กับด้านลบในจิตใจของตนเอง รวมถึงช่วง hiatus (หรือช่วงพักวง) ก่อนที่จะเริ่มต้นช่วงอัลบั้ม Trench นั้น ทางวงก็ได้ปล่อยปริศนาออกมาให้แฟนๆได้ร่วมสนุกกันอยู่เรื่อยๆ โดยในยุคอัลบั้ม Trench นี้ก็มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ Blurryface คือยังคงเป็นเรื่องราวของการต่อสู้อยู่ แต่มีตัวละครมาเพิ่มอีกมากมาย ทั้ง Ned, Clancy, Nico และ The Bishops ทั้งเก้า รวมถึงมีสถานที่อย่าง Dema เป็นจุดสำคัญ ทำให้เรื่องราวทั้งหมดยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

    สามารถอ่านเรื่องราวหลักๆของอัลบั้ม Trench ที่เราแปลเอาไว้ได้ในเพลง Bandito ค่ะ คลิกที่นี่

    และสำหรับอัลบั้ม Scaled And Icy นี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ เรื่องราวทุกอย่างยังคงมีความเชื่อมโยงกับอัลบั้มก่อนหน้าอยู่ โดยทฤษฎีหลักๆของแฟนคลับนั้นก็คือ อัลบั้มนี้มันเป็น Propaganda (หรือโฆษณาชวนเชื่อ) ของทางฝั่ง Dema ค่ะ โดยเมื่อจัดเรียงตัวอักษรของชื่ออัลบั้มใหม่ จาก Scaled And Icy จะได้เป็นประโยคว่า “Clancy is dead” หรือ "แคลนซี่ตายแล้ว" ค่ะ

    นอกจากนี้ก็ยังมีแฟนๆหลายๆคนชี้ด้วยว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแอเรียปัจจุบันนั้น มันกลับตาลปัตรไปหมดเลยค่ะ ทั้งภาพถ่ายที่โดยปกติแล้วไทเลอร์จะอยู่ด้านซ้ายของจอชเสมอ (ไปย้อนดูโฟโต้ชู้ทหลายๆอันแล้วจริงด้วยค่ะ) แต่ในอัลบั้มนี้ทั้งสองกลับสลับที่กัน แถมยังโพสต์ท่าสลับกันด้วย แล้วที่ผ่านมาก็มีแต่จอชที่เคยย้อมผม แต่ตอนนี้กลับเป็นไทเลอร์ที่ย้อมสีชมพู


    และสุดท้าย ทางแอคเคาท์บนทวิตเตอร์ที่มีชื่อว่า top today ซึ่งเป็นแอคอัพเดทข่าวสารของแฟนๆก็ได้เสนอทฤษฎีที่น่าสนใจอย่างมากขึ้นมาอันนึงว่า อัลบั้มนี้หรือถัดจากนี้ อาจจะเป็นจุดจบของเรื่องราวที่ทางวงสร้างขึ้นมา ซึ่งวางแผนมาตั้งแต่อัลบั้ม self titled เลยค่ะ (วงยังอยู่นะคะ อย่าเพิ่งตกใจ ฮ่าา แค่มันอาจเป็นจุดสิ้นสุดของสตอรี่แล้วค่ะ)  โดยเหตุผลก็คือ เขาวิเคราะห์จากเพลง A car, a Torch, a Death เพราะ a Car อาจแทนด้วยรถในเอ็มวีเพลง heavydirtysoul จากอัลบั้ม Blurryface ส่วน a Torch อาจแทนด้วยคบเพลิงในเอ็มวีหลายๆเพลงจากอัลบั้ม Trench และขาดไปอีก 1 สิ่ง ก็คือ a Death นั่นเองค่ะ

    นอกจากนี้ ข่าวการเสียชีวิตของแคลนซี่นั้นก็ยังเป็นที่สงสัยในบรรดาแฟนคลับ เพราะหลายๆคนคิดว่า Dema อาจกำลังเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อไม่ให้เหล่า Banditos เข้าไปช่วยเหลือก็ได้ค่ะ

    ------------------------------------------------------------------

    แปลเพลง Never Take It

    (ข้อความที่มีพื้นหลังสีฟ้านั้นมาจากการตีความของเราเอง และอาจมาจากทฤษฎีต่างๆของแฟนคลับที่เราเจอมานะคะ ไม่ใช่ข้อมูลออฟฟิชเชียล สามารถตีความกันได้เลยค่ะ และถ้าหากมีข้อผิดพลาด หรือมีคำแนะนำตรงไหน สามารถคอมเมนต์มาได้เช่นเคยเลยนะคะ ขอบคุณค่า)

    [Intro]
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh

    โอ้ โอ

    [Verse 1]
    Now that they know information (Information)
    Is just a currency, and nothing more
    Keep the truth in quotations (In quotations)
    'Cause they keep lying through their fake teeth

    ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า ข้อมูลน่ะนะ
    มันก็เป็นแค่ข้อความทั่วๆไป ไม่ใช่อะไรมากกว่านั้นเลย
    เก็บความจริงเอาไว้ในใบเสนอราคา
    เพราะพวกเขาก็ยังคงโป้ปดผ่านฟันปลอมอยู่นั่นแหล่ะ

    ท่อนนี้หากพูดถึงโลกแห่งความจริง เราตีความว่าไทเลอร์อาจเปรียบเปรยเพื่อพูดถึงเรื่องทั่วๆไปในสังคมค่ะ กล่าวคือ ที่คนเราใช้ความเชื่อใจมาเป็นเครื่องมือในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น หรือพูดถึงความไม่จริงใจในสังคมก็ได้ค่ะ

    ส่วนถ้าหากพูดถึงเรื่องราวภายในอัลบั้ม ก็อาจกำลังพูดถึงโฆษณาชวนเชื่อของ Dema นั่นเองค่ะ

    [Chorus]
    Oh-oh-oh, they're trying hard to weaponize
    You and I, we'll never take it
    Oh-oh-oh, they're asking for a second try
    You and I will never take it

    โอ่ โอ โอ้ พวกเขาพยายามอย่างหนักเลยล่ะที่จะใช้มันเป็นอาวุธ
    คุณกับผม เราไม่มีวันยอมรับมันหรอก
    โอ่ โอ โอ้ พวกเขากำลังวอน ขอลองเป็นครั้งที่สอง
    คุณและผม จะไม่มีทางรับมันมาหรอกนะ

    ตรงนี้ถ้าตีความตามโลกแห่งความจริง เราคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ไทเลอร์อาจกำลังพูดถึงเรื่องสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะข่าวทางทีวีหรือสื่อโซเชียล หรืออาจจะพูดถึงสถานการณ์การเมืองก็ได้ค่ะ

    แต่หากตีความตามเนื้อหาของอัลบั้ม เรานึกถึงความหมายที่เคยแปลเอาไว้ในเพลง Neon Gravestones เลยค่ะ ในเพลงนั้นเราคิดว่าเขียนไว้ค่อนข้างละเอียด ลองเข้าไปดูกันได้นะคะ คือเป็นการต่อสู้กับ Dema หรือปฏิเสธความคิดในด้านลบของตนเอง แต่ในเพลงนี้จะถ่ายทอดออกมาในลักษณะที่ต่างออกไปค่ะ นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นสารถึง Banditos ว่าเราจะไม่หลงกลโฆษณาชวนเชื่อของ Dema ด้วยค่ะ

    [Post-Chorus]
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh

    โอ้ โอ
     
    [Verse 2]
    Why cure disease of confusion (Of confusion)
    When you're the treatment facility?
    How can we seek restitution (Restitution)
    When they keep lying through their fake teeth?

    ทำไมถึงรักษาโรคของความสับสนล่ะ
    เมื่อคุณนั่นแหล่ะคือสถานบำบัด
    เราจะหาทางพักฟื้นได้ยังไง
    เมื่อพวกเขายังคงโป้ปดผ่านฟันปลอมกันอยู่นั่นแหล่ะ

    [Chorus]
    Oh-oh-oh, they're trying hard to weaponize
    You and I, we'll nеver take it
    Oh-oh-oh, they'rе asking for a second try
    You and I will never take it 
    Will never take it
    Oh-oh-oh, they're asking for a second try
    You and I will never take it from 'em, ooh-ooh

    โอ่ โอ โอ้ พวกเขาพยายามอย่างหนักเลยล่ะที่จะใช้มันเป็นอาวุธ
    คุณกับผม เราไม่มีวันยอมรับมันหรอก
    โอ่ โอ โอ้ พวกเขากำลังวอน ขอลองเป็นครั้งที่สอง
    คุณและผม จะไม่มีทางรับมันมาหรอกนะ
    ไม่มีวันยอมหรอก
    โอ่ โอ โอ้ พวกเขากำลังวอน ขอลองเป็นครั้งที่สอง
    ทั้งคุณและผม ไม่มีวันรับมันมาจากพวกเค้าหรอก

    [Bridge]
    The summer I watched the tube, I saw enough
    Taught myself to play guitar, tearing it up
    And my advice on those two things that I picked up
    You better educate yourself, but never too much
    The summer I watched the tube, I saw enough (I saw enough)
    Taught myself to play guitar, tearing it up (Tearing it up)
    And my advice on those two things that I picked up (I picked up)
    You better educate yourself, but never too much (Never too much)

    ดูยูทูปในช่วงซัมเมอร์ ผมเห็นมาพอแล้วล่ะ
    สอนตัวเองให้เล่นกีตาร์ ทำออกมาได้เยี่ยมไปเลย
    และนี่คำแนะนำของผมจากสองสิ่งที่ผมเรียนรู้มา
    หาความรู้ใส่ตัวบ้างก็ดี แต่ให้มันพอดีนะ

    [Chorus]
    (Weaponize, you and I)
    Never take it, oh-oh-oh
    They profit from a great divide
    You and I will never take it

    (ทำให้เป็นอาวุธ คุณกับผม)
    ไม่มีทางรับมันหรอก โอ่ โอ โอ้
    พวกเขาได้รับประโยชน์จากความแตกแยก
    คุณและผมจะไม่มีทางรับมันมาหรอกนะ
     
    [Guitar Solo]

    [Post-Chorus]
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Yeah, yeah, yeah

    โอ้ โอ

    [Chorus]
    Oh-oh-oh, they're trying hard to weaponize
    You and I, we'll never take it
    Oh-oh-oh, they're asking for a second try
    You and I will never take it

    โอ่ โอ โอ้ พวกเขาพยายามอย่างหนักเลยล่ะที่จะใช้มันเป็นอาวุธ
    คุณกับผม เราไม่มีวันยอมรับมันหรอก
    โอ่ โอ โอ้ พวกเขากำลังวอน ขอลองเป็นครั้งที่สอง
    คุณและผม ไม่มีวันรับมันซะหรอก

    [Outro]
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh, ooh
    Ooh

    โอ้ โอ


    ------------------------------------------------------------------

    รีวิว Twenty One Pilots Livestream Experience


    ตอนนี้เรายังสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Livestream ได้นะคะ ที่ลิงก์นี้ค่ะ ในเว็บยังมีเอ็กซ์คลูซีฟเมิร์ชขาย มี Artopia หรือภาพศิลปะของแฟนๆให้ชม แล้วก็มี Inside the Lyrics ให้เข้าไปดูเนื้อเพลงกันได้ด้วยค่ะ

    ค่าเข้าชมไลฟ์ดังกล่าวที่ผ่านไปนั้นมีราคา 20$ หรือประมาณ 600 กว่าบาทค่ะ ส่วนตัวเรารู้สึกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะแม้ว่า Pre Show 3 ชั่วโมงจะเป็นการเปิดคลิปวิดีโอเก่าๆที่สามารถหาดูได้ในยูทูปอย่าง Regional At Best : The Web Series และคลิปอื่นๆ แต่ทุกคลิปก็เต็มไปด้วยเรื่องราวน่ารักๆ ที่ส่วนมากเราคงไม่ได้ไปเปิดย้อนดูเองค่ะ นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงของโชว์ ก็สามารถเห็นได้เลยว่าทุกคนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ มีการจัดเวทีอย่างสวยงาม มีนักร้องแบคอัพ มีแดนเซอร์ (ไทเลอร์เต้นแบบ choreography ด้วยค่ะ คือเต้นแบบมีการซ้อมมาก่อน ไม่ได้ฟรีสไตล์แบบโชว์อื่นๆที่ผ่านมา) คุณเจนน่ากับคุณเด๊บบี้ก็มาร่วมแสดงด้วย แล้ว transitions ของแต่ละเพลงก็ทำให้เราขนลุกมาก แถมไทเลอร์ยังเล่นกีตาร์ไฟฟ้าในท่อนโซโล่ของเพลง Never Take It นี้ด้วยค่ะ

    แต่นอกจากความประทับใจเรื่องการแสดงแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างนึงก็คือ พวกเขายังคงมี easter eggs ในโชว์อย่างที่บอกไปด้วยค่ะ อย่างแรกเลยคือ ปริศนาเกี่ยวกับพิธีกรทั้ง 2 คน


    อย่างที่กล่าวไปนะคะว่าอัลบั้มนี้คือโฆษณาชวนเชื่อของ Dema แฟนๆจึงคิดว่าพิธีกรทั้ง 2 คือสมาชิกของ Dema ค่ะ ซึ่งในโชว์นั้นก็มีการตัดภาพไปที่พิธีกรอยู่เป็นระยะ มีตอนที่ไทเลอร์กำลังร้องท่อนจบของเพลง Holding On To You แล้วภาพก็ตัดไปด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังมีตอนที่ภาพตัดไปอีกฉากแล้วเราเห็นว่าสภาพของพิธีกรทั้ง 2 คนนั้นเหมือนเพิ่งถูกทำร้ายมา ซึ่งทั้งแอคเคาท์ที่เป็น แอคอัพเดท และ แฟนคลับ หลายๆคนต่างก็คิดทฤษฎีขึ้นมาหลากหลาย เช่น สาเหตุที่ทั้ง 2 คนเป็นแบบนั้นก็เพราะฉากเพลง Saturday ที่เป็นงานสังสรรค์ในวันเสาร์ อาจทำให้ลืมความเครียดต่างๆไปได้ หรือเป็นเพราะฉากที่คุณเจนน่า ภรรยาของไทเลอร์ โทรหาไทเลอร์แล้วพูดให้กำลังใจ (ไทเลอร์เล่าไว้ในสัมภาษณ์ว่าเป็นเสียงการโทรศัพท์จริงๆค่ะ คุณเจนน่าเขาโทรหาไทเลอร์ตอนกำลังทำเพลง แล้วมันเหมาะกับเพลงพอดี ไทก็เลยเอาใส่ลงไปซะเลย) หรืออาจเป็นเพราะว่า Dema มีอำนาจในการควบคุมเรื่องการโปรโมทขายเพลง แต่ไม่มีอำนาจมากพอที่จะควบคุมไทเลอร์ขณะแสดงสดได้ อย่างที่ปรากฎเนื้อเพลงในเพลง Lane Boy ว่า "My creativity's only free when I'm playing shows" 

    มากไปกว่านั้น เครดิตที่ขึ้นในตอนท้ายของโชว์ก็ยังเป็นสิ่งยืนยันว่าทฤษฎีตัวตนของพิธีกรที่แฟนๆคิดนั้นถูกต้องแล้วค่ะ คือ มีแฟนคลับพบว่า ชื่อตัวละครของพิธีกรทั้ง 2 คนนั้นได้แก่ Dan Lisden และ Sally Sacarver ซึ่งนามสกุลของทั้งสองคนนี้ก็คือ 2 ใน 9 ชื่อของเหล่า Bishops นั่นเองค่ะ

    *ขอแทรกข้อมูลจากช่วง Trench เพิ่มนิดนึงนะคะ เพราะตรงนี้เราไม่ได้ใส่ลงไปตอนแปล Bandito คือ Bishops หรือบาทหลวงทั้ง 9 คนนี้ก็คือวงกลมทั้ง 9 วงที่อยู่บนหน้าปกอัลบั้ม Blurryface นั่นเองค่ะ ซึ่งหน้าปกของอัลบั้มดังกล่าวก็คือแผนผังของสถานที่ Dema ตามภาพนี้ค่ะ (สถานที่แห่งนี้เราเคยเห็นเต็มๆมาแล้วใน MV เพลง Nico And The Niners ค่ะ)


    นอกจากนี้ยังมี คนสังเกตเห็นว่า ตัวเลขที่อยู่ในฉากต่างๆ เมื่อนำมารวมกันจะได้เป็น Violation Code (15398642_14) ที่แฟนๆเคยไขปริศนากันจนไปเจอเว็บไซต์ Dema ด้วยค่ะ


    ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้มีประมาณนี้ค่ะ ถ้าใครเจอสิ่งที่น่าสนใจตรงไหนเพิ่มก็มาพูดคุยกันได้นะคะ <3
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Rachen Chaisri (@fb8481196924657)
เป็นกำลังใจให้แปลต่อไปนะครับ เมื่อก่อนผมหาอ่านจากจีเนียสอย่างเดียวเวลาเจอศัพท์แปลกๆก็งงหน่อย555555
patstylez (@patchytah)
@fb8481196924657 ขอบคุณมากๆนะคะ ทางนี้ก็ยังต้องค้นคำศัพท์อยู่เพียบเลยค่ะ 555555