'จังหวัดฮิโรชิม่า' ถูกขนานนามว่า ‘เมืองแห่งน้ำ’ เพราะสถานที่แห่งนี้มีแม่น้ำใสสะอาดไหลผ่านด้วยกันถึง 6 สาย!
หากย้อนไปเมื่อปี 1589 ในยุคที่ซามูไรยังรุ่งเรือง ‘โมริ เทรุโมโตะ’ ผู้ปกครองในสมัยนั้นได้สร้างปราสาทฮิโรชิม่าขึ้น ณ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโอตะงาวะ (แต่ที่จริงจะเรียกปราสาทฮิโรชิม่าว่า 'ริโจ' หรือปราสาทปลาคาร์พ)
ถ้าสังเกตลักษณะของพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำนี้ จะเห็นว่าบริเวณดังกล่าวคล้ายกับเกาะขนาดใหญ่ จึงมีชื่อเรียกว่า ‘ฮิโรชิม่า’ หรือแปลเป็นไทยให้ชัดอีกรอบว่า ‘เกาะกว้าง’ นั่นเอง
สำหรับภาพรวมการปกครองของฮิโรชิม่าในอดีต หรือช่วงเวลาก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าสู่สมัยเมจิ มีเพียงสามตระกูลเท่านั้นที่มีอำนาจปกครองคือ ตระกูลโมริ ตระกูลฟุกุชิมะ และตระกูลอาซาโนะ
เนื่องจากการผลัดเปลี่ยนอำนาจและการพัฒนาสถานที่แห่งนี้อย่างสม่ำเสมอ ปราสาทฮิโรชิม่าจึงยิ่งใหญ่ เกรียงไกร และทรงพลังมากที่สุดในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น
แต่พอเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิโรชิม่าได้ตกเป็นเป้าหมายสำหรับการทิ้งระเบิดปรมาณูของอเมริกา และวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นที่เมืองแห่งนี้ทันทีที่อเมริกาทิ้ง ‘little boy’ ระเบิดปรมาณูลูกแรกลงมา
นอกจากระเบิดลูกนี้จะทำให้ฮิโรชิม่าเกิดไฟไหม้วอดไปทั้งเมืองแล้ว มันยังคร่าชีวิตผู้คนไปถึงแปดหมื่นรายทันทีที่ร่วงสู่พื้นดิน หากรวมความเสียหายข้างเคียงจากสารกัมมันตภาพรังสี ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับชาวเมืองราวหนึ่งแสนห้าหมื่นคน หรือบ้านเรือนที่เสียหายไปกว่าสามแสนสี่หมื่นหลัง ก็นับว่าเหตุการณ์นี้เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกเลยล่ะ (แม้ว่าเราจะไม่ได้กล่าวถึงที่นางาซากิด้วยก็ตามที)
แต่ด้วยความไม่ย่อท้อของชาวเมือง และความช่วยเหลือจากทั้งในและนอกประเทศ ฮิโรชิม่าจึงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และกลายเป็นเมืองแห่งสันติภาพอันเป็นนิรันดร์ของมวลมนุษยชาติ
ฮิโรชิม่าเป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารด้วยรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้
ส่วนการเดินทางในโซนเมืองฮิโรชิม่ากับมิยาจิมะ ขอแนะนำตั๋วโดยสารรายวัน 600 เยน
ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในฮิโรชิม่ากันเลยนะครับ
โดมระเบิดปรมาณู หรือศูนย์จัดแสดงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประจำจังหวัดฮิโรชิม่า สร้างครั้งแรกในปี 1914 เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่มีส่วนของโดมทองแดงขนาดมหึมาครอบบนยอดตึก และด้วยความสวยงามแปลกตา สถานที่แห่งนี้จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำ 'จังหวัดฮิโรชิม่า' ในสมัยนั้น
และเป็นที่รับรู้กันดีว่าฮิโรชิม่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดมปรมาณูจึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดเช่นกัน
แม้ว่าจุดที่ระเบิดตกจะอยู่ห่างจากสถานที่ดังกล่าวเพียง 160 เมตร ทั้งยังคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่ในอาคารทันที แต่ตัวโดมกลับได้รับแรงระเบิดที่มีทิศทางเกือบตั้งฉากกับแนวราบ ทำให้ผนังบางส่วนของตัวอาคารยังคงเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี 1996 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้โดมระเบิดปรมาณูเป็นมรดกโลก ทั้งนี้ทางการจะต้องอนุรักษ์ให้โดมปรมาณูคงอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งหมายถึงสภาพที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณูแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์และสันติภาพอันเป็นนิรันดร์ของชาวโลก
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
สวนสันติภาพฮิโรชิม่า เป็นสวนสาธารณะใน 'จังหวัดฮิโรชิม่า' ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่ 2
ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิด พื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการค้าและการบริหารเมืองที่คึกคัก จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฮิโรชิม่าตกเป็นเหยื่อของการทดลองระเบิดปรมาณูของโครงการแมนฮัตตัน
4 ปีให้หลัง รัฐบาลก็ประกาศให้อนุรักษ์พื้นที่แห่งนี้แทนการซ่อมแซมให้กลับไปเป็นเมืองตามเดิม โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สวนสันติภาพเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงสงครามครั้งนั้น
ระเบิดปรมาณูครั้งนั้นคร่าชีวิตชาวเมืองฮิโรชิม่าทันที 140,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากพิษบาดแผลหรืออาการป่วยเรื้อรังอีกนับหมื่นคน หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวที่ชื่อ 'ซาดาโกะ ซาซากิ'
ซาดาโกะ ซาซากิ เป็นนักกีฬาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในขณะที่กำลังซ้อมวิ่งอยู่นั้น จู่ๆเธอก็มีอาการวิงเวียนศีรษะและหมดสติ จากนั้นเธอจึงไปตรวจร่างกาย และพบว่าตนเองเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวอันเป็นผลมาจากสารกัมมันตภาพรังสีที่เป็นส่วนประกอบของระเบิดปรมาณูนั่นเอง
เมื่อร่างกายของเธอไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว เธอจึงจำต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันอย่างการซ้อมวิ่งเป็นการนอนป่วยบนเตียงแทน อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนของซาดาโกะนำตำนานของนกกระเรียนมาเล่าให้เธอฟังว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบพันตัวก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง
ซาดาโกะจึงเริ่มพับนกกระเรียนขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่แล้วปาฏิหารย์กลับเมินเฉยต่อความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเธอ เพราะในท้ายที่สุดซาดาโกะก็เสียชีวิตไปก่อนที่นกกระดาษของเธอจะครบตามจำนวนที่ตั้งใจไว้
ในวันจัดพิธีศพของซาดาโกะ เพื่อนๆของเธอต่างร่วมใจกันพับนกกระเรียนจนครบ 1,000 ตัวเพื่อฝังไปพร้อมกับร่างของเธอ จึงเป็นที่มาของอนุสรณ์รำลึก ดังภาพที่ทุกคนเห็นกันด้านบน
และนี่ก็เป็นโซนย่อยอีกส่วนของสวนสันติภาพแห่งนี้ นั่นก็คือ 'พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู' ที่จัดแสดงสิ่งของต่างๆที่เหลือรอดมาจากความเสียหายในครั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จำลองเหตุการณ์จริงหลังการทิ้งระเบิดปรมาณูด้วย ซึ่งขอรีวิวตรงนี้เลยว่าดูแล้วหดหู่มากจริงๆ ถ้าใจไม่แข็งพอ น้ำตามาแน่!
เอาล่ะ เศร้ากันมาพอแล้ว กลับมาดูของสวยงามกันบ้าง
สวนสันติภาพมีขนาดใหญ่ถึง 12,000 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว!!! ทำให้ที่นี่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะมาก และด้วยจำนวนของต้นซากุระที่มีเยอะอย่างกับยกกองทัพซากุระมาตั้งไว้ที่นี่ ถ้าจะมายังสวนสันติภาพแห่งนี้ก็ต้องเล็งช่วงฤดูใบไม้ผลิกันให้ดีๆล่ะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ปราสาทฮิโรชิม่าสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1589 โดยไดเมียว ‘โมริ เทรุโมโตะ’ เป็นปราสาทที่ต่างจากปราสาททั่วไปของญี่ปุ่นตรงที่สร้างบนพื้นราบ เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าปราสาทญี่ปุ่นมักสร้างอยู่บนเนินเขาหรือยอดเขาซะส่วนใหญ่ อย่างปราสาทฮิเมจิหรือปราสาทอื่นๆที่เรารู้จัก
ถึงแม้ว่าปราสาทฮิโรชิม่าจะรอดพ้นจากสงครามกลางเมืองในช่วงปลายยุคเอโดะ แต่ก็ไม่รอดจากการทิ้งระเบิดปรมาณูเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ดี ทั้งนี้ตัวปราสาทได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1958
ปัจจุบันปราสาทฮิโรชิม่าได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะมีความสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์มาสด้า (Mazda Museum) ตั้งอยู่ในโรงงานข้างตึกสำนักงานใหญ่เดิมของมาสด้า
ภายในพิพิธภัณฑ์มีโซนจัดแสดงอยู่หลายส่วน ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของบริษัทมาสด้า ตัวอย่างรถรุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถเก่า โมเดลรถ และสายการผลิตรถยนต์ รวมไปจนถึงทิศทางการพัฒนารถในอนาคต นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
สวนญี่ปุ่นเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮิโรชิม่า อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำจังหวัดฮิโรชิม่า สร้างขึ้นในปี 1619 โดยอาซาโนะ นางาอากิระ (Asano Nagaakira) ไดเมียวผู้ปกครองฮิโรชิม่าในสมัยเอโดะ
สำหรับตัวสวนนั้นสร้างมาจากการจำลองสถานที่อย่าง ‘ทะเลสาบแห่งตะวันตก’ หรือ ทะเลสาบซีหู เมืองหางโจว ประเทศจีน จึงขอรับประกันเลยว่าทัศนียภาพของสถานที่แห่งนี้สวยงามมากแน่นอน
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮิโรชิม่าตั้งอยู่ติดกับสวนชุกเกเอ็น การออกแบบตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้มีความสอดคล้องกับภูมิทัศน์ที่สวยงามของสวนชุกเกเอ็นเป็นอย่างมาก ภายในอาคารมีการจัดแสดงผลงานศิลปะกว่า 4,800 รายการ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและห้องสมุดให้บริการด้วยนะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ถนนฮอนโดริ (Hiroshima Hondori Street) เป็นแหล่งชอปปิ้งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮิโรชิม่า คำนิยามของสถานที่แห่งนี้ก็คือ ถ้าไม่เต็มไปด้วยร้านค้าหรือเห็นผู้คนบางตาก็แสดงว่ามาผิดที่แล้วล่ะ 555
เพราะนอกจากสีสันและความคึกคักของผู้คนแล้ว ถนนเส้นนี้ก็ยังมีของให้เลือกช้อปมากมาย ยิ่งถ้าเป็นของกินนะ มีให้เลือกเยอะจนตาลายกันไปเลยล่ะ โดยเฉพาะที่โอโคโนมิมุระ (Okonomimura) ที่จะมีร้านขายโอโคโนมิยากิแสนอร่อยหรือร้านพิซซ่าญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
เกาะอิทสึคุชิมะ หรืออีกชื่อหนึ่งที่นิยมเรียกกันว่าเกาะมิยาจิมะ เป็นเกาะเล็กๆในจังหวัดฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเสาประตูโทริอิขนาดยักษ์ที่ถ้ามองดูจากบนเกาะแล้ว เราจะเห็นราวกับว่าเสาโทริอิกำลังล่องลอยอยู่ในทะเลเลยล่ะ นอกจากนี้เกาะอิทสึคุชิมะยังได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ใน 3 จุดที่วิวสวยที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับอ่าวมัตสึชิมะ จังหวัดมิยากิ และอามาโนะฮาชิดาเตะ จังหวัดเกียวโต
อ่านเรื่องของมัตสึชิมะได้ที่นี่ > นั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น & เดินเล่นบนเกาะโดยรอบ
ความจริงแล้วประตูแดงที่เห็นอยู่นั้นเป็นของศาลเจ้าประจำเกาะแห่งนี้ นั่นก็คือ 'ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ' ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพธิดาแห่งมิยาจิมะ นอกจากนี้ยังเป็น power spot ชื่อดังด้านความปลอดภัยในการเดินทางด้วย
อ้อ! ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว อย่าลืมถ่ายรูปน้องกวางกับประตูแดงด้วยล่ะ
อ่านข้อมูลเจาะลึกเรื่องศาลเจ้าอิทสึคุชิมะและเกาะมิยาจิมะได้ที่นี่ > ชมหนึ่งในสามวิวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นที่ ‘เกาะมิยาจิมะ’
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 500 เมตร ภูเขามิเซนเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเกาะมิยาจิมะ ในวันที่ท้องฟ้าสดใสจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพของทะเลเซโตะไปจนถึงเมืองฮิโรชิม่าได้เลยทีเดียว
ถามว่าปีนเขาลูกนี้ยากไหม ขอตอบเลยว่าไม่ เพราะมี easy mode ด้วยการขึ้นกระเช้าครับ แต่ถ้าใครฟิตพอที่จะปีนตั้งแต่ข้างล่างมาเลยก็ได้นะ
พอขึ้นกระเช้าหรือเดินมาได้สักพัก เราจะเจอกับจุดชมวิวชิชิอิวะ (Shishiiwa) ซึ่งอยู่ติดกับสถานีชิชิอิวะ (Shishiiwa) บอกได้คำเดียวสั้นๆว่าตรงนี้วิวสวยมาก เพราะเห็นทะเลรอบๆได้หมดเลย
ส่วนที่นี่เรียกว่า เรคันโด เป็นอาคารที่ใช้เก็บไฟที่หลวงพ่อโคโบไดชิจุดไว้เมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน ว่ากันว่าไฟนี้ไม่เคยดับลง และเป็นไฟดวงเดียวกับที่ใช้ในสวนสันติภาพฮิโรชิม่าอีกด้วย
มิเซนฮอนโด เป็นอาคารวัดที่ ‘หลวงพ่อโคโบไดชิ’ ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายชินกอนใช้ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 100 วันหลังกลับมาจากจีน ด้านในเป็นที่เก็บระฆังมุเนโมริที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ และภูเขาลูกนี้ก็เป็นภูเขาที่หลวงพ่อขึ้นมาบำเพ็ญเพียร จึงมีการสร้างวัดไว้บนเขา
ในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาสักที ตรงนี้ก็สวยเช่นกันครับ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
วัดไดโชอิน (Daishoin Temple) เป็นวัดที่มีความสำคัญต่อศาสนาพุทธนิกายชินกอนมาก วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 806 โดยหลวงพ่อโคโบไดชิ (Kobo Daishi) ซึ่งเป็นพระรูปแรกที่เข้ามาปฏิบัติธรรมบนเกาะมิยาจิมะแห่งนี้ ภายในวัดมีการประดับประดาด้วยโคมไฟอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีวงล้อเหล็กจำนวนมากที่บันทึกคำสอนของศาสนาพุทธไว้ ชาวญี่ปุ่นนิยมมาหมุนวงล้อกันระหว่างเดินชมสถานที่แห่งนี้ พูดแบบนี้แล้วทุกคนอาจจะงงว่าเขาทำกันยังไง คือถ้าเปรียบวงล้อเหล็กของบ้านเขาเป็นระฆังบ้านเรา ก็เหมือนกับการตีระฆังเวลาไปวัดนั่นเอง
ทั้งนี้ชาวญี่ปุ่นยังมีความเชื่อที่ว่า การหมุนวงล้อเหล่านี้มีค่าเท่ากับได้อ่านพระไตรปิฎกเลยล่ะ
หากมาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราก็จะได้สัมผัสกับทัศนียภาพที่งดงามของสถานที่แห่งนี้ด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ศาลเจ้าเซ็นโจคาคุ (Senjokaku) หรือชื่อทางการคือศาลเจ้าโฮคาคุ (Hokaku) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1587 โดยโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) สถานที่แห่งนี้มีไว้เพื่อปฏิบัติธรรม
ความพิเศษของศาลเจ้าแห่งนี้น่าจะเป็นเพราะ ‘ที่นี่คือศาลเจ้าที่ยังสร้างไม่เสร็จ’ เนื่องจากระหว่างที่ก่อสร้างอยู่นั้น ฮิเดโยชิได้ถึงแก่กรรมไปซะก่อน พอโทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ยึดอำนาจขึ้นเป็นโชกุนได้ในเวลาต่อมา เขาก็ไม่มีแผนที่จะสร้างศาลเจ้าเซ็นโจคาคุต่อ จึงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ผลก็คือศาลเจ้าแห่งนี้ไม่มีทั้งผนังหรือประตูเลยแม้แต่บานเดียว พอมองแล้วดูจะเป็นโถงอาคารโล่งๆมากกว่าศาลเจ้าซะอีก
สำหรับอาคารที่ปลูกอยู่ข้างๆกันนั้นก็คือเจดีย์ที่สร้างขึ้นในปี 1407 หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าสร้างก่อนที่จะมีศาลเจ้าเซ็นโจคาคุซะอีก ถ้าพูดถึงความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ ลองมาช่วงซากุระบานสะพรั่งดูสิ แล้วจะเห็นความสวยงามที่ตรึงตาตรึงใจจนไม่อาจลืมได้เลยทีเดียว
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
วันเวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
เจดีย์ทาโฮโตะเป็นเจดีย์ที่ให้กลิ่นอายของความเป็นสถาปัตยกรรมจีนผสมอินเดีย แต่ที่จริงแล้วตรงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่ถ่ายรูปสวยแล้วมว้ากกก (ก. 5 ล้านตัวไปเล้ย)
ลองส่องกลับไปที่ประตูแดงก็ยังสวยครับ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองมิยาจิมะ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเอาข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านต่างๆของชาวเมืองบนเกาะมาจัดแสดง รวมทั้งเอกสารโบราณ บทกวีต่างๆ ภาพวาดวิวเมืองมิยาจิมะ หรือทรัพย์สินอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็น 6 ห้อง แต่ละห้องจะมีการจัดแสดงสิ่งของที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหมวดหมู่หรือชนิดของสิ่งของนั้นด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมิยาจิมะ (Miyajima Aquarium) จัดแสดงพันธุ์ปลาหลากชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) และสิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของอวาเรียมแห่งนี้ก็คือ การแสดงวิธีทำฟาร์มหอยนางรมซึ่งจัดภายในตู้กระจกให้เราได้ชมกันอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้หอยนางรมก็เป็นอาหารขึ้นชื่อของ 'จังหวัดฮิโรชิม่า' ด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ถนนมิยาจิมะ โอโมเตะซันโด (Miyajima Omotesando) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าถนนคิโยโมริ (Kiyomori Street) เป็นถนนที่เรียงรายไปด้วยร้านอาหารและร้านขายของฝากมากมาย ซึ่งสิ่งของแต่ละอย่างล้วนเป็นงานฝีมือสไตล์มิยาจิมะทั้งนั้นเลย และของฝากสุดจ๊าบที่เราแนะนำให้คุณซื้อติดมือกลับมาด้วยก็คือทัพพีตักข้าวนั่นเอง!
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
เนินเขาโอโนมิจิเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ติดกับทะเล และนอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แสนงดงามแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และวัดต่างๆที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ก็ล้วนแต่เคยเป็นฉากในภาพยนตร์หรือละครทีวีมาหลายเรื่องแล้ว
ตรงนี้เหมาะมากที่จะมากับคุณแฟน เพราะมีจุดถ่ายรูปที่สุดแสนน่ารักและโรแมนติกมาก
แถมมีจุดให้ล็อกกุญแจคล้องใจด้วยนะ
และนี่ก็คือวัดเซ็นโคจิ (Senkoji Temple) ซึ่งเป็นวัดดังประจำเนินเขาโอโนมิจิ
นอกจากจะสวยมากในช่วงซากุระบาน ที่นี่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการขอพรความรัก ถึงขนาดที่ว่าชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศร่วมใจกันโหวตให้วัดแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับ 5 เลยทีเดียว (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์นี้ > Link )
ตลอดเส้นทางที่ไปขึ้นกระเช้าจะมีย่านการค้าเล็กๆให้ได้เดินชมกันชิลล์ๆด้วยนะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
เส้นทางการปั่นจักรยานของชิมานามิ ไคโดะ (Shimanami Kaido) เป็นเส้นทางเหนือช่องแคบทะเลสายแรกที่สามารถสัญจรด้วยจักรยานได้ เนื่องจากเส้นทางนี้พาดผ่านเกาะหลายแห่ง ชิมานามิไคโดะจึงเป็นเส้นทางในฝันของเหล่านักปั่นจักรยาน ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพที่แสนสวยงามแล้ว เราจะยังได้เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของภูมิภาคเซโตะ (Seto Uchi) อีกด้วย
ระหว่างทางจะมีวัดโคซันจิ (Kousanji Temple) ที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 1936 โดยนักธุรกิจที่ร่ำรวยมากคนหนึ่ง ซึ่งเขาต้องการอุทิศให้แม่ของตนเอง แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้เก่าแก่นัก แต่สถาปัตยกรรมของวัดโคซันจิไม่ว่าจะเป็นภายในหรือนอกอาคาร ก็ล้วนแต่ถอดแบบมาจากวัดและศาลเจ้าชื่อดังทั้งนั้น อย่างเช่นประตูของวัดแห่งนี้ ถ้ามองกันให้ดีอาจจะคุ้นหน่อยๆ เพราะเราเคยเห็นแล้วที่ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ
จุดนี้เองที่ทำให้วัดโคซันจิมีความน่าสนใจและมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่แพ้วัดใดในญี่ปุ่นเลย
ส่วนที่อยู่ข้างๆกันนั้นคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮิรายามะ อิคุโอะ (Hirayama Ikuo Museum of Art) ที่รวบรวมงานศิลปะของคุณฮิรายามะ อิคุโอะเอาไว้
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์ยามาโตะ ตั้งอยู่ในเมืองคุเระซึ่งเป็นหนึ่งในฐานทัพทางทหารที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
ในอดีตเมืองแห่งนี้ได้ให้กำเนิดเรือรบที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก นั่นก็คือเรือรบยามาโตะ (Senkan Yamato) ซึ่งชื่อของเรือรบลำนี้ตั้งตามชื่อจังหวัดโบราณและชื่อชนเผ่าญี่ปุ่นที่มีจำนวนประชากรถึง 90%
เรือยามาโตะที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเรือรบจำลองที่มีขนาดเพียง 1 : 10 เท่านั้น เนื่องจากเรือยามาโตะของจริงได้หลับใหลตลอดกาลอยู่ในทะเลตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 1945 แล้ว ทั้งนี้จุดที่เรืออับปางก็อยู่ระหว่างทางที่จะไปโอกินาว่า ซึ่งจุดจบของตำนานเรือรบยักษ์คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการโจมตีทางอากาศของอเมริกาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ประมาณ 3,200 ราย
นอกจากเรือยามาโตะแล้วก็มีการจัดแสดงยานพาหนะอื่น เช่น เครื่องบินรบซีโร่ เป็นต้น
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ตั้งอยู่ข้างๆพิพิธภัณฑ์ยามาโตะ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกเล่าประวัติความเป็นมาของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงที่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ปราสาทฟุกุยามะ สร้างขึ้นในปี 1619 โดย ‘มิสึโนะ คัทสึนาริ (Mizuno Katsunari)’ ลูกพี่ลูกน้องของโชกุนโทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu)
นอกจากจะเคยเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงในสมัยเอโดะแล้ว ปัจจุบันปราสาทฟุกุยามะก็เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของญี่ปุ่นด้วย
ข้างปราสาทจะมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฮิโรชิม่า (Hiroshima Prefectural Museum of History) ซึ่งจัดแสดงวิถีชีวิตในอดีตของผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆทะเลเซโตะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
โทโมโนะอุระ (Tomonoura) เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวประมงที่สวยงามใน 'จังหวัดฮิโรชิม่า' เนื่องจากทิศทางที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้หันหน้าออกสู่ทะเลเซโตะ เราจึงสามารถชื่นชมความสวยงามของภูมิประเทศท่ามกลางบรรยากาศสงบร่มรื่น
นอกจากนี้โทโมโนะอุระยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเซโตะไนไก (Setonaikai National Park) อีกด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
วัดชินโชจิ (Shinshoji Temple) สร้างขึ้นในปี 1965 เป็นวัดเซนนิกายรินไซที่สวยงามใน 'จังหวัดฮิโรชิม่า' วัดนี้ประดับประดาด้วยภาพวาดและงานศิลปะมากมาย อีกทั้งยังสัมผัสวิถีเซนด้วยการนั่งสมาธิได้ด้วย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ช่องแคบที่สวยงามแห่งนี้ทอดตัวทะลุผ่านภูเขาที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ 'จังหวัดฮิโรชิม่า' ด้วยสีเขียวชอุ่มของฤดูใบไม้ผลิและสีเหลืองทองของฤดูใบไม้ร่วง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ
นอกจากจะได้เดินชมเหล่าพืชพรรณหลากชนิดที่ให้ความเพลิดเพลินแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล ที่นี่ยังมีน้ำตกสีแดงที่งดงามมากด้วย ถ้าเดินเที่ยวจนเบื่อแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปล่องเรือบ้างก็ดีเหมือนกันนะ
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
ภูเขาฮิบะคือภูเขาเก่าแก่ที่ปรากฏในโคจิกิหรือพงศาวดารญี่ปุ่นโบราณ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฮิบะ–โดโกะ–ไทชะกุ ซึ่งตั้งอยู่บนเขตแดนของจังหวัดชิมาเนะ
บริเวณยอดเขาฮิบะปกคลุมไปด้วยป่าบีช (Beech woods) และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ยามที่ใบไม้พร้อมใจกันผลัดใบ เราจะเห็นราวกับว่าภูเขาทั้งลูกถูกย้อมเป็นสีแดง ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้ช่วงฤดูใบไม้ผลิเลย
วิธีเดินทาง
ที่อยู่
เวลาทำการ
ค่าเข้าชม
เว็บไซต์
'จังหวัดฮิโรชิม่า' เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่อยู่ติดกับทะเล จึงมีอาหารทะเลที่สดและอร่อยมากมาย โดยเฉพาะ 'หอยนางรม' ที่คนญี่ปุ่นต่างเล่าลือเป็นเสียงเดียวกันว่าที่ฮิโรชิม่านี่แหละ...เดอะเบสต์! ว่าแต่นอกจากหอยนางรมแล้วจะมีอะไรน่ากินบ้าง ตามมาดูกันเลย!
จังหวัดฮิโรชิม่า เป็นแหล่งผลิตหอยนางรมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แถมยังได้รับการการันตีจากชาวญี่ปุ่นว่าหอยนางรมฮิโรชิม่าอร่อยที่สุดในประเทศเลยด้วย ของมันต้องไปโดนแล้วว่าไหม ไม่ว่าจะทานเป็นซาชิมิหรือปรุงสุกก็ล้วนน่ากินทั้งนั้น
ขอแนะนำ > ร้านไทเรียวซากะบะ อุโอะทารุฮนเต็น (Tairyosakaba Uotaruhonten)
ปลาไหลทะเลอานาโกะเป็นของขึ้นชื่อประจำเกาะมิยาจิมะ จังหวัดฮิโรชิม่า โดยเฉพาะเมนูปลาไหลทะเลย่างที่มีจุดเด่นตรงกลิ่นหอมของถ่านที่ใช้ย่าง และกลิ่นของโชยุที่ใช้หมักปลาไหล ส่วนรสสัมผัสของเนื้อปลาไหลทะเลอานาโกะจะให้ความรู้สึกร่วนและยุ่ย กว่าปลาไหลอุนางิ แต่ขอเคลมตรงนี้เลยว่าอร่อยไม่แพ้กัน!
ขอแนะนำ > ร้านมาเมะตะเมะชิ (Mametameshi)
โอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิม่าจะใช้กะหล่ำปลี ถั่วงอก เนื้อหมู ไข่ และเส้นโซบะหรืออุด้ง วางทีละชั้นบนแผ่นแป้งบางๆเหมือนกับการทำเครป ซึ่งจะต่างจากโอโคโนมิยากิของโอซาก้าที่นำแป้งกับส่วนผสมอื่นๆผัดรวมกันไปเลย และจุดนี้เองที่ทำให้รสสัมผัสของโอโคโนมิยากิของฮิโรชิม่ามีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ถ้าถามว่าระหว่างของฮิโรชิม่ากับของโอซาก้าอันไหนอร่อยกว่ากัน ก็แอบตอบยากนะ นี่ว่าคงแล้วแต่คนชอบแหละ
ขอแนะนำ > ร้านใดก็ได้ในย่านโอโคโนมิยากิมุระ (Okonomiyakimura)
โมมิจิมันจู หรือเจ้าเค้กรูปใบเมเปิลที่เราเห็นอยู่นี้เป็นของหวานและของฝากขึ้นชื่อจากเกาะมิยาจิมะ จังหวัดฮิโรชิม่า ขนมชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุคเมจิ โดยช่างทำขนมญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ชื่อ 'ทาคาสึ สึเนสุเกะ'
เหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้สร้างสรรค์ขนมที่หน้าตาสวยงามแบบนี้ขึ้นมาก็คือ มีโรงแรมแห่งหนึ่งมาขอให้เขาลองทำขนมสักอย่างหนึ่งเพื่อลูกค้า VIP และในปัจจุบันโมมิจิมันจูก็กลายเป็นสินค้ายอดฮิตของ 'จังหวัดฮิโรชิม่า' ไปเสียแล้ว
ขอแนะนำ > ร้านโมมิจิโดะฮนเต็น (Momijido Honten)
อะไรนะ! กินเนื้อจระเข้งั้นเหรอ?
ถ้าใครเรียนภาษาญี่ปุ่นหรือดูอนิเมะกับซี่รีส์ญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็อาจจะคุ้นๆว่าวานิ (Wani) แปลว่าจระเข้
เอ๋!? แต่ที่ญี่ปุ่นก็ไม่มีเนื้อจระเข้นี่? นอกจากจะไปแอบแล่สดในสวนสัตว์ 555 (ที่จริงแล้วบ้านเรานี่แหละที่ส่งออกเนื้อจระเข้ไปให้เขา)
เอาล่ะ เราจะมาเฉลยกันว่า ‘วานิ’ ยังมีอีกหนึ่งความหมาย นั่นก็คือ ‘เนื้อฉลาม’ (หน่านิ๊!)
ซาชิมิปลาดิบไม่ใช่ของหายากในญี่ปุ่น แต่ซาชิมิฉลามเนี่ยสิเป็นยิ่งกว่า rare item เชียวนะ ถ้ามีโอกาสต้องลองกินสักครั้ง
ที่มา: สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปโดนสักครั้งใน 'จังหวัดฮิโรชิม่า'
ติดตามเรื่องราวทีน่าสนใจได้ที่: fromJapan.info
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in