เขากะพริบตา เปิดรูม่านตารับแสงตรงหน้าภาพปรากฏเป็นท้องฟ้าใส มีเมฆขาวลอยเฉื่อย อวดตัวอยู่ แสงแดดแรงจ้าทว่าไม่ได้ร้อนจนแผดเผาลมเย็นพัดเอื่อยไล้ลูบผิว อากาศในตอนนี้เรียกว่าดีถึงดีมาก เขาก้มหน้าลงหลบแสงอาทิตย์ พลันเห็นทะเลอยู่ใต้ผืนฟ้า น้ำทะเลสะท้อนสีฟ้ามวลน้ำไร้มลพิษเจือปนจึงใสจนเห็นเม็ดทรายขาวที่โดนน้ำทะเลคลุมไว้อีกที
เสียงนกที่เขาไม่รู้จักร้องผ่านเป็นพักๆมองเห็นเงานกทาบใบหน้าเพียงแวบเดียว โฉบผ่านไปมาอย่างอิสระเรือลำน้อยแล่นผ่านบ้านเล็กๆ ฝั่งซ้ายเป็นเมือง บ้านหลังน้อยวางเรียงรายอาคารสูงไม่เกินสองชั้น ไม่มีตึกสูงรกตา ฝั่งขวาเป็นหาดทรายและทะเลเบื้องบนเป็นท้องฟ้าคราม ข้างล่างเป็นผืนน้ำใส
เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไรแต่ไม่นึกใส่ใจ
ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ไม่ได้พบเจอได้ง่ายๆ
กะพริบตาอีกที เรือจอดที่สถานีผู้โดยสารในเรือบางส่วนเดินออกไป บางส่วนเดินเข้ามาเขาเพียงเหลือบตามองก่อนหันไปมองทะเลดังเดิม
เรือโดยสารแล่นไปรอบเมืองโดยทางน้ำที่ทำขึ้นพิเศษเมืองนี้เป็นเกาะ ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลชั้นหนึ่ง ขยับเข้ามาก็มีคูน้ำอีกชั้นหนึ่งไว้ให้เรือโดยสารแล่นผ่านเช่นนี้
เขาหลับตา รับสัมผัสของสายลมอ่อนๆ ที่ปะทะเข้ามาลมเย็นอาบไปทั่วร่าง ทว่าแสงแดดอุ่นเข้ามาผสมทำให้ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป เสียงลมเสียดสีกับต้นไม้ดังซ่อกแซ่กเสียงนกกระพือปีก เสียงคลื่นทะเล เสียงผู้คนคุยกันแผ่วเบา ไม่ได้เงียบแต่ก็ไม่ได้รบกวน จนกระทั่งเรือหยุดที่ท่าเรือชื่อประหลาดเขาตัดสินใจออกจากเรือโดยสาร
เดินจากสถานีก้าวขาอย่างไม่รู้เส้นทางทว่าดูชำนาญ ราวกับที่แห่งนี้เขาไม่ได้มาเป็นครั้งแรกทั้งที่เขาไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อนแท้ๆ
“เป็นไง เที่ยวรอบเมืองมาสนุกมั้ย”เสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเขา ร่างโปร่งชะงักประมวลผลว่าเสียงนั้นคุยกับตนเองจึงหันหน้าไปหาต้นเสียง
อ่า...เป็นพี่นี่เอง
“สนุกดีพี่ อากาศดี”
“บอกแล้วให้ไปลอง เราก็เอาแต่นอนอยู่ในห้องอยู่นั่นแหละ”
“ก็คิดว่าไม่ได้มีอะไรน่าสนใจนี่”
“แล้วเป็นไงล่ะ”
“ก็...สวย”
“ใช่ไหมล่ะ อย่างกับอยู่สวรรค์”
แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่?
ไม่ได้เอ่ยถาม อีกฝ่ายเอ่ยขัด “อรทำอาหารไว้แล้วไปกินกัน”
แล้วเขาก็เดินตามอีกฝ่ายเข้าบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งไป นั่งทานอาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นมื้ออะไรกับคนสองคนที่เขาไม่รู้จักรู้แค่ผู้หญิงคนนี้ชื่ออร และเขาเรียกผู้ชายคนที่เขาพูดด้วยว่าพี่ เท่านั้น
เขาพยายามนึกขุดค้นลงไปในหัวสมองถึงที่มาของการอยู่ที่นี่ ทว่ายิ่งขุดยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่าเขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและตนเองมาได้อย่างไร ภายในบ้านเล็กๆแสงสว่างจากข้างนอกถูกกีดกั้นด้วยหน้าต่างที่คลุมด้วยม่านทึบ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง
“กินเสร็จก็ไปอาบน้ำเตรียมนอนได้แล้ว”
พี่กล่าวร่างโตกว่าจัดแจงเก็บข้าวของบนโต๊ะทานอาหาร เขาเดินหลบเข้าไปมุมขวาของบ้านเปิดประตูห้องน้ำ ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
เมื่อเสร็จธุระ เปิดประตูออกมาสภาพห้องโถงเมื่อครู่ถูกจัดแจงให้มีเตียงนอน โต๊ะทานข้าวถูกเลื่อนไปชิดผนังฝั่งหนึ่งเตียงใหญ่วางข้างหน้าต่าง เตียงเล็กวางอยู่ท้ายเตียงใหญ่เขาไม่รู้ว่าของพวกนี้มาจากไหน ในบ้านทีเป็นทรงสี่เหลี่ยมโง่ๆดูท่าจะมีข้าวของเครื่องใช้อีกหลายอย่างถูกซุกซ่อนไว้
ชายหญิงครอบครองเตียงใหญ่ส่วนเขาเป็นเจ้าของเตียงเล็ก เมื่อทั้งสามปีนขึ้นเตียงทั้งห้องก็บรรเลงด้วยเพลงแห่งความเงียบ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำรู้แค่ทำตามที่สัญชาตญาณบอก ปีนขึ้นเตียง หลับตานอน ได้ยินเสียงนกดังอยู่ข้างนอกพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลไกลๆ
ลอยละล่องไปกับสายลม ปล่อยตัว ปล่อยความคิดให้คลื่นซัดสาดพาเขาไกลออกไป ออกไป
คล้ายกับมีเสียงเปียโนไพเราะดังอยู่ห่างออกไป
เขาสะดุ้งตื่น ลืมตามองเพดานห้องโถงห้องเดิมชันตัวลุกมองเตียงใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงอรที่นอนอยู่ เขาหันไปที่ห้องน้ำพี่ออกมาจากตรงนั้น ใบหน้าคมคายยกยิ้มเมื่อเห็นเขาจ้องตน
“เป็นอะไร อยากให้ช่วยอีกเหรอ”
แม้ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่เขาพยักหน้า
“พี่ช่วยผมหน่อยนะ”
“อย่าเสียงดังล่ะ อรนอนอยู่”ร่างใหญ่กล่าวพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้ ดันให้เขานอนลงบนเตียงแคบ เสือกพาตัวเองร่วมนอนด้วยแผ่นหลังเขาแนบกับหน้าอกอีกฝ่าย มือใหญ่ไล่จากหน้าท้องเขาไปจนส่วนกลางลำตัวขยับนิ้ว ล้วงเข้าไปในกางเกงนอนตัวบาง ประคองส่วนอ่อนไหว ค่อยๆใช้ปลายนิ้วขยี้ส่วนปลาย
“อืม...”
เขาทนไม่ให้ตัวเองร้องออกมาไม่ได้สองมือพยายามปิดปากตัวเอง นอนเกร็ง ปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นร่างกายของตนตามใจชอบปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสร่างกายของตนตามที่อีกฝ่ายต้องการ
สุดท้าย เขากระตุกเกร็งปลดปล่อยหยาดน้ำขุ่นออกมาเลอะเปรอะเตียง หอบเอาลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่พยายามหันไปมองคนร่วมห้องอีกคนที่ยังนอนหลับสนิท
พี่ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดตัวให้เขา ตอนนั้นเองถึงได้สังเกตว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายมีวงแหวนจดจองไว้อยู่
เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของพี่กับอรทันที
ที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ดีเอามากๆ
“ผมขอโทษนะ...”
“ทำไมหรือ”
“ไม่น่าขอให้พี่ช่วยเลย” เขาบอกเหมือนเพิ่งสำนึกได้
“ช่วยมาตั้งนานแล้ว มาคิดมากอะไรเอาตอนนี้”
ประโยคชวนให้เขาสงสัยมากกว่าเดิมเขาจำอะไรไม่ได้ถึงขั้นไหนกันแน่ไม่เคยรู้เลยว่าตนกับพี่กำลังเล่นชู้ลับหลังอรเช่นนี้
เขาผลักอีกฝ่ายออก
“ผมว่าผมพอแล้วดีกว่า”เอ่ยเสียงที่คล้ายจะไม่ใช่เสียงของตนออกไป
คำพูดที่ไม่รู้ว่าตนบังคับให้พูดออกมาตอนไหนร่างกายขยับ ลุกจากเตียงเล็ก
“...”
พี่เรียกชื่อเขาไว้ แต่เขาไม่สนใจเสียงรั้งเปิดประตูบ้านออกไป ท้องฟ้ากลางคืนปรากฏ ท้องฟ้ากว้างไร้เมฆถูกละเลงด้วยสีน้ำเงินและม่วงสาดกระจายด้วยเม็ดสีขาวเป็นหมู่ดาวระยิบระยับ เป็นท้องฟ้ายามกลางคืนที่ทั้งสวยและชวนพิศวงลมหนาวปะทะ เสียงใบไม้เสียดสี
เขากะพริบตาหนึ่งครั้ง
พลันทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเหมือนตอนแรก จู่ๆท้องฟ้าก็สว่าง ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้า มวลเมฆปุยลอยล่อง แสงแดดอุ่นช่วยคลายความหนาว
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเวลานึกฉงนสงสัย แต่ไม่หยุดให้ตัวเองก้าวขา เขาเดินออกไป ออกไป ไม่รู้ว่าเดินไปที่ไหนแต่สองขาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เดิมเท่าไหร่นัก
เขาเปิดประตูเข้าไปพบกับห้องโถงโล่งที่มีเพียงเตียงนอนเล็กๆ หนึ่งเตียง วางชิดหน้าต่าง
สาวเท้าเดินเข้าไป ทิ้งตัวลงนอน ปิดเปลือกตา
“ตื่นแล้วหรือ กินข้าวก่อน อรทำมาให้”
“...พี่มาทำไม”
พี่ยิ้มจัดการวางกับข้าวลงบนโต๊ะทานอาหารที่ไม่รู้เอามาจากไหน
“ผมไม่กิน” เขาว่า ลุกออกจากเตียง เดินออกจากบ้าน
เขาไม่ได้รู้สึกหิว ไม่รู้สึกอิ่มไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ กับข้าวที่เขากินเมื่อวานก็ไม่รู้รสเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรความไม่รู้อะไรเลยทำให้เขาไร้สิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจ
มันลอยเตลิดไปไกล
ความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้มีชีวิตทั้งๆที่มีชีวิต
เขาวิ่งไปขึ้นเรือโดยสารที่ดูเหมือนจะมาจอดเทียบท่าในเวลานี้พอดีเข้าไปนั่งในเรือ ที่เดียวกับเมื่อวาน นั่งจ้องทะเลใสและฟ้าครามเหมือนวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน
“อากาศดีเหมือนเดิมเลยเนอะ ว่าไหม”เสียงคุ้นหูดังข้างตัว เขาหันไปเห็นพี่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตากลมเบิกโต
“พี่มาได้ไง”
“ก็ตามเรามา เราเองนั่นแหละ วิ่งไม่สนใจอะไร”
“...”
รอยยิ้มประดับบนใบหน้าหล่อเหลาเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแดดในตอนนี้ ตอนนั้นเองเขาพลันรู้แล้วว่าตัวเองวิ่งหนีจากอะไรเขาหนีพี่ หนีออกมาเพราะรู้ว่ารัก เพราะรู้ผิดชอบชั่วดี พี่กับอรเป็นคู่หมั้นหมายและเขากำลังทำลายมันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ควรมาจบลงเพราะเด็กกะโหลกกะลาอย่างเขา
เขาไม่เหมาะกับพี่
“นึกอะไรออกหรือ”
พี่ว่า ยกมือมาปาดน้ำตาที่เปื้อนหน้าให้เขาคนเด็กกว่าเบือนหน้าหนี
“พี่มีอรแล้ว มายุ่งกับผมทำไม”
พี่ยิ้ม “พี่เคยตอบคำถามเราแล้ว”
“...ตอนไหน?”
“พี่ตอบไปหลายสิบครั้งแล้ว”เขามองอีกฝ่ายที่มีแต่รอยยิ้มประดับ พี่ยกมือซ้ายขึ้นมาใช้มือขวาถอดแหวนที่นิ้วนาง โยนมันออกไปนอกหน้าต่างของเรือโดยสารแหวนสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์วิบวับเพียงครู่เดียวก็ตกคูน้ำไป
“พี่ถอดแหวนนี้ไปหลายสิบรอบแล้วด้วย”
คราวนี้รอยยิ้มของพี่ต่างจากเดิมอบอุ่นเหมือนเดิม ทว่าเจ็บปวดกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรหรอก พี่จะรอจนกว่าเราจะจำได้”
พี่บอก ยกมือลูบหัวเขา อบอุ่นพอๆกับแสงอาทิตย์ของวัน
เขาไม่เข้าใจ เคยบอกไปหลายครั้งแล้วเมื่อตอนไหนแล้วพี่ถอดแหวนเป็นสิบๆ ครั้งได้อย่างไร
พี่ปล่อยให้เขานั่งอยู่ในเรือโดยสารเงียบๆมองผู้คนขึ้นลงจากเรืออย่างไร้ความนึกคิด เหม่อจมอยู่ในความว่างเปล่าก่อนที่ทุกอย่างจะพาเขากลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ พี่กุมมือเขาไว้
สัมผัสอุ่นที่มือทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ดึงเอาความทรงจำทุกอย่างที่เคยมีถาโถมเข้ามาใส่
ดวงตาใสเบิกโพลง เขาจำได้แล้วถึงความจริง
“ผมมาที่นี่เพื่อฆ่าตัวตาย...”
เขาเอ่ย แทบเป็นเสียงกระซิบ
“อืม”
พี่ตอบรับ จ้องมองลงไปในดวงตาเขา
เหมือนรู้ในคำตอบอยู่แล้วแต่หวังอย่างอื่นมากกว่าความทรงจำของเขา
ในวันนั้นเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งผืนดิน สู่ทะเลกว้างพร้อมกับชีวิตนับร้อยมุ่งตรงสู่เกาะแห่งหนึ่ง เขาตั้งใจไปตายที่นั่น ทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันเรือพลิกคว่ำ ทุกคนในเรือไม่มีใครรอดชีวิต
เขาสมปรารถนา แต่ไม่ใช่กับทุกคน
พระเจ้านำพาพวกเขามาที่เกาะแห่งนี้ แทนสรวงสวรรค์ ปล่อยให้วิญญาณเร่ร่อนพักฟื้นความทรงจำของตัวเอง ก่อนออกเดินทางต่อไป
ผู้คนในที่นี้ล้วนไร้ความทรงจำเร่ร่อนไปตามสัญชาตญาน ฟ้าวันเปลี่ยนตามที่ตนเองต้องการ เขาเองก็เช่นกันเร่ร่อนไปมาจนกระทั่งเจอพี่
“พี่เองก็...ตายแล้วเหรอ”
“อืม”
เสียงทุ้มตอบ ลมเย็นพัดโชยมารอบหนึ่งอาบร่างเขาให้สะท้าน ก่อนแสงแดดอุ่นจะส่องสว่าง คลายความหนาว
“พี่กับอรต่างรู้ว่าไม่มีทางแต่งงานกันรอดเลยพากันออกเดินทางมาที่เกาะเดียวกับเรา แต่เจอพายุทำให้เรืออับปางเสียก่อนเลยต้องมาอยู่ที่นี่”
เขาตกใจ พี่เองก็อยู่ที่เรือนั้นเหมือนกับเขา
“อันที่จริง เรื่องนี้ก็เล่าหลายครั้งแล้วนะแต่เราไม่เคยจำได้เลย”
“ทำไมผมถึงจำไม่ได้...”
“พี่ก็ไม่รู้ คงแล้วแต่คน วิญญาณที่นี่หากใครจำเรื่องของตัวเองได้ก็จะจากไป”
“แล้วพี่ล่ะ...พี่จำได้ไม่ใช่เหรอ...”
“พี่รอเราอยู่...”
“...”
ดวงตาสีเข้มของพี่สะท้อนภาพของเขาและท้องฟ้าสดใสข้างหลังดังกระจกเงา เขาเห็นสีหน้าตัวเองที่ราวกับจะร้องไห้
“แล้วอรล่ะ...”
“อรเองก็รอบางอย่าง...”
“แต่พี่กับอร...” เขาไม่เข้าใจยิ่งฟังยิ่งมีคำถาม
“พี่กับอรไม่ได้รักกันแต่แรก อรเป็นเพื่อนสนิทพี่เราต่างเป็นคนสำคัญของกัน พี่กับอรไม่มีทางรักกันแบบคนรักแต่ถูกหมั้นหมายเพราะผู้ใหญ่ แต่พอเรื่องยุ่งเหยิงบานปลาย เราเลยออกเดินทางมาเพื่อหลีกหนีจากเรื่องวุ่นวาย”
“...”
“จนพี่เจอเรา คนที่พี่พร้อมจะละทิ้งทุกอย่างแล้วไปด้วย”
“...”
“อรเองก็รู้ แต่อรบอกจะรอจนกว่าอรจะเจอสิ่งสำคัญยิ่งกว่าพี่ถึงจะยอมออกจากที่นี่”
“แต่ผม...จำไม่ได้”
“เราเหมือนจะจำได้หลายรอบ แล้วก็ลืมทุกครั้ง ไม่เคยจำได้นานเริ่มจากศูนย์ใหม่ตอนไหนก็ได้ จนพี่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เราจะลืมพี่เหมือนทุกทีรึเปล่า”
ทรงจำของเขาวาบเข้ามา ตั้งแต่มาถึงที่นี่ครั้งแรกเขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านโง่ๆ หลังหนึ่ง ไม่รู้วันเวลาผ่านจนกระทั่งพี่เปิดเข้ามาทักทาย เขาตกหลุมรัก อยากรู้จักพี่ อยากเข้าใกล้พี่แต่พอเข้าหากลับรู้ว่าพี่มีคนรักอยู่แล้ว กระนั้นก็ไม่สามารถห้ามใจเขาขอร้องพี่ให้สัมผัส ลับหลังอร...
ความสุขและทุกข์แล่นเข้าทั่วร่าง
เขารู้สึกผิด ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองแม้ว่าพี่จะอธิบายให้ฟังแล้ว ถอดแหวน พร้อมไปกับเขา แต่เขาก็รีเซ็ทความทรงจำตัวเอง เริ่มนับหนึ่งใหม่และพี่ก็เริ่มใหม่ไปพร้อมกับเขา แล้วเขาก็ลืม แหวนวงเดิมกลับมาพี่ไล่ตามเขาอีกครั้งและอีกครั้ง
“ผม...”
เขาเอ่ยอะไรไม่ออก น้ำตาไหลไม่เคยมีใครรักเขาเหมือนพี่ เขาไม่อยากทำให้พี่เสียใจ แต่เขาก็ทำมันตลอดมา
“จะกี่ครั้งพี่ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร พี่รอเราได้”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้ เราไม่เคยรู้จักกันใช่ไหม”
“หมายถึงตอนมีชีวิตล่ะก็ ใช่”
“เรารักกัน...ในร่างนี้ได้เหรอ”
“ร่างไหนก็ได้”
พี่ว่า เรือโดยสารจอดเทียบท่าพี่จูงมือเขาให้ลงจากเรือ ไม่ได้เดินไปฝั่งซ้ายที่เป็นเมือง แต่เป็นฝั่งขวาที่เป็นชายหาดและทะเลใส
พี่พาเขาเดินลงไปในทะเลจนถึงครึ่งแข้งถึงหยุดน้ำทะเลเย็นแต่สัมผัสที่มือเขาอุ่นไออุ่นจากฝ่ามือทำให้เขาไม่รู้สึกสะท้านกับสิ่งใด
พี่ชี้ให้เห็นเรือลำหนึ่งที่กำลังพายออกจากฝั่ง
“นั่นคือคนที่ระลึกความทรงจำได้แล้ว เขาจะออกจากที่นี่ไป”
“ไปไหนเหรอ”
“ที่ไหนก็ได้”
พี่บอก เขาไม่เข้าใจ ที่ไหนก็ได้หมายความว่ายังไง
“พี่ก็ไม่เคยออกไปเหมือนกัน” พี่เฉลยยกยิ้มสู้แสงแดด “แต่คิดว่าเราน่าจะไปไหนก็ได้”
“ผมจะออกไปที่นี่กับพี่”
“พี่รู้ พี่รอเราอยู่”
น้ำตาเขาไหลหยดลงสู่ผืนทะเล ชีวิตก่อนความตายช่างโดดเดี่ยวแต่ชีวิตหลังความตายกลับเจอคนที่ทำให้ใจเขาพองโต สุขสมและโศกเศร้าไปพร้อมกัน
แต่เขาก็ไม่เคยกล้าเชื่อในรัก
“ถ้าผมจำได้ตอนนี้จะช้าไปไหม”
“ไม่มีคำว่าสายไป”
เขาร้องไห้ ทรุดตัวนั่งลงบนผืนทรายขาวน้ำทะเลที่สูงครึ่งแข้งปกคลุมเอวเมื่อเขานั่งลง พี่นั่งลงข้างเขา โอบกอดเขาไว้เสียงนกและใบไม้เสียดสียังคงดังเหมือนเดิม
“พี่รอมานานเท่าไหร่แล้ว”
“พี่ก็ไม่รู้ ที่นี่นับวันไม่ได้แต่เราลืมพี่ไปสิบสามครั้ง”
“ครั้งนี้ผมก็อาจจะลืมอีกใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร ก็แค่เป็นครั้งที่สิบสี่”
“ผมต้องทำยังไงให้ผมจำพี่ได้”
“พี่ก็ไม่รู้...”
อันที่จริงพี่รู้ แต่ไม่บอกเขาเขาจะต้องเป็นคนรู้ด้วยตัวเอง เป็นคนที่เลิกผูกมัดกับอดีต เลิกโทษตัวเองพวกเราในตอนนี้ล้วนเป็นวิญญาณ ไม่มีผิดถูก มีแค่ความรู้สึกนำทางถ้าเขายังรู้สึกผิด ยังตัดอดีตไม่ขาด เขาจะกลับไปเริ่มต้นใหม่
สิบสามครั้ง ไม่เพียงพอให้เขาไม่รู้สึก
เขาลุกขึ้นยืน มองสีหน้าพี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสื้อผ้าที่เคยเปียกแห้งอย่างฉับพลันเดินออกจากทะเล กลับขึ้นสู่ฝั่งเมือง พี่รู้ว่าเขาลืมพี่อีกแล้วครั้งที่แล้วเขาก็ร้องไห้แบบนี้
แล้วก็ลืม
ไม่เป็นไร พี่จะอยู่กับเขาใหม่
จนกว่าเราจะได้ออกไปจากที่เกาะแห่งนี้พร้อมกัน
เสียงเปียโนดังมาจากที่ไกลๆเขาเหม่อมองออกไปยังทะเล มองเส้นขอบฟ้า อากาศวันนี้ดีเหมือนที่ผ่านมา ลมเย็นๆพัดโชยไล้ลูบเขาทั่วร่างกาย
พี่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขา
อรออกจากเกาะไปแล้ว เธอไม่อยู่รอพี่เพราะรู้ว่าพี่จะไม่เป็นไรถ้ามีเขา อรไปตามเส้นทางที่ตัวเองได้เลือกเองพบเจอสิ่งสำคัญ พี่ไม่รั้งเธอ ขอให้เธอเดินทางอย่างปลอดภัย
เขาจำได้อีกครั้งพี่บอกว่าครั้งนี้ครั้งที่หนึ่งร้อยพอดี
เขาร้องไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าพี่คอยกอดปลอบอยู่ข้างๆ คนในเกาะเริ่มน้อยลงแล้วพี่สังเกตว่าทุกอย่างเงียบสงบมากกว่าเดิม แต่ไม่เป็นไร ถ้ายังมีเขา พี่อยู่ได้
“ผมลืมพี่...ถึงร้อยครั้งเลยเหรอ”
“อืม ไม่เยอะเหรอก”
“เยอะสิ” เขาว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นแม้อรจะไปตั้งนานแล้ว แต่แหวนที่ผูกพี่ไว้ยังคงอยู่ เขายังคงคิดว่าตัวเองทำผิดเล่นชู้ลับหลังใครบางคน ไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง ไม่รับฟังคำอธิบายของพี่พลันอดีตหวนระลึก เขาจำได้ ร้องไห้ แล้วก็ลืมทิ้งพี่ให้อยู่คนเดียวถึงครั้งที่ร้อย
“เคยบอกแล้วว่าจะรอ”
“พี่ไม่ต้องรอผมแล้ว”
“ไม่ได้หรอก”
“ผมหมายถึง...พี่ไม่ต้องรออีกแล้ว ผมจำได้แล้วและจะไม่ลืม” เขาบอก ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าอีกฝ่าย สายตามั่นคงจ้องทะลุแววตาของพี่
เขาจำได้ถึงอดีตชาติก่อนตายและเรื่องราวหลังความตาย ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้ เขาใช้ชีวิตวนไปเจอกับพี่ทุกครั้งที่ลืม ตกหลุมรักพี่ทุกครั้งที่เจอก่อนกลับไปเริ่มใหม่เพื่อทำร้ายพี่ซ้ำๆ
คราวนี้ไม่เอาแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเขาจะยอมรับมัน
เพราะไม่ว่ายังไง ก็มีพี่อยู่ตรงนี้
“เราไปจากที่นี่ด้วยกันนะ”
เขาบอก พี่ส่งยิ้มโอบกอดเขาไว้ท่ามกลางสายลมและแสงแดด
เรือน้อยแล่นออกจากเกาะแห่งสวรรค์
END
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in