Title: Jesus Christ 2005 God Bless America
Artist: The 1975
Album: Notes On A Conditional Form (2020)
Jesus Christ 2005 God Bless America (เห้อ เหนื่อย) อีกเพลงจากอัลบั้ม NOACF ได้ปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันแล้วนะคะ โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่ 5 จากทั้งหมด 22 เพลงที่จะได้ฟังกันเต็ม ๆ ทั้งอัลบั้มในวันที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ใช่แล้ว คนละวันกับที่เคยเขียนบอกไปคราวก่อน เพราะว่าเลื่อนอีกหนึ่งหนนะคะ ยังไงก็รอติดตามและสนับสนุนผลงานเพลงของ The 1975 กันด้วยน้า
เพลง Jesus Christ 2005 God Bless America เป็นเพลงที่ค่อนข้างเสียดสีศาสนาและความเชื่อในพระเจ้า (เพราะเป็นที่รู้กันว่าแมตตี้ไม่ได้มีความเชื่อและอินศาสนานะคะ) โดยเนื้อหาในเพลงพูดถึงความรู้สึกรักพระเจ้า (แต่ไม่ได้หมายความแบบที่พูด) มีการประชดประชัน พูดถึงการตกหลุมรักเพศเดียวกันแต่ไม่สามารถแสดงออกได้เนื่องจากความเชื่อที่คอยกดขี่และบีบให้พวกเขาอยู่ในกรอบ แถมยังถูกมองว่าผิดปกติในสังคม โดยในเพลงนี้ได้ Phoebe Bridgers มาร่วมร้องด้วยนะ
LYRICS & TRANSLATION
I'm in love with Jesus Christ
He's so nice
I'm in love, I'll say it twice
I'm in love (I'm in love)
ผมตกหลุมรักพระเจ้า
เขาช่างดีเหลือเกิน
ผมตกหลุมรักเขา ผมจะพูดอีกครั้งนะว่า
ผมรักเขา
"I'm in love, I'll say it twice" การพูดซ้ำสองรอบทำให้ประโยคที่พูดไปไม่ได้หมายความแบบที่ควรจะเป็น แมตตี้เคยพูดถึงในการเขียนเพลงครั้งหนึ่งของตัวเองว่า เคยนั่งฟังเพลงหนึ่งของวง 10cc แล้วได้ยินคำว่า I'm not in love (ฉันไม่ได้ตกหลุมรัก) โดยคำนี้ถูกใช้ซ้ำ ๆ ในบทเพลง แต่กลับกันในเวิร์สสุดท้าย ใจความของเพลงนี้กับเป็นคนร้องที่ตกหลุมรัก นั่นก็หมายความว่าการพูดอะไรซ้ำ ๆ อาจจะไม่ได้หมายความแบบเดียวกันเสมอไป - แต่เป็นการประชดประชันรูปแบบนึงนั่นเอง
I'm in love, but I'm feeling low
For I am just a footprint in the snow
I'm in love with a boy I know
But that's a feeling I can never show
ผมรักเขา แต่ผมรู้สึกไม่ดี
เพราะว่าผมก็แค่รอยเท้าหนึ่งบนหิมะ
ผมตกหลุมรักเด็กชายคนที่ได้รู้จัก
แต่ผมคงไม่มีวันแสดงความรู้สึกนั้นให้ใครรู้ได้
"I'm in love with a boy I know but that's a feeling I can never show" สะท้อนถึงความเชื่อและคำสอนต่อ ๆ กันมาของศาสนาที่คนเพศเดียวกันไม่ควรจะรักกัน ท่อนนี้แสดงให้เห็นว่าคนร้องชอบผู้ชายเหมือนกัน แต่เขาก็คงไม่มีวันจะแสดงออกได้ เพราะสังคมไม่ให้เป็น
Fortunately I believe, lucky me
I'm searching for planes in the sea, that's irony
Soil just needs water to be, and a seed
So if we turn into a tree, can I be the leaves?
โชคดีนะที่ผมเชื่อแบบนั้น โชคดีจัง
ผมมองหาเครื่องบินในทะเล ช่างตลกร้าย
ดินมันแค่ต้องการน้ำและเมล็ดพันธุ์
งั้นถ้าเราเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ผมขอเป็นใบไม้ได้รึเปล่า
"Fortunately I believe, lucky me" แบบเดียวกับเวิร์สแรกที่ใช้วิธีการพูดซ้ำเพื่อเสนอความคิดตรงกันข้าม "โชคดีที่ผมเชื่อแบบนั้น โชคดีจัง" เชื่อในพระเจ้าและศาสนา เขาโชคดีจริง ๆ น่ะหรอ
"I'm searching for planes in the sea, that's irony" ตามหาสิ่งของผิดที่ผิดทาง เหมือนกับเขาที่มองหาสิ่งที่ต้องการจากที่ที่ไม่ใช่ตรงที่มันอยู่ ก็เหมือนอยู่ในสังคมหรือกลุ่ม ๆ นึงที่ไม่ได้ยอมรับตัวตนของเขาหรือมีสิ่งที่เขาต้องการอยู่ที่นั่น
"Soil just needs water to be, and a seed so if we turn into a tree, can I be the leaves?" อาจจะเปรียบเทียบกับชีวิตเราสักทางที่ต้องเติบโตไปเป็นแบบที่คนคิดว่าควรจะเป็นแต่เราอยากเป็นอีกอย่างนึง (+พอมาถึงตรงนี้ก็อยากยกท่อนนี้ลงมาอวยด้วยเลย มีความ poetic และสวยงามมากแต่ฟังดูแล้วสลดไปพร้อม ๆ กัน)
I'm in love with the girl next door
Her name's Claire
Nice when she comes 'round to call
Then masturbate the second she's not there
ฉันก็ตกหลุมรักผู้หญิงห้องข้าง ๆ
เธอชื่อว่าแคลร์
ฉันทำตัวปกติเวลาที่เธอมาหา
แล้วช่วยตัวเองหลังจากที่เธอกลับไป
"I'm in love with the girl next door" มาถึงท่อนของ Phoebe บ้าง ท่อนนี้ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งฝั่งผู้หญิงในสถานการณ์แบบเดียวกันกับแมตตี้ที่ไปตกหลุมรักคนเพศเดียวกันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ทำตัวเป็นเพื่อนปกติแบบที่ควรจะเป็นแต่ลับหลังแอบช่วยตัวเองอะไรอย่างนั้น
Fortunately I believe, lucky me
I'm searching for planes in the sea, that's irony
Soil just needs water to be, and a seed
So if we turn into a tree, can I be the leaves?
โชคดีจริงที่ผมเชื่อแบบนั้น โชคดีจัง
ผมมองหาเครื่องบินในมหาสมุทร ช่างตลกร้าย
ดินต้องการน้ำและเมล็ดพันธ์ุ
หากเราโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ผมขอเป็นไบมันได้รึเปล่า
ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ ส่วนตัวชอบ 1975 ด้วย