เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Me Through The WorldLa Pipe
กริฟฟอนในเวียดนาม ... Griffon in Vietnam
  •      ฮายยยยยย ! หายไปนานเลยยยย ซึ่งคราวนี้เราไม่ได้ไปคนเดียยวแหละ แต่ว่ามี "เพื่อนผู้ร่วมเดินทางไปกับเราอีกคน" 5555555 ซึ่งเอาจริงๆนะ ไม่ว่าจะไปกี่ทริปต่อกี่ทริป ก็ไปคนเดียวตลอดๆ แต่ทริปนี่น่าจะเป็นทริปต่างประเทศที่ส่งท้ายวัยเรียนสุดท้ายแล้วแหละ อ่ะๆ ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องราวทริปเวียดนาม 4 วัน 3 คืนของ backpacker อย่างผม กับ hipster อย่างเพื่อนผม ไปกันเล้ยยยย

          เคยได้ยินเรื่องของ "ผู้นำทั้งสี่แบบ" มั้ยครับ ? ทั้งสิงโตผู้เป็นคนลงมือทำ เหยี่ยวผู้มองการไกล หมีผู้รอบคอบ และหนูผู้อ่อนโยน ผู้นำในแต่ละแบบก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าหากสัตว์ผสมทั้งสองอย่าง สิงโตและเหยี่ยวมารวมกัน มันก็คือสัตว์ในตำนานอย่างกริฟฟอนเนี่ยแหละครับ มันจึงเป็นที่มาของทริปกริฟฟอนในเวียดนาม 

          ขอแนะนำก่อนว่าเพื่อนของผมคนนี้เรารู้จักกันตั้งแต่ปี 1 แล้วแหละ เรารู้จักกันจากการทำค่ายด้วยกันและก็ทำกิจกรรมในคณะมาด้วยกันตลอดๆ แต่ก็ยังงๆ และตอนนี้ก็ยังงๆอยู่กับการได้ไปเที่ยวเวียดนามด้วยกัน ซึ่งก่อนไปทริปนี้ เพื่อนของผมเพิ่งจะมอไซค์ล้มมาแล้วเพื่อนก็บอกว่า "มึง กุเป็นตัวซวยนะ ระวังไว้ดีๆล่ะไปกับกุมีเรื่องพีคๆแน่"

         เริ่มแรกพอเปิด newfeed ใน facebook ก็เห็นว่าเอ้อออ อยู่ๆก็มีคนแท็กตั๋วมาให้ เอ้อๆ ตั๋วถูกดี และก็อ่ะ มีเพื่อนไป พอเช็คเวลาก็เห็นว่าช่วงกุมภาฯก็ว่างนิ เอองั้นไปดีกว่า....ล่ะนั่นล่ะครับ คือจุดเริ่มต้นของทริปนี้

    21-24/02/17 VIETNAM (Hochimin-Da Lat-Muine) 


    Day 1 โอ้โห โฮจิมินท์


               ขณะนี้เวลา 5.00 ผมไลน์ไปหาเพื่อนว่า "กูตื่นแล้วนะ" ผ่านไปไม่ถึงนาที "เออกูก็ตื่นแล้ว" ผมได้รับข้อความตอบกลับจากเพื่อนภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งต่อมาผมก็อาบน้ำแต่งตัวเก็บขงเก็บของ จัดกระเป็นเพียงเป้ใบเดียวก็พอแล้ว ... ก็นั่นแหละครับสไตล์ผมเอง พอสักพักผมเดินออกจากหอพักของผมในเวลาประมานตีห้าครึ่งเพื่อเดินไปยังหอเพื่อนและเราจะนั่งแท็กวี่ไปด้วยกัน เพื่อที่จะไปให้ทันเครื่อง
          "มึงๆ เมื่อคืนนอนกี่โมง" เพื่อนถามผม
          "กุรีบนอนอ่ะ ประมานตีหนึ่งครึ่งอ่ะ" ผมตอบไป
          "เห้ย ก็ไม่เร็วนิ กูนึกว่ามึงจะนอน 4 ทุ่มเลยตอนที่บอกกุไปแบบนั้น"
          "ล่ะมึงนอนกี่โมงวะ" ผมถามเพื่อนกลับ
          "......กุยังไม่ได้นอนเลยว่ะ"
    เด่วๆๆ อะไรของมึงนี่ไปไฟลท์เช้านะว้อยยย ทำไมไม่นอนวะ 555555 เพื่อนผมให้คำตอบว่า ก็กุจัดของนั่นี่นู่น กุต้องอบผ้า รอเอาผ้า และหูฟังไอโฟนกุก้ปั่นไปในนั้นด้วย กุก้เลยuwpepiwhgiulregirehg;ih นั่นเลยทำให้กุไม่ได้นอน
    โหยยยย นี่ยังไม่เริ่มเดินทางเลยนะ มึงก็อินดี้ล่ะหรออ 5555555

            โอเคๆ ตอนนี้เราถึงสนามบินดอนเมืองแล้วแหละ แล้วเรากำลังหาที่เชคอินอยู่ เดินๆไป สักพัก เห้ยทำไมเคาน์เตอร์สายการบินมันไม่มีคนวะ นี่มันยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนเชคอินเลยนะ ผมกับเพื่อนก็เดินๆๆ ซึ่งเดินแล้วเดินอีกก็แบบ   เห้ยทำไมมันไม่มีคนเลยวะ พอสักพักผมก็เห็นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่เพิ่งเงยหัวขึ้นมาจากหลังเคนน์เตอร์ขึ้นมา อ่ะได้เชคอินล่ะ พอหลังจากนั้นที่เราได้เช็คอินกันเรียบร้อยแล้วพวกเราเลยตัดสินใจว่างั้นเข้าเกทกันเลยดีกว่า ซึ่งช่วงเช้าๆของสนามบินดอนเมืองนั้น วุ่นวายเกิ้นนนนน ซึ่งปกติเราก็ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลยนะ อย่างกับหมอชิตบินได้ 55555555 
            พอผ่านด่านนั่นี่นู่นมาเรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะเขึ้นเครื่องที่เกทล่ะ เราก็คุยกันเรื่องก่อนออกเดินทางทั้งเร่ื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องนั่นี่นู่น พอเราโดนเรียกให้ขึ้นเครื่องผมก็บอกกับเพื่อนว่า "พร้อมมั้ยมึง" เพื่อนตอบกลับมาว่า "ไปกันเหอะ"

             ระหว่างทางบนเครื่องบินเพื่อนผมมันหลับตลอดทางเลย และจะบอกเลยว่าพลาดมาๆ เพราะตอนที่เครื่องถึงโฮจิมินท์นั้น วิวสวยมากกกกกก ถ้าเกิดใครไปล่ะก้ห้ามพลาดในการนั่งริมหน้าต่างเด็ดขาดเลยนะ แต่เราเสียดายเพราะเรานั่งตั๋วแบบประหยัดก้เลยไม่ได้นั่งข้างหน้าต่างแหนะ แต่ก้แอบมองจากหน้าต่างข้างๆอีกทีนึง

            พอถึงตม.และหำลังจะออกจากเกทไป เราก็ทำการซื้อซิมโทรศัพท์ไว้ก่อนเลย เป็นแบบ 3 g และก็โทรออกไม่ได้ด้วย 555555 และเหมือนเดิมครับผมกำลังจะทำการไปแลกเงินที่สนามบิน แต่ ! เพื่อนผมก็บอกว่า
    "มึงๆ ไม่ต้องแลกเงินเยอะ แลกไปสักพันนึงก่อนเด่วค่อยไปแลกเงินที่อื่น กุหาแหล่งมา" เห้ยยย เพื่อนผมทำการบ้านมาดีมากๆครับ กับการหาที่แลกเงิน ซื้อซิม ในใจก้แบบเอาวะงานนี้มีเพื่อนก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย หลังจากเราออกมาจากสนามบินแล้วเนี่ยเราจะเห็นว่ามีคนมารอรับที่สนามบินเต็มไปหมดเลย แต่ๆ ไม่ได้มารอรับเรานะ มารอลูกทัวร์อื่น 555555 แต่ก็แบบฟิลมันเหมือนดาราอ่ะมีคนมารอรับ 5555

            ต่อมาเราก็นั่งรถเมลล์สาย 152 ไปลงที่ฟามงูเหลาเพื่อที่จะต่อรถและซื้อตั๋วไปดาลัทสำหรับคืนนี้ครับ ซึ่งหากเราขึ้นรถเมลล์แล้วมีกกระเป๋าเราก็ต้องจ่ายค่ากระเป็นเพิ่มขึ้นด้วย 55555 โหยยย มีงี้ด้วยเว้ยย สักพักผมกับเพื่อนก็ช่วยกันเปิด google map ในการหาว่าเออที่จะลงอยู่ตรงไหน แต่สักพักเห้ย ทำไมมันมีแต่ภาษาเวียดนามวะ และทำไมไม่มีภาษาอังกฤษเลย เราก็เลยถามกระเป๋ารถเมลล์ซึ่ง....ลุกระเป๋ารถเมลล์ก็พูดอังกฤษไม่ได้จ้าาา โว้ยยยยอะไรวะเนี่ย ล่ะจะรู้ได้ไงว่ามันลงตรงไหน ตรงไหนคือฟามงูเหลา เราก็เลยตัดสินใจถามคนเวียดนามข้างหน้าเราเป็นภาษาอังกฤษครับ ว่าจะลงฟามงูเหลาต้องลงตรงไหน หรือจะบอกกระเป็ารถเมลล์ยังไง ซึ่งพี่เวียดนามคนนี้เราขอตั้งชื่อเขาว่า "พี่นาว" ล่ะกัน 55555 คือเอาจริงไอชื่อเนี่ยะเพื่อนผมบอกว่าเขาน่าจะชื่อประมานนี้หลังจากที่เขาแนะนำตัวและรู้ว่าเราเป็นคนไทย และความประทับใจที่สุดคือพี่นาวเขาอาสาจะพาเราไปส่งที่ท่ารถฟูต้าตรงฟามงูเหลาครับ ซึ่งเป็นความประทับใจอย่างแรกที่มีต่อเวียดนามเลย คือพี่เขาจะต้องลงป้ายก่อนเราแต่เขามาลงพร้อมเราและพาเรามาส่งด้วยอ่ะ ดีใจๆ และเขาเห็นกระเป๋าเพื่อนผมที่ลากพื้นมา กับกระเป็าเป้ใบใหญ่ๆของผม เขาเลยบอกว่าเราไม่ได้น่าจะเดินไปเที่ยวต่อได้ เขาก็เลย่วยคุยกับร้านข้างๆขอฝากกระเป๋าได้ไหมไหม สรุปคือก็เสียค่าฝากกันไป แต่ว่าก็ดีครับหลังจากนี้เราจะได้เที่ยวกันอย่างเต็มที่ซะที


            เมื่อพวกเราฝากกระเป็าเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปแลกเงินกันครับ ซึ่งหากเรามาแลกเงินที่นี่เราก็จะได้เรทราคาที่ดีกว่าฮะ


             พอเราแลกเงินกันเสรจแล้ว พอเราแลกเงินก็ได้เวลาไปเที่ยวกันจริงจังแล้ว ก่อนออกมาจากที่ฝากกระเป๋าเราก็ได้ขอแผนที่จากที่ๆฝากกระเป๋าไว้แล้ว จากนั้นเราก็ได้ไปเที่ยวกัน ซึ่งที่ๆแรกที่เราไปก็คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะครับ ซึ่งเรื่องก่อนจะไปพิพิธภัณฑ์เนี่ย ก็จะเดินไปถูกแมะ ซึ่งเรื่องแรกคือการขับรถของคนเวียดนาม อิผี 55555 คือประเทศนี้แม่งไม่มีไฟแดงเว้ยย คือแบบจริงๆก็มีแต่มีน้อย และที่สำคัญคือที่โฮจิมินท์รถเยอะมากกกกก และก้มากโคตรยิ่งมอไซค์ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ ซึ่งที่นี่จะขับรถหวาดเสียวมาก ไม่รู้ไปเก็บกดมาจากไหน 55555 และอีกอย่างนึงคือตอนที่เราเดินไปถามทางว่าเออจะไปพิพิธภัณฑ์เนี่ยจะไปยังไง แล้วลุงคนนั้นก็บอกว่าเด่วไปส่ง คิดราคา 5 หมื่นดอง ซึ่งเป็นเงินไทย 75 บาท เราก้แบบไม่ๆ เราแค่อยากเดินไปชิวๆกัน เขาก็ชชี้ว่าอยู่ตรงหน้านี่แหละ 555555 โว้ยยยลุง จะบ้าหรอเดินไปแค่ 300 เมตรเองนี่คิด 75 เลยเรอะ เกินไปๆๆ 5555555




           และที่เที่ยวของเราในที่แรกก็มาถึงแล้ววว การเที่ยวในนี้เนี่ยก็เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แต่ๆ .... แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณกำลังคิดว่ามันเป็นมิวเซียมไฟน์อาร์ทที่แบบ เห้ยเก๋ ชิคเวอร์ ..... คุณคิดผิด 555555 เออออคือแบบเอาจริงๆแหละมันก็มีช่วงที่แบบเห้ยห้องนี้มันดีมันใช่ แต่บางห้องยี่ก็แบบ อ่าวแบบนี้ก็ได้หรอ แบบนี้กุก็วาดเล่นที่บ้านล่ะเอามาตั้งแขวนก็ได้นะ 55555555 แต่เอาจริงๆเราก็เที่ยวกันเพลินเลยนะ เรากับเพื่อนคือถ่ายรูปกันประมานสักสองร้อยรูปเหนจะได้ 5555 











    และพอเรราเที่ยวกันจดหนำใจแล้ว เราก็ออกมาแล้วก็มีป่้าเวียดนามคนนึงเดินออกมาแล้วบอกเราสองคนว่า
    "ยูสองคนยังไม่ได้จ่ายค่าตั๋วเลยนะ ต้องจ่ายก่อนคนล่ะหมื่นดอง" ไอเราสองคนก็งงแบบ เห้ยย อะไรวะนี่กะว่าจะออกมาเดินซื้อน้ำกิน ก็ตอนเข้าไปไม่เห็นมีใครเก็บหรือเรียกตรวจตั๋วเลยนะ มั่วป่ะเนี่ย เพื่อนผมเลยบอกว่า 'เห้ย ไม่ต้องไปจ่ายหรอก เด่วโดนโกง แต่เพื่อการตัดปัญหากับป้าจอมตื้อคนนั้น เราก้เลยจ่ายไปครับ และก็เดินไปเที่ยวกันอีกตึกนึง แล้วก็มานั่งคิดๆกันว่า เห้ยที่จ่ายค่าเข้าไปเนี่ยมันแค่คนล่ะ 15 บาทเองนี่หว่า 55555555 บ่นกันทำไมวะ 5555555555555
          



          จากนั้นเราก็นั่งแท็กซี่กันต่อครับ เราไปกันที่โรงละครโอเปร่ากัน ซึ่งที่นี่เราไม่ได้เข้าไปดูนะ เราแค่เข้าไปถ่ายรูปกันเฉยๆ 55555 ไอแท็กซี่เนี่ยะ ก็พีคไปอี้กกก ทีแรกก่อนเราจะขึ้นเราก็บอกเขาว่า เอ้อเดี๋ยวไปโรงละครโอเปร่านะครับ พอเรานั่งลงและปิดประตูปั้ป พี่แกก้บอกประมานว่า'ลงไปก่อนก่อนๆ 55555 เราก้แบบอะไรนะให้ลงไปหรอ หรือยังไง พอเราลงปุ๊ปเขาก็เรียกกลับขึ้นมาปั๊ป หืมมม คือไร งงในงงไปอีก พอสักพักเราก็แบบโอเค ไปโรงโอเปร่านะครับ อิพี่แท็กซี่ก็เปิดจีพีเอสเพราะดูเหมือนจะไม่รุ้ทาง แต่ไม่เปนไรนี่ เรามี google map เพื่อนผมก็เปิดเลยครับ และเพื่อนผมก็บอกว่าเออๆเขาพามาถูกนะ แต่.....สักพัก มึงๆ เขาพาเราอ้อมอ่ะ แต่สงสัยคงหนีรถติดมั้งนะ ....... มึงๆเขาพาเราไปไกลแล้วอ่ะ
    เห้ยยย นี่พาไปไหนเนี่ย 55555 แต่ที่แย่กว่านี้คือแบบเห้ยย เขาพูดอังกฤษไม่ได้เลยนี่ดิ บ้าบอ แล้วจะสื่อสารกันยังไง เราก็ฟังเขาไม่ออก จนเราต้องบอกว่า 'โอเคๆ สต้อปเฮีย วีวิลโกดาว โอเค๊ ฮาวมัช ? โอยยยยยยย คือไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยย



          แต่เอาจริงๆเราก็มาเดินเล่นกันในช่วงเย็น ถ้าเป็นที่ๆไม่มีรถวิ่งนะ เราว่าโฮจิมินท์ก็เป็นที่ๆนึงที่แบบ เห้ยก็น่าไปเดินเล่นมากๆเลยนะ แสงสวย ตึกสวย สีสวยดี ถ่ายรูปแบบฮิปสเตอร์สไตล์ที่เพื่อนผมก็ทำได้เลยนะเนี่ย










          พอตกเยนเราก็ไปกินข้าวกันครับ เหมือนๆกับว่าร้านเนี่ยะ จะเป็นร้านอาหารชื่อดังในโฮจิมินท์เลยแหละ เพราะเราก็ตามๆรีวิวมา สำหรับมื้อนี้เราก็ตามรอยคนไทยมากิน ส่วนอาหารเวียดนาม เราคิดว่ามันจืดไปนะ คือแม่งจือทุกอย่างอ่ะ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเราสั่งแซลม่อนากินเว้ย แล้วก็มีวาซาบิแบบจืดๆอ่ะ เห้ยยไอบ้า วาซาบิแบบจืดๆแม่งก็ทำได้เว้ย มึงปลอมป่ะเนี่ย 555555555555

        นี่อ่านๆมาก็เห็นเรื่องพีคในหลายๆตอนล่ะช่ะ ซึ่งเรื่องพีคอีกก้คือว่าสักประมานทุ่มสองทุ่มเราก็ได้เดินเล่นฆ่าเวลากันและเพื่อนผมจะไปซื้อชุดที่กะว่าจะเอาไปใส่ในทะเลทรายที่มุยเน่ด้วยครับ แบบชิคๆ เก๋ๆ เราก้ไปเดินตลาดนัดที่โฮจิมินท์ซึ่งเขาบอกว่า 'ต่อได้ให้ต่อไปเลยครึ่งนึง  อ่ะเพื่อนผมก็จัดเลยครับ
    "กางเกงขาวนี่ราคาเท่าไรหรอ" เพื่อนผมถาม
    "แสนดอง"แม่ค้าตอบแบบหน้ากวนๆ แบบหน้าตาไม่อยากขายอ่ะ
    "ห้าหมื่นได้มั้ย"
    "ไม่ มากสุดแปดหมื่น" นางตอบ
    "ละมีกางเกงแบบที่เป็นขาจัมพ์มั้ยคะ" เพื่อนผมถามต่อ
    "ไม่มี !" อันนี้ตอบมาเป็นภาษาไทยเลย อินเนอร์แรงมาก จนเพื่อนผมฟิวส์ขาดแล้วก็ตอบไปว่า
    "What's wrong with you I don't understand" ล่ะเพื่อนผมก็เดินหนีไปเลย 55555555555
    ดูๆ แม่ค้าเวียดนามนี่เหวี่ยงสมคำร่ำรือจริงๆ แต่ในขณะที่เพื่อนผมกำลังต่อปากต่อคำกับแม่ค้าอยู่นั้น มีพ่อค้าที่ขายรองเท้าตีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่เป็นผู้หญิงด้วย น่ากลัว 5555 คือไม่แน่ใจว่าทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่ที่แน่ๆได้ยินนักท่องเที่ยวผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า "Who are you ! Why do you hit me !  You don't even know me" พอเห็นท่าไม่ดีกลัวโดนลูกหลงเราก็เลยหนีอออกมาดีกว่าฮะ 55555

         หลังจากการเดินเที่ยวในหลายๆที่ในโฮจิมินท์และถ่ายรูปกันอย่างหนำใจแล้ว เราก็ตัดสินใจว่าเด่วเราไปนั่งในห้องแอร์ร้านกาแฟเย็นๆดีกว่า และเราก็ต้องกลับไปให้ถึงท่ารถเพื่อที่จะเอากระเป๋าและก็เตรียมตัวขึ้นรถไป เราก็เลยตกลงกกันว่าเออเด๋วสักสามทุ่มยี่สิบค่อยเดินไปล่ะกันเพราะมันก็ไม่ไกลกับที่ๆเราฝากกระเป๋าไว้เท่าไรนี่นาอ่ะก็เดินๆเที่ยวเล่น เเละดูแสงสีในโฮจิมินท์ก่อนไปเรื่อยๆ ซึ่งปกติแล้วเนี่ยเพื่อนผมจะถือแผนที่แล้วเดินนำตลอด ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเพื่อนผมมันเป็นคนดูแผนที่เก่งมากๆเลย ผาไปไหนมาไหนตลอดทั้งวันและก็ไม่เคยหลงด้วย 5555 แต่ผมก็บอกเพื่อนว่า 'เห้ย เด่วรอบนี้กุพามึงเดินเองนะ เนี่ยๆเด่วเดินตรงไปเลี้ยวซ้ายก็ถึงและ สักพัก......
    "เนี่ยเด่วเลี้ยวซ้ายก็ถึงล่ะเว้ย" ผมบอกเพื่อนด้วยความมั่นใจ
    "เห้ยย มึง นั่นโบสถ์นี่" เพื่อนผมตอบ
    ชิบหายและะะ มาผิดทางสรุปนี่ผมพาเพื่อนมาหลงกว่าเดิม 555555 และสุด้ทายเพื่อนผมเป็นคนที่พาผมมาเองครับ


        พอหลังจากที่เราเดินกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยผมกับเพื่อนจึงรีบเข้าไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วเราก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟันกันทั้งคู่เลยครับ....ดูเหมือนมันจะง่ายเนอะ แต่เหมือนกับที่เพื่อนผมบอกไว้เลยครับ ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เพื่อนผมบอกเลย เพราะพวกเราซื้อตั๋วรถนอนไปยังเมืองดาลัทและจองเวลาไว้สี่ทุ่มครับด้วยเพราะเรากะจะถึงดาลัทตอนตีสี่เพื่อที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมทะเลสาบครับ และในใบจองตั๋วรถเนี่ยบอกเราว่าให้มาก่อนสิบห้านาทีก็ประมาณสามทุ่มสี่สิบห้า แต่ๆๆ ขณะนี้เวลา สี่ทุ่มห้านาที !!!!!! บ้าเเล้วเราเลยรีบไปที่รถเลยครับ ดีนะเขาบอกว่ายังทันๆ 555555 คือรถก็เกือบจะหนีพวกเราไปแล้วนะครับ

       พอขึ้นรถนอนเนี่ย มันก็เป็นรถนอนจริงจังเลย มก็เลยไลน์บอกที่บ้านและก็บอกเพื่อนๆที่ไทยว่าเออเราจะไปดาลัทแล้วนะ เด่วจะนอนแล้วไม่ต้องห่วง


     
        
  • Day 2 Da Lat เมืองในหุบเขาที่หนาวเย็น

         จะบอกว่าเมื่อคืนเนี่ย ผมไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหอะ เอาง่ายๆ เพราะเอาจริงๆเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้วหากอยู่ต่างที่และยิ่งนอนบนรถที่เวียดนามด้วยการที่ขับแบบ แว๊นๆๆๆๆๆๆ ปี๊นๆๆๆ ตลอดทางแบบนี้ก็คือนอนไม่หลับแน่ๆ คือมันก็มีหลับๆเป็นบางช่วงอ่ะ แต่ก็สุดท้ายก็นอนไม่หลับอยู่ดี สุดท้ายคือเรามารู้ตัวอีกทีคือตอนประมานตีสามสี่สิบห้าเพราะคนในรถเขาปลุกทุกคนเลย และพอถึงท่ารถดาลัทปึ๊ป....ไอคนไทยที่อยู่ข้างหน้าแบบเป็นเพื่อนคณะเดียวกัน มหาลัยเดียวกันมาเที่ยวกับเราและเจอกันโดยบังเอิญ 55555555 และที่สำคัญคือเป็นคนที่อยู่ข้างๆห้องเพื่อนเราเอง ตลกอ่ะ โลกมันจะกลมไปไหนวะ เขาพูดเสียงดังออกมาว่า 'โหย คนในสถานนีนี่ใส่เสื้อโค้ทเลยหรอวะ มันหนาวขนาดไหนวะ พอผมลงรถเท่านั้นแหละ โหยยยย แม่งหนาวจริงๆเหอะ หนาวแบบหนาวอ่ะ พอเปิดมือถือดู 17 องศา บ้าไปแล้ววววว ตอนอยู่โฮจิมินท์นี่ยัง 32 อยู่เลยเหอะ ผมรอบคอบดีที่เอาเสื้อแจ๊คเก็ทยีนส์ติดตัวตลอดเวลาทั้งร้อนทั้งหนาวก็กันได้หมด ส่วนเพื่อนผมนี่ใส่เสื้อแขนกุดเลยครับ ดีที่ผมเอาผ้าพันคอมาเผื่อเลยเอาให้เพื่อนยืมก่อน 5555555555     เราทั้งคู่ตกลงกันว่าโอเค เด๋วเรานั่งแท้กซี่ไปถึงที่ทะเลสาบล่ะกันนะพื่อที่จะรอดูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นพอแท็กซี่ไปส่งเราที่ริมทะเลสาบ พวกเราก็เริ่มจะมีความหวัว่าไอที่อ่านรีวิวมาเนี่ยน่าจะทำให้เราดูพระอาทิตย์ขึ้นได้นะ แต่จริงๆแล้ว มันไม่เป็นแบบนั้นไง 555555 ความจริงแล้วคือพวกเราก็ทำได้แค่นั่งรอริมทะเลสาบมืดๆ หนาวๆ และไม่มีมนุษย์อะไรที่ไหนเลยนอกจากเราสองคนที่นั่งโง่ๆอยู่ที่ริมทะเลสาบ 555555 "มึง ไม่เห็นมีพระอาทิตย์ขึ้นตามที่บอกเลยหว่ะ" เพื่อนผมพูดขึ้น"แปปนะ เด๋วกุเช็คแปปนึง" ผมเลยเปิดกูเกิลดูว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นที่ดาลัทกี่โมง "มึงวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นหกโมงว่ะ""ล่ะตอนนี้กี่โมง""ตีสี่ยี่สิบ"เท่านั้นแหละเพื่อนผมส่งเสียงโฮแบบผิดหวังรวมทั้งหมด้วย 555555 ก็ใครมันจะไปรู้ว่าหน้าหนาวเนี่ยดาลัทพระอาทิตย์จะขึ้นช้า ขึ้นประมาณหกโมง ถถถถถถถถถ วงวารตัวเองกับเพื่อน ดังนั้นพวกเราจึงเดินๆย่ำต้อกไปที่โรงแรมเลยครับ 

                                        เรื่องพีคยังไม่หมดแค่นั้นครับ เมื่อเราไปถึงโรงแรมและต้องการเช็คอินนั้น พนักงานบอกเราว่า"คุณจะเชคอินได้ต่อเมื่อตีห้าครับ" เอ่า อิผีแล้วทีนี้เอายังไงเนี่ยแล้วที่เดินมาหนาวๆคือต้องการจะนอนป่ะวะ บ้าบอเหอะ 555555555 สุดท้ายแล้วเรายอมจ่ายเงินเพิ่มอีกคนล่ะร้อยเพื่อที่จะได้ห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเที่ยวครับ

           พูดถึงเมืองดาลัทแล้ว ฉายาของเมืองนี้คือ "ปารีสตะวันออกครับ" ผมคิดว่าถ้าคุณกำลังที่จะหาคาเฟ่สวยๆ อากาศชิวๆตลอดทั้งวัน สตรีทอาร์ทน่ารักๆเพื่อที่จะถ่ายรูปได้เนี่ย ดาลัทคือคำตตอบเลยครับเพราะอุณหภูมิที่ดาลัทมีอุณหภูมิเฉลี่ย 17 องศาต่อปีแหนะ 555555 ดีจังเลย แอบบอิจฉาชาวดาลัทเบาๆนะครับ
           หลังจากนั้นเราได้ทำการเช่ารถมอไซค์จากโรงแรมแล้วก็ซื้อตั๋วรถจากดาลัทไปมุยเน่เลยทีเดียวซึ่งราคานี่ก็ไม่ได้แพงเลยนะเนี่ย ก็อ่ะๆสะดวกดีจัดไป แล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวกันแล้วซึ่งภารกิจในวันนี้ที่เที่ยวของเราก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปเก็บให้ครบทุกๆที่ ที่ๆน่าสนใจนั่นเองครับ
    ที่แรกเริ่มกันที่โบสถ์สีชมพูในดาลัทกันเลย ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรแต่มันสวยแล้วมันชิลดีๆครับ 
    แล้วเราก็ขับมอไซค์กันมาต่อกัน....อ้อลืมบอก ทริปในดาลัทนี้ผมเป็นคนขับมอไซค์ในดาลัทและเพื่อนเป็นคนซ้อนและก็ช่วยบอกทางดูแผนที่







    ต่อมาเราก็ขับรถมอไซค์ไปต่อกันที่ Crazy House คืออันี้ได้ข่าวว่ามันขึ้นชื่อแบบมากๆว่า เห้ยบ้านทรงสวยๆประหลาดๆต้องมาถ่ายรูปนะ แต่ที่ผมกับเพื่อนเจอล่ะคือแบบ 'กูต้องถ่ายอะไรหรอ 5555555 คือคนมันเยอะและก็ทางมันวนเวียนแปลก ไอสวยก็สวยแต่มันเล็กแคบๆ รวมถึงก็คนที่มาเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเเล้วก็เดินสวยกัน ทางดินขึ้นเดินลงมันรกๆอ่ะ คือไร 5555555555









    เรื่องพีคประจำที่นี่ก็คือว่า การเดินใน crazy house มันก็วนๆเวียนๆใช่ไหม แล้วก็มีกรุ้ปอาม่าเดินตามเรามากับฝรั่งส่วนนึงที่เดินตามเรามา เราก็เดินไปเดินมาๆ ขึ้นๆลงๆ และเพื่อนผมบอกว่าเห้ยๆ ลองไปดูข้างล่างกันไหม และผมก็อ่ๆไปดูก้ได้ ข้างมันคือพื้นที่ๆยังก่อสร้างยังไม่เสร็จเลย มันแบบมีฝุ่นมืดๆ น่ากลัวๆ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าโอเคงั้นเดินกลับกัน สุดท้ายคือ...ทางกลับทางไหนอ่ะ หลงไง !! หลงไปอี้กกก และที่สำคัญคือเราทำไอกรุ้ปฝรั่งกับอาม่าหลงตามกันเลลยจ้าาา หาทางกันให้วุ่นสุดท้ายก็กลับออกมาได้ 5555555555

        จากนั้นเราขับรถออกมาไกลมากขึ้นคือเข้ามาในตัวเมืองดาลัทและก็ค่อยๆไปไกลไปอีกนิดนึง แต่ผมยอมรับว่าชอบที่นี่มากที่นึงเหมือนกัน...และเพื่อนผมก็เช่นกันคือ "สถานีรถไฟดาลัทครับ" คือที่นี่มันเป็นตึกสวยๆสีเหลือง ให้อารมณ์วินเทจอเลยทีเดียว และที่สำคัญการถ่ายรูปกับรถไฟนี่เวิคสุดๆ และที่สำคัญเราใช้เวลากับการนั่งฟังเพลงชิวๆในคาเฟ่รถไฟเก่าๆที่นี่จนถึงเวลาสิบเอ็ดโมง คืออารมณ์มันชิวแบบชิวมากๆ แดดอ่อน วิวต้นสนทอดไปไกลตา เพลงช้าเพราะๆ รึเป็นเพราะเพื่อนกับผมชอบฟังเพลงเเนวเดียวด้วยมั้งครับ 



       พอจบจากตรงนั้นเราก็ขับมอไซค์กันไปไกลมากขึ้น และไปสถานที่ที่ดูมาแล้วว่าต้องไปนั่นคือ "วัดตั๊กลัมครับ" คืออารมณ์ประมานว่าเป็นวัดจีนไรงี้ ก็มักท่องเที่ยวอยู่เยอะเหมือนกันนะ แต่ไฮไลท์ที่เราต้องการจะมาเนี่ยไม่ใช่วัดหรอกครับ มันคือการได้นั่งกระเช้าดูทั้งเมืองดาลัทต่างหาก ขอบอกเลยว่า'มันสวยเหมือนอยู่ยุโรปเลยจริงๆ วิวแม่น้ำ เทือกเขาและต้นสนนี่สุดๆไปเลยแหละ 





        แต่จริงๆแล้วที่ดีไปกว่าการได้มาดูวิวกับเพื่อน คือการได้นั่งคุยเรื่องทีีไม่ค่อยจะคุยกับเพื่อนต่างหาก เช่นเรื่องอนาคต หรืออะไรบางอย่างที่มันตกตะกอนความคิดกัน ผมและเพื่อนก็ต่างโตมาในครอบครัวที่เป็นนักกฎหมายเหมือนกัน พ่อกับแม่ของพวกเราเป็นทนายเหมือนกันครับ และเราก็คุยถึงว่าเรียนจบจะทำงานต่อ หรือว่าจะเรียนเนติต่อดี ทำไรกันดี เผื่อจะได้มุมมองดีๆในชีวิตแลกกันบ้าง ซึ่งผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีไปอีกแบบนะ นานๆจะเจอเพื่อนที่มีอะไรเหมือนกันอะไรแบบนี้ ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่าทำไมถึงเข้าคณะนี้แล้วเพื่อนก็เช่นกัน สรุปแล้วการเลือกจะเรียนอะไรสักอย่างสำหรับพวกเราเช่นการเรียนกฎหมายนั้นดูเหมือนที่บ้านจะมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน


      จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่น้ำตกครับ ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากวัดเลย พอทีนี้เราก็ขับมอไซค์เข้าไปเล้ยย จนยามเป่า ปี๊ดดดดดดดดดดดด ยาวมาก ยามบอกว่าตรงนี้อ่ะจอดไม่ได้ให้เอารถไปจอดบนเขาแล้วก็เดินลงมาซื้อตั๋วข้างล่าง เอ้า!! ตรรกะอะไรของมันวะเนี่ย บ้าบอเถอะ 555555555555



    แล้วเราก็ได้ไปเที่ยวกับการไปเล่นโรเลอร์โคสเตอร์ที่นี้ คือถ้ามาต้องเล่นนะแนะนำ คือสนุกโคตรรรรรรรรรรรร

    ส่วนน้ำตกก็ไม่มีอะไรเลยยย แค่ยืนๆถ่ายรูปได้ แค่นั้น 555555555555


        เมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาจนเกือบจะห้าโมงแล้วตอนนี้ ผมกับเพื่อนก็จะไปเก็บที่สุดท้ายคือการเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบซวนฮวงครับ ซึ่งเราต้องขับมอไซค์กันยาวมาก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งผมจำเป็นต้องขับ้าด้วยเพราะระหว่างทางเนี่ยมันเป็นเหว และบางที่ก็ยังมีร่องรอยการแหกโค้งอยู่เลย ถึงแม้การขับรถที่ดาลัทจะไม่โหดแบบโฮจิมินท์ แต่เวียดนามก็คือเวียดนามครับ ไม่ต่างกัน 55555

        เราใช้เวลายามเย็นในการเดินไปถ่ายรูปและเดินเล่น อัดวีดีโอ และมีกิจกรรมนึงถ้าหากคุณมาเป็นคู่ก็แนะนำหรือถ้ามาคนเดียวและสตรองพอก็เล่นได้นั่นคือ ......ปั่นเรือเป็ดครับ 55555 ขอบอกเลยว่าชิวมากกกก ผมปั่นเรือเป็ดกับเพื่อนและก็เปิดเพลง Vacation Time ได้อารมณ์เพลงแบบดีเฟร่อออออ 555555






        และสุดท้ายก่อนจะหมดวันเราได้ไปกินข้าวเยนข้างทาง ซึ่งเราได้เลิกพูดภาษาอังกฤษเเล้วครับ เราลองพูดไทยกันแทน สั่งข้าว น้ำเต๋าหู้ ปาท่องโก๋ ....... เห้ย ได้ว่ะ แม่งได้ว่ะ 55555
       ก่อนจะกลับห้องซึ่งเราก็ยังไม่กลับครับ เราเลยไปหาคาเฟ่นั่งชิวๆ จิบไวน์กันคนละแก้วดีกว่า ชิวดีๆ จนถึงเวลาประมานสี่ทุ่ม และเวลาประมาณสี่ทุ่มเนี่ยแหละพอถึงห้องพักต่างคนก็ต่างหมดาภพา และเราก็ทำข้อตกลงกันว่าเด๋วพรุ่งนี้ให้เพื่อนผมไปอาบน้ำก่อน เพราะผมน่าจะอาบไวกว่าแปปเดียวก้เสร็จแล้ว อ่ะๆโอเครดีล ปิดไฟนอน.....


  • DAY 3 Muine เมืองทะเลทราย สายลม และรองเท้าที่เกือบหายไป

            และแล้ววันี้ก็มาถึงครับ ผมกับเพื่อนที่ตั้งใจจะมาเวียดนามกันก็เพราะ "ทะเลทราย" กันเนี่ยแหละ เอาจริงๆ ลองคิดดูนะครับว่าในชีวิตเราเนี่ยจะมีสักกี่ครั้งที่จะได้มาสัมผัสทะเลสาย ถ่ายรูปสวยๆก็มีแค่โอกาศนี่เนี่ยแหละ ที่เราจองตั๋วข้ามปีกันมาคงแบบนี้แหละ นาฬิกาปลุกตอนหกโมง 
    "มึง ตื่น"......
    "มึง ตื่น"......
    "มึง ตื่นนนนนนน มันหกโมงจะครึ่งแล้วว้อยยย" เพื่อนเพิ่งจะตื่น แล้วแถมจะตื่นสายอีกต่างหาก ไอบ้า 555555555 แถมยังเกี่ยงด้วยว่าเห้ยมึงไปอาบก่อนดิ สรุปแล้วเพื่อนผมก็ต้องไปอาบก่อนตามสัญญาไว้ครับ 55555

        เราลงมาที่โรงแรมเวลาประมาน 7 โมงโดยที่รถนัดเรา 7 โมง แต่เอาจริงๆคือรถมาแปดโมงเหอะ จะเลทอะไรเบอนั้นอ่ะ 55555 ล่ะพอขึ้นรถมาแบบสภาพเหมือนปลากระป๋องเลยจ้า คือเรากับเพื่อนได้ที่นั่งหลังคนขับล่ะก็อิคนขับก็บอกเรากับเพื่อนว่า "คิกเค็ทๆๆ" เรากับเพื่อนก็แบบ เห้ย คือไรวะ งงและสักพัก็พูดอีกรอบ คิกเค็ทๆๆๆๆๆ ..... อ๋ออออ Ticket มันออกเสียงว่าทิคเค็ทแมะ พูดให้ชัดๆก็จบแล้วป่ะวะ 555555 แล้วจุดพีคของวันนี้คือว่า แม่งเอาของห่าเหวอะไรก็ไม่รู้มาวางๆสุมๆไว้ในนั้น อิบ้าาา นี่มันคือรถโดยสารคนนะ ไม่ใช่รถขนของ 5555555
        จุดพีคต่อมาคือเรากำลังนั่งรถเข้าสู่เขตเมืองมุยเน่ ซึ่งมันก็มีแต่ทะเลทรายนี่แหละ ทำให้มันมีอากาศที่ค่อนข้างร้อนนิดๆ เอาจริงๆแม่งก็ไม่นิดหรอก ร้อนโคตรรรรรรร 5555555 และที่สำคัญคือมันปิดแอร์จ้าาาา ปิดทำไมวะ จะบ้าหรอร้อนจะตาย ซึ่งคนทั้งรถก็อยากได้คำตอบแต่แล้วไงอ่ะ ก็ไม่ได้คำตอบซะที ก็ไม่รู้ว่ามึงจะปิดแอร์ทำม้ายยยย อิผี !
        พอเรามาถึงเมืองมุยเน่นั้นก็นั่งรถไปที่ที่พักที่เราจอง เราก็เอาของไปเก็บและซื้อฮาฟเดย์ทัวร์กับที่พักที่จองไว้เนี่ยแหละ แล้วที่สำคัญเราซื้อทัวร์กับที่พักเนี่ยถูกกว่าท่ารถทีี่มาถามเราอีก 55555 การผจญภัยที่มุยเน่ก็เริ่มขึ้นได้

       เรานั่งรถจี๊บไปทัวร์กัน คือเราชอบจังหวะแตรรถจี๊บมากๆอ่ะ เอาจริง คือมันประมาณจังหวะได้แบบ 12 123 1212 1 ปี๊ปๆ 55555 ตลกป่ะ แต่มันจริงนะเว้ย แม่งเบอนี้นะ 5555555 
       ที่ๆแรก คือเราไปกันที่ fairy stream กันครับ มันจะเป็นอารมณืแบบเป็นธารน้ำไหลเลยอ่ะ แล้วธารน้ำที่ไหลแบบ ไม่มีอะไรเลย อารมณ์แบบแพะเมืองผีนั่นแหละ แต่ถ่ายรุปมาบางมุมมันก็ชิค แต่บางมุมมันก็ดูแบบอารมณ์บ้านน้ำท่วมอ่ะ 55555555 ซึ่งเราก็แบบเห้ย แบบนี้เอาเป็นที่เที่ยวก็ได้หรอ คือเอาจริงๆ แม่งก็ร้อนโคตรๆอ่ะ ใครมาก็เตรียมครีดกันแดดไว้ด้วยนะ 5555555




        เราไปกันต่อที่ fisherman village หมู่บ้านชาวประมง คือเอาจริงๆ เชี่ยไรวะเนี่ยะ ยิ่งกว่าที่ fairy stream อีก เลยแบบเออๆกุถ่ายสักรุปสองรุปก้ได้วะ เอาให้คุ้ม




        เสร็จแล้วคราวนี้เรานั่งรถกันยาวเลยครับ ประมานสักครึ่งชั่วโมงได้ และพอทีนี้เราก็มาถึง "ทะเลทรายขาวแล้วครับ" และเราก็ได้นั่งรถจิ๊บอีกคันเพื่อที่จะเข้าไปยังเนินทราย คือมันเดินเข้าไปได้ แต่มันไกลมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก้เลยตัดสินใจนั่งรถนี่แหละ ก็โอเค รถซิ่งสนุกดีครับบ





        แต่ดูเหมือนทั้งทริปจะราบรื่นเนาะ....สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนผมแน่ๆ พอมาถึงที่ทะเลทรายได้สักพักเรากำลังถ่ายรูปสวยๆกันอยู้เลยครับตรงยอดทรายของที่นี่ แล้วทีนี้เราก็ได้ไปยืนถ่ายตรงริมๆของยอด ซึ่งลมแรงมากกกกกกกก แบบผ้าปลิวไสวสวยๆเลย แต่สิ่งที่ไม่ควรจะปลิวเนี่ยมันคือ...รองเท้าเพื่อนผมครับ คือเพื่อนเอารองเท้าไปวางไว้ริมเนินทราย ซึ่งข้างล่างเป็นเหวทราย ความสูงประมานตึกสามชั้นได้ครับ ทีนี้เพื่อนผมก็เอาไปวางผมซึ่งกำลังจะบอกว่า 'เห้ยย ระวังรองเท้า....ฟิ้ววววว แม่งปลิวไปแล้วจ้าาาาา เชี่ยยยยย เอาไงดีวะ เอาไงดี เอาไงดี ผมกับเพื่อนก็เลยตัดสินใจว่าแบบอ่ะ เอาวะยังไงก็แม่งขนาดนี้และเลนจับมือกันเดินลงไปเก็บรองเท้าให้เพื่อนเลยครับ 5555555 ผมก็ได้อัดวีดีโอเก็บความลำบากนี้เป็นที่ระทึกด้วยครับบบ







          สุดท้าย เรามาต่อกันที่ทรายแดง ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ดูพระอาทิตย์สวยที่สุดเลย แต่จริงๆก็เป็นแบบนั้นแหละ ทรายก็สวยนะ ทรายเป็นสีชมพูเลย 
         ผมแอบเห็นคู่รัก เพื่อนสนิทในหลายๆคน หลายๆกลุ่มมานั่งจิบเบียร์ นั่งชิว ดูพระอาทิต์ตกตอนหกโมงเย็นด้วยกัน ซึ่งผมกับเพื่อนก็ทำแบบนั้นเหมือนกันครับ









        เมื่อเรากลับโรงแรมและภารกิจของเราคือการไปกินอาหารทะเล สั่งยับเลยครับ เราสองคนนี่โคตรอบกินปลาและกินกุ้ง หูยยย แต่คือเราไม่ได้อยากกินเมนูที่เราอยากกินแล้วสั่งมานะ แต่เราอยากสั่งของโต๊ะคนข้างๆมาแทนอ่ะ 555555555


       พอเสร็จจากนั้นกลัวกลับไปห้องไม่มีไรทำ เราเลยไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำของที่พักครับ และก็ได้ฟังเสียงทะเล เสียงคลื่น อยู่ในน้ำ ไฟสลัวๆ และที่สำคัญ....ได้เห็นดวงดาวด้วย ผมชอบการดูดาวที่นี่เลย แบบชอบแบบชอบจริงๆ คืนนั้นเราคุยอะไรกันตั้งมากมาย ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มสอบเข้าคณะนี้กัน จนกระทั่งเรื่องอนาคตเรื่องเที่ยว เรื่องต่างๆที่ไม่รู้จะบอกอะไรกับใคร สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะบอกกับเพื่อนผมแทน 


    บางครั้งคนเราก็ไม่ต้องการอะไรมาก แค่เพื่อนที่รับฟังดีๆสักคนคงพอแล้ว 

      

        
  • DAY 4 Hochimin-Bkk

          วันสุดท้ายเราตื่นกันสายเลยครับตอนแปดโมง ซึ่งเมื่อคืนผมหลับไปก่อนเพื่อน ส่วนเพื่อนก็นอนทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำเลย เนื่องจากเราเพลียกันมาก กิจกรรมที่โคตรจะแอดเวนเจอร์ก็ผ่านมาทั้งหมดเลย ตอนเช้าเราเลยจะไปเล่นน้ำทะเลกันครับ ซึ่งสิ่งที่เราทำคือ นั่งรถไปอีกรีสอร์ทนึง แล้วไปเล่นน้ำแทนเพราะมันสวยกว่า 5555555 น้ำทะเลที่นี่จะเขียวๆ เพราะเป็นทะเล pacific แล้วก็มีฝรั่งเตมไปหมดเลยยยยยย 5555555 ดีจัง 5555555 อ้อ อีกอยย่างคือน้ำทะเลมันไม่ค่อยเค็มเท่าไร ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน





          พอเล่นน้ำทะเลกันสมใจแล้ว เราจึงกลับที่พักกันแล้วก็เปลี่ยนชุดเตรียมกลับไปซื้อของฝากที่โฮจิมินท์ครับ ซึ่งรถนอนมาพอดีเลยตอน 11 โมงและเราก็มาถึงโฮจิมินท์กันประมาน 3 โมงเกือบสี่โมง
          เราจึงเอากระเป๋าไปฝากไว้อีกครั้ง ที่เดิมเลยครับ แล้วก็ต่อราคาเอาว่าเออฝากแค่ชม.เดียวคงไม่เปนไรแหละ ไม่แพงหรอก ต่อๆเอา 555555 เราเลยนั่งรถมอไซค์ไปถึงที่ทำการไปรษณีย์เพื่อที่จะซื้อโปสาร์ดเเละส่งกลับไทยครับ ผมเลยส่งหาตัวเองใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์ ซึ่งตั้งแต่กลับจากเวียดนาม ยังไม่ได้กลับบ้านเลยครับ 555555555 พอเรากลับมาที่นี่เราเลยไปแวะซื้อของฝฝากในห้างนิดหน่อยซึ่งเอาจริงๆนี่คือแบบแพงมากกก 5555 ไม่รุ้จะแพงไปไหนวะ 
          และแล้วเมื่อเวลาหกโมงเย็นมาถึง ผมกับเพื่อนจึงต้องรีบขึ้นแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินให้ทัน เพราะเขาบอกว่ามันเป็น rush hour รถติดแน่ๆ แต่โชคดีที่ถึงทัน

         
         มาถึงตรงนี้แล้ว็ไม่รู้สิ มันเร็วแบบแปลกๆ สิ่งที่ผมทึ่งที่สุดคือวันนี้แหละ ตอนเช้าเราอยู่เมืองทะเลแสนชิว ตกบ่ายๆเรากลับมาเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสี พอกลางคืนเรากำลังจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนของเราแล้ว แปลกดีเนาะ ... เวลาเนี่ย ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
        "เออมึง มึงกลับบ้านป่ะ" ผมถามเพื่อนขณะกำลังจะเดินไปสนามบิน
        "กลับแหละ กุคิดถึงบ้านอ่ะ ช่วงนี้กุกลับบ้านบ่อยเพราะอีกหน่อยเรียนจบทำงาน คงไม่ค่อยได้กลับบ้านแล้ว" เพื่อนผมตอบ
        "อืมม ก็คิดงั้น กุเลยยังไม่กลับว่ะ เพราะอีกหน่อยเรียนจบทำงาน คงไม่ได้อยู่หอ คงอยู่บ้านอ่ะ" ผมบอกกลับด้วยมุมมองอีกแบบหนึ่งของผม "ไม่รู้ดิ กูอยากใ้ช้ชีวิตตอนนี้กับเพื่อนๆมหาลัยให้มากอ่ะมึง พอจบแล้วคงไม่ค่อยได้เจอกันอีกบ่อยๆแบบนี้แน่ๆ คงไม่ได้ไปเจอกันแบบนี้อีกแน่ๆ"
        "มันก็เป็นธรรมดาสำหรับความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบอ่ะมึง พอสุดท้ายแล้วเราก็คงต้องแยกจากกันไป พอสุดท้ายแล้วเราก็ทำได้แค่ keep in touch ระหว่างกันและกัน และคงคิดถึงแต่เรื่องดีๆของกันและกันล่ะมั้ง"
    ตึ่ง ! เสียงประตูรถปิดลง ผมกับเพื่อนรีบเดินเข้าไปเช็คอิน และเข้าเกททันที และนั่งมองเครื่องบินตรงหน้า ผมเพิ่งสังเกตุว่า ตั๋วของเพื่อนกับผมที่นั่งไม่ตรงกัน
        "เจอกันที่ไทยนะ" คำสุดท้ายที่ผมบอกเพื่อนขณะเครื่องบินกำลังจะออกจากแผ่นดินเวียดนาม



      
         
  • เวียดนามในแบบเนยเอง

    โอเคนี่คงไม่ใช่บทความที่เขียนอวยประเทศเวียดนามว่าน่ามาเที่ยวแค่ไหนหรือเขียนติจ๋าว่าไม่ดียังไง เพราะเราเชื่อว่าหลายคนคงเลือกที่จะรู้สึกเอาเองได้แต่เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่เราเจอและให้เราเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ได้เล่าสู่กันฟังแล้วกันเนอะ

    อ่ะๆๆไม่ได้จะดึงดราม่าขนาดนั้นนะ ไปต่อ

    ทริปนี้เรามาด้วยกัน2 คนถ้วน หาข้อมูลเอง จองโรงแรมเอง เดินทางเอง กางแผนที่เอง โอเคมันก็ฟังดูไม่ยากเท่าไหร่เนอะ ประเทศเพื่อนบ้านแค่นี้เอ้งงง โอเค้ ลุยกันสักตั้งซิด้วยความที่หาข้อมูลมาอย่างดิบดีแล้วว่าควรซื้อซิมการ์ดร้านไหน แลกตังค์ยังไง บลาๆเรื่องหลักๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาแล้วล่ะ ที่พักก็จองเรียบร้อย โอเค ชิว! ที่เหลือก็แค่เดินทางไปตามจุดเที่ยวที่ต้องการแค่นี้เอง...

    แค่นี้เองงงงแค่นี้เอ้งงงง เออ! นั่นแหละปัญหาล่ะทุกคน

    เราเชื่อว่าเวลามาต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนแรกๆเราก็ต้องมีสตั๊นกับสกุลเงินกันบ้างใช่มะ เพราะสมองเราโดยอัตโนมัติเนี่ยก็ต้องมีการคำนวณกลับไปเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองเพื่อเปรียบเทียบว่ามันถูกหรือแพงแค่ไหนฟะ โจทย์แรกของเราสองคนก็เหมือนกันค่ะ นั่นก็คือการจ่ายค่าโดยสารบนรถเมล์นั่นเอง(ด้วยความที่เห็นเป็นประเทศเวียดนามเนอะ เรื่องขึ้นรถขึ้นราก็แอบระวังหน่อยนึงงแบบว่าเป็นชาวต่างชาติก็กลัวจะโดนชาร์จเกินจริงอ่ะเน้อ) พอขึ้นมาบนรถเมล์คนขับก็ทำการเดินถามว่าหนูๆที่นั่งหัวโด่วกันอยู่เนี่ย ลงไหนกันจ๊ะ บอกมาซะดีๆนี่ก็บอกออกไปด้วยความมั่นใจตามจุดหมายที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี xxx ค่ะ คนขับก็บอกราคามาจำนวนหนึ่ง ละค่าเงินด่องเลขมันเยอะอ่ะ นี่เลยสตั๊น มันเท่าไหร่วะคิดแป๊บคิดๆๆ สรุปมันถูกหรือแพง มันคนเดียวหรือสองคนเนี่ย เราก็ถามๆคนขับประมาณว่าคนเดียวหรือสองคนคะเพ่ คนขับนางก็โบ้เบ้ออกมาเป็นภาษาเวียดนาม อ้อบอกก่อนว่าในโฮจิมินห์เนี่ย คนส่วนใหญ่ที่ต้องทำงานเจอกับนักท่องเที่ยวบ่อยๆเขาจะค่อนข้างพูดภาษาอังกฤษได้อยู่นะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนอ่ะ สรุปก็คือเรายังงงอยู่ดี (ว่ะ) ว่าทั้งหมดแล้วมันเท่าไหร่นะจนมีคุณพี่ใจดีที่นั่งอยู่ข้างหน้าอาสาหันมาสปีคกับคนขับและทำหน้าที่เป็นวุ้นแปลภาษาให้เราได้ใจความว่า อ๋อ เอ็งสองคนรวมกับกระเป๋าลากของเอ็งอีกหนึ่งใบเนี่ย รวมกัน 15,000นะ ไอ้เราก็ หูย แม่งคิดกระเป๋าด้วยอ่ะ ไรว้ากระเป๋าไม่ได้ใบใหญ่ขนาดนั้นเลย เกินเบอร์อ่ะ! แต่ก็เพื่อความไม่ยืดยาดเราก็รีบๆจ่ายกันไป พอคนขับจากไปเราก็ทำการจิ้มๆๆ 15,000 นี่มันเท่าไหรรรตื่อ ดือ ตึ๊ง … มันคือ 23 บาท!ก็เท่ากับตกคนละ 10 กว่าบาทเท่าน้านน โอเค ไม่บ่นเรื่องกระเป๋าละก็ได้ก๊ากกก

    บ่นซะยืดยาวข้างบนเนี่ยแค่อยากเล่าเหตุการณ์ตัวอย่างเป็นทริคสำหรับทุกคนว่าอย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าค่าเงินดองถูกกว่าบ้านเราแต่แค่เลขมันดูมากมายให้งงกันเล่นๆ แค่นั้นเอง โดยหลักจำง่ายๆ สำหรับมือใหม่ก็คือ 10,000 ด่อง เนี่ย มันจะประมาณ 15 บาทไทยอย่างตัวอย่างข้างต้น อีก 5,000 มันก็เท่ากับ 7 บาทเศษๆ เท่านั้น ทีนี้เราก็ลองคำนวณดูกับหลายๆ อย่างมันก็จะช่วยให้ง่ายขึ้นเด้อ เอ้อ แล้วก็ เวลาคนที่นี่เขาบอกราคาเราอ่ะ เช่น 5,000เขาก็จะไม่พูดว่า five thousand ซะให้ยาวหรอกเขาจะพูดแค่ five เฉยๆ เพราะยังไง้ยังไงมันก็ไม่มีอะไรที่เป็นหลักร้อยอยู่แล้วจะเรียกว่าหลักร้อยของเขาเทียบกับเศษสตางค์ของเราก็ไม่ผิดนะ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเลขเยอะขึ้นเช่น 120,000 ด่องคนเวียดนามก็จะบอกเราว่า one twenty เท่านั้นแล

    จบจากเรื่องเงินๆทองๆ ไปแล้ว สิ่งต่อไปนี้ที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การจราจร... โหยไม่พูดถึงก็ไม่ได้อ่ะ ทีเด็ดประเทศเขาเลยล่ะบอกเลยว่าวันแรกที่เดินเที่ยวอยู่ในโฮจิมินห์เนี่ย ความคิดในใจนี่คือถ้าพาพ่อแม่มาด้วยนะ ไม่รอดแน่ๆ 5555ถ้าพ่อแม่จะมาจะบอกให้ไปทัวร์อย่างเดียวเลยจริงๆ

    หลายคนคงเคยได้ยินแล้วอ่ะเนอะว่าเวียดนามเนี่ยแทบจะไม่มีสี่แยกไฟแดงแบบบ้านเราเลยนะอ้าว แล้วรถวิ่งกันยังไงอ่ะ? ไม่ชนกันแย่หรอ? เออ ก็นั่นแหละที่สงสัย 5555จนกระทั่งได้เจอของจริง ก็คือว่า รถที่นี่จะวิ่งไปเรื่อยๆ เออวิ่งไปเรื่อยๆ อ่ะก็มันไม่มีไฟแดง ไม่รู้ต้องหยุดเพื่ออะไร เวียดนามควรเอาเบรคมือออกไปจากยานพาหนะทุกคันถ้าจะมองไม่เห็นค่ากันขนาดน้าน ช่วงแรกๆ ก็ไม่ชินเลยคิดในใจทุกครั้งที่ข้ามถนนว่าตรูไม่ได้เอาชีวิตมาทิ้งที่เวียดนามใช่มั้ย ฮืออ แต่แต่ ใจเย็นค่ะ มันไม่ได้น่าจิตตกขนาดนั้นเด้อ เพราะหลังจากทำการรีเสิร์ชแล้วเขาบอกว่าการข้ามถนนที่นี่เนี่ย เดินไปเลยค่ะซิส เดินออกไป นั่นคือแคทวอร์กของยูฟูลเทิร์นสักทีนึงก็ได้ เดี๋ยวรถหลบให้เองแหละ อันนี้ดูน่าเหลือเชื่อแต่ลองกับตัวเองแล้วนะ เดินมึนๆ ไปอย่างนั้นแหละถ้ามอร์ไซค์วิ่งมาก็อาจจะมีบีบแตรใส่นิดหน่อย แต่เขาก็จะชะลอหรือเบี่ยงไปให้ค่ะ ไม่พุ่งมาชนเราหรอกพอได้ลองจริงๆ แล้วก็สะใจดีนะ ให้ความรู้สึกแบบ เออ ทำไมล่ะ จะเดิน หลบไปสิ 555555แต่เอาจริงอย่าไปทำกับแยกใหญ่ๆ ที่รถขับเร็วมากๆ นะทุกคน ด้วยความเป็นห่วงงง

    อีกประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็เรื่องบีบแตรเนี่ยแหละ สืบเนื่องจากย่อหน้าบนที่เล่าไปว่าที่นี่แทบจะไม่มีไฟแดงเพราะฉะนั้นที่รถมันไม่ชนกันได้ทั้งๆ ที่แทรกแซงกันขนาดนั้นนี่ก็เพราะแตรเนี่ยแหละมาแรกๆ รับรองว่าคนไทยไม่ชิน อย่างที่รู้กันว่าในบ้านเราเสียงแตรมันเป็นเหมือนเสียงก่นด่าอ่ะโดนใครบีบใส่ทีก็เหมือนถูกด่าพ่อทีด่าแม่ที แต่ที่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้นจ้าแตรที่นี่เป็น sign อย่างหนึ่งสำหรับการจราจรถ้าสมมติเราขับรถอยู่บนถนนแล้วมีรถคันหลังบีบแตรใส่เราปั๊บ ไม่ใช่เขาต้องการบอกว่า“ขับเร็วๆหน่อยโว้ยยย อืดอาดอยู่ได้”แต่คนเวียดนามต้องการบอกเราว่า “เตงงง เค้าจะแซงเตงละน้า ระวังซ้ายงุงิๆ” เพราะฉะนั้นไม่ต้องหัวเสียแล้วจะเดินทางในเวียดนามแบบมีความสุขที่สุด เชื่อเถ๊อะ กั๊กๆ

    หลายคนอาจจะคิดว่าที่พูดมานี่ด่าอย่างเดียวเลยป่าวว้าไม่น้า จริงๆ ก็ชื่นชมอยู่ลึกๆ ว่าเออ เขาก็ขับกันได้โดยที่ไม่ชนกันอ่ะ เจ๋งดีเพราะรถบ้านเขาไม่ได้ขับเร็วเท่าบ้านเราด้วยล่ะ ที่สำคัญก็คือมอร์ไซค์ทุกคันบนท้องถนนมีมิวินัยในการใส่หมวกกันน็อคมาก เน้น ทุกคันเลยจริงๆจะมีคนซ้อนกี่คนทุกคนก็ใส่หมดเลยอ่ะ สุดยอด น่าเอาเยี่ยงอย่างมากๆ

    สำหรับที่เที่ยวในโฮจิมินห์ก็จะเป็นในแนวตึกรามบ้านช่องซะส่วนใหญ่ใครที่ชอบดูสถาปัตยกรรมสวยๆ ก็น่าจะชอบที่นี่ได้ไม่ยาก ทั้งโบสถ์เอยตึกไปรษณีย์เอย พิพิธภัณฑ์เอย มันสวยจริงๆ เด้อ ใครที่ชอบถ่ายรูปเราว่าติดเลยส์ wide ไว้จะดีมาก เพราะสามารถเก็บรายละเอียดกว้างๆ ได้ดีทีเดียว

    แต่สำหรับเราเมืองที่ได้ใจเราไปเต็มๆ ก็คือ ดาลัท จ้า มาๆ สายธรรมชาติเร่เข้ามา ดาลัทเนี่ยเป็นเมืองที่ทำเลอยู่บนเขาเพราะฉะนั้นอากาศจะหนาวเป็นพิเศษ ต่ำสุดก็สิบกว่าๆ เซลเซียสเลยทีเดียวแต่ในขณะเดียวกัน ดาลัทมีอะไรที่โฮจิมินห์ไม่มีอ่ะ ไม่ได้พูดถึงเรื่องจราจรหรอกนะเพราะมันเป็นทั้งประเทศ 5555 เราหมายถึงว่า การจราจรดูเบาบางกว่า อันตรายน้อยกว่าเร่งรีบน้อยกว่ากันเยอะเลย แต่ด้วยความต่างจังหวัด คนก็จะพูดภาษาอังกฤษได้น้อยกว่า(มาก) จนถึงที่พูดไม่ค่อยได้เลยก็มี ก็ต้องงัดภาษามือกันมาใช้หน่อยล่ะ เอ้อพูดถึงเรื่องภาษา ก็มีเรื่องฮาๆ มาเล่าให้ฟัง คือตั้งแต่มาถึงเวียดนามเนี่ยเราตระหนักได้ว่าเหล่าแม่ค้า ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าประเภทไหน (หรืออาจจะคนอื่นๆด้วย)เขาก็มีความสามารถในการมองเราออกค่ะว่าเรามาจากประเทศอะไร ที่รู้แน่ๆก็คือตอนที่มีแม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าเราต้องจ่ายค่าเข้าห้องน้ำเป็นจำนวนเท่านี้แต่ด้วยความที่เรากำลังงงว่าห้องน้ำอย่างนั้นก็เก็บตังค์หรอ -..- แม่ค้าก็คงเห็นเรางง เลยพูดออกมาเป็นภาษาไทยว่า “สองพัน” โห ชัดแจ๋วนึกว่าคนไทยปลอมตัวมาหลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่มั่นใจแล้วว่าคนเวียดนามพูดภาษาไทยได้พอสมควรเลย โดยเฉพาะจำนวนเงินนี่เป๊ะเขียว แม้กระทั่งแม่ค้าร้านน้ำเต้าหู้ที่เดินเข้ามาพีอาร์สินค้าว่าเนี่ย “น้ำเต้าหู้ๆ”เท่านี้เท่านั้นบาท ไม่พอมี “โก๋ๆๆ”ด้วย ไม่พออีก “น้ำเต้าหู้ร้อนๆ”อีกต่างหาก ยอมใจการพีอาร์สินค้าเป็นภาษาไทยของแม่ค้าที่นี่จริงๆหลังจากนั้นก็เลยตระหนักได้ว่า เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆภาษาอังกฤษไม่น่าจะจำเป็นในดินแดนนี้แล้วล่ะ ถ้าจะพูดไทยกันชัดขนาดนี้คุยกันแบบภาษาไทยนี่แหละ ผลลัพธ์คือ ได้ผลว่ะ! โคตรทึ่ง 5555ลองดูนะทุกคน ยิ่งเป็นตัวเลขเนี่ยแม่ค้าจะแม่นมาก บอกไปเลยว่าเอากี่อันเอาเท่าไหร่ ถ้าจะถามราคา ไม่ต้องมา “how much” ให้เสียเวลาแล้วค่ะถามไปว่า “เท่าไหร่” เนี่ยแหละหมดเรื่อง เรียบร้อยโรงเรียนไซง่อน

    กลับมาที่เสน่ห์ของดาลัทเมืองนี้ธรรมชาติดีมากก อากาศดีมากก ที่เด็ดๆ หลักๆ เลยก็มีทะเลสาบซวนเฮืองแนะนำให้ลองมาใช้เวลาตอนเย็น สัก 4-5 โมง เดินเล่นแถวริมทะเลสาบดูหรือจะลองไปปั่นเรือเป็ดก็ได้ บอกได้เลยว่า ชิวมากกตักตวงบรรยากาศแบบอิ่มอกอิ่มใจไปเลย (ไม่รวมปลาตายนะ แหะๆๆ)อีกทีที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งก็คือกระเช้าไฟฟ้าที่วัดตั๊กลัม อันนี้ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่หาข้อมูลมาอย่างดีเยี่ยมเพราะกระเช้านี้ทั้งสูงและยาวจนถึงขนาดเห็นวิวเมืองดาลัทได้ทั้งเมืองตักตวงบรรยากาศได้เต็มที่อีกเช่นกัน แถมนั่งไปกลับก็ไม่แพงเลยด้วย

    พอเดินทางมาถึงเมืองสุดท้ายซึ่งก็คือมุยเน่เหมาะกับเป็นเมืองปิดทริปมากๆ น่าแปลกที่เมืองชายทะเลอย่างมุยเน่มีไฟแดงเยอะกว่าโฮจิมินห์ซะอีกฮ่า มาที่นี่คุณก็จะได้เจอกับดับเบิ้ลทะเล ทำไมน่ะเหรอก็มีทั้งทะเลและทะเลทรายคอมโบอยู่ในเมืองเดียวเชื่อว่าหลายคนที่มาเวียดนามก็มีช็อตเด็ดอยู่ที่นี่กันใช่ม้าถ้ามาถึงแล้วก็อยากให้มาลองเล่นน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกกันนะแล้วจะรู้ว่าข้อดีของมันคือ น้ำไม่เค็มเลยอ่ะ! เข้าตาก็ไม่แสบชอบๆๆ อยากเอาไปเปลี่ยนกับน้ำทะเลบ้านเราจริ๊ง ส่วนทะเลทรายก็ไม่มีอะไรจะพูดมากมันสวยจริงๆ ถ่ายยังไงก็สวย เชื่อเถ้อะ อ้อ ที่สำคัญทะเลทรายลมแรงมากกทรายเข้าตาได้ทุกวินาที ใครมีแว่นกันแดดก็เอาติดไปด้วยนะ จะได้กันทรายได้ส่วนหนึ่งส่วนการเที่ยวที่มุยเน่ไม่แนะนำให้เอาของไปเยอะ เพราะต้องเดินขึ้นลงเนินทรายด้วยเดินในที่เปียกๆ ด้วย อากาศร้อนด้วย มันอาจจะทำให้หนักและรุงรังเกินไปจนอาจหมดสนุกเพราะฉะนั้นพกเฉพาะที่จำเป็นและเน้นคล่องตัวเป็นสำคัญเป็นพอ

    ยาวมากกยาวมากเกินไปใช่มั้ย นี่กะว่าจะเขียนสั้นๆ มันกลายเป็นงี้ไปได้ไงอ่ะก่อนที่มันจะยืดยาวไปมากกว่านี้ ขอจบเอาแบบหน้าด้านๆ อย่างนี้เลยแล้วกันเป็นการหนีปัญหาดี 5555 นี่ก็หวังว่าจะทำให้รู้จักเวียดนามมากขึ้นละกันเนอะส่วนอยากไปเที่ยวมั้ย ก็ลองไปตัดสินใจกันเอาเด้ออ

    ปล.ชาเวียดนามหอมมาก ดีมาก จนอยากกลับไปซื้อมาตุนเยอะๆ

    ปล.2รถนอนไปดาลัทนอนสบายม้าก แต่ถ้าส่วนสูงมากเกินต้อาจจะไม่ค่อยสบายนะ -..- อ้อ ถ้าเลือกที่ได้ให้เลือกไม่โซนซ้ายก็ขวานะ เพราะตรงกลางแอร์ไม่ค่อยถึงจะร้อนเอา

    ปล.3แนะนำโรงแรมทิวลิปที่ดาลัท! สะอาดมากก เดินทางสะดวกไม่แพงด้วย ส่วนที่มุยเน่รีสอร์ทเยอะมากเลย ถ้าอยากเล่นน้ำทะเลก็ดูดีๆ นะว่ารีสอร์ตติดหาดทรายกับทะเลจริงป่าวเพราะอาจได้รีสอร์ตที่ติดทะเลจริง แต่ไม่มีหาดซะงั้น ฮื่อ





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in