เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สวัสดี นี่เพื่อนใหม่เรา ชื่อคิตะคิวชูaprilgnawk
03 - อะไรนะ? ออกทีวีคิตะคิวชูงั้นเหรอ!!?
  • ในที่สุดดดดดดดดดด ???


    เราก็ได้มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย มาถึงสนามบินฟุกุโอกะ 8 โมงครึ่ง นี่ก็ลากกระเป๋าออกมาจากสนามบินแบบเด๋อๆงงๆ พี่ทีมงานที่ไทยบอกว่าเราจะต้องหาทางไปคิตะคิวชูด้วยตัวเอง นี่กับเพื่อนอีกคนเลยรีบหาแผนก Information ก่อนเลย ซึ่งจริงๆก็อยู่ไม่ไกลจากทางออกนั่นแหละ เพราะว่าอาคารผู้โดยสารตปทของสนามบินฟุกุโอะถือว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสุวรรณภูมิ (ที่กว่าจะเดินถึงบอร์ดดิ้งเกทขาก็เปลี้ยแล้ว) พอถึงเคาท์เตอร์ก็บอกความต้องการของเรากับเจ้าหน้าที่ไป ถามเวลาว่ารถบัสที่จะไปโคคุระเที่ยวต่อไปออกกี่โมงก็ได้ความว่ารถเที่ยวต่อไปจะมาถึงในอีกสิบนาที นี่ก็เลยขอให้พี่เจ้าหน้าที่ช่วยกดซื้อบัตรตรงตู้ขายบัตรโดยสารให้ (เพราะเห็นตู้มีคันจิโผล่มาเพียบ เวลาน้อย มัวงมโข่งไม่ได้เดี๋ยวตกรถ 5555555) รวมทั้งป้ายที่จะต้องขึ้นเสร็จสรรพ (คุยภาษาอังกฤษโลด) ที่เหลือก็แค่ลากกระเป๋าออกไปรอตรงป้ายที่กำหนด จบปิ๊ง


    อากาศด้านนอกก็ร้อนพอๆกับที่ไทย แต่ร้อนแบบแห้งๆ ไม่ชื้นทำให้เหงื่อแตกพลั่กๆ ชอบที่สนามบินช่วงเช้าไม่วุ่นวาย ไม่ค่อยมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ สงบดี



    ต้องเซนเซอร์หน้าหน่อย คิ้วท์ๆ LOLL



    ฟีลเหมือนรถบัสสมัยไปทัศนศึกษาเปี๊ยบ



    กดออดเมื่อได้ยินเสียงประกาศสถานีต่อไปที่ตัวเองจะลงด้วยนะ (ถ้ามีคนอื่นกดแล้วก็ไม่ต้องกดซ้ำก็ได้เน่อ)



    พอรถมาเราก็ไปต่อแถวขึ้น (อ้อ บัสแบบนี้นี่เรียกว่า highway bus เน้อ) พอรถจอด เจ้าหน้าที่ขับรถก็จะลงมายกกระเป๋าเก็บไว้ที่ใต้ท้องรถให้ ฟีลรถบัสใหญ่ไปตจวบ้านเราแค่ของเค้าคันเล็กกว่า และด้วยความที่เป็นบัสจากสนามบิน เพราะงั้นทุกป้ายจะมีบอกชื่อสถานีเป็นภาษาอังกฤษหมด ขึ้นให้ทั้งหน้าจอหน้ารถ และประกาศออกเสียง ไม่ต้องกลัวลงผิดป้าย (มีเป็นภาษาจีนและภาษาเกาหลีด้วยนะเออ) ใต้เบาะมีปลั๊กให้ใช้บริการด้วย เป็นปลั๊กหัวแบนแบบที่ญี่ปุ่นใช้นะ ใครที่ตัวหัวชาร์ตเป็นหัวแบนอยู่แล้วเช่นที่ชาร์ตของไอโฟนก็เสียบได้เลย ส่วนถ้าใครไม่ใช่ก็ใช้หัวแปลงพกพาเสียบโลด 


    จากสนามบินฟุกุโอกะถึงสถานีโคคุระใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเกือบๆสองชั่วโมง ทิวทัศน์ข้างทางก็ค่อนข้างเงียบสงบมาก ผู้คนน้อยมากกก นี่กับเพื่อนอีกคนก็หลับๆตื่นๆ จริงๆคือแอบง่วงเหมือนกันเพราะว่าบินไฟล์ทดึกมา ได้นอนบนเครื่องจริงๆแปปเดียวเอง พอได้ยินเสียงประกาศว่าสถานีต่อไปโคคุระ ก็ต้องกดออดด้านบน (เหมือนในรูปที่เราโพสท์ไว้ข้างบน) เพื่อแจ้งให้คนขับทราบว่ามีคนลงป้ายนี้นะ แล้วเค้าก็จะจอดให้ พอถึงที่หมายเราก็ชี้ๆบอกว่ามีกระเป๋า คุณคนขับก็จะลงมาเอากระเป๋าให้เราเรียบร้อย

    .

    .

    .

    .

    .

    แต่ แต่ แต่ !!!!

    พอลงมาก็ต้องตกใจมาก เพราะนักศึกษาชาวญี่ปุ่นที่แจ้งว่าจะไม่มารับ จริงๆเค้ามารอเราที่ป้ายบัสเลยจ้าาา ซึ่งไม่ได้มากันแค่นั้น แต่มาพร้อมทีมงานสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของคิตะคิวชู ตากล้องเอย พีดีเอย ฝ่ายเสียงฝ่ายแสงเอยครบครัน มีป้ายเวลคัมทูคิตะคิวชูมาเซอร์ไพรส์ด้วย โอเคค่ะ... ไทยจินอย่างเราก็ยืนเอ๋อเลยสิคะ สองคนยืนมองหน้ากันแบบแฮ่ๆมาก


    สภาพในตอนนั้นคือ >>>>> ใส่เสื้อผ้าแบบกะให้นอนบนเครื่องได้สบายสุด หน้าโทรมสดมาก ทามาแค่ลิป (จริงๆใส่แว่นขึ้นเครื่องด้วย แต่โชคดีที่มีอะไรมาดลใจให้เปลี่ยนคอนแทคที่สนามบิน..) หัวฟูชี้โด่เด่เพราะนอนในบัสมา ดูไม่จืดเลยยยยยยยย


    พอเราทักเค้าไปเค้าก็บอกว่าตกใจ นึกว่าเราพูดภาษาญี่ปุ่นกันไม่ได้เลยโล่งใจกันมาก เพราะตอนแรกกลัวจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ เอาเข้าจริงนี่ก็แอบดำน้ำไปบ้างอะไรบ้าง เพราะอย่างที่รู้ว่าสกิลเรานั้นแค่ N4 (ที่กำลังรอผลN3อย่างใจจดใจจ่อ) เท่านั้น ก็แอบดิ้นญปคำอังกฤษคำ ภาษากายบ้างปนๆไป โชคดีที่เพื่อนที่ไปกับนี่อีกคนเรียนเอกญี่ปุ่น ก็เลยสบายใจเลยเพราะเพื่อนเก่ง มีอะไรจะได้ถามๆกันได้ไม่ต้องเปิดดิก 5555555 จากนั้นก็เป็นคิวของทีมงานTVมาแนะนำตัว แล้วก็ดีลกับเราตรงนั้นว่าเราจะถ่ายทำกันตั้งแต่ตอนนี้เลย โห นี่ก็ช็อคสิคะ เป็นความรู้สึกยิ่งกว่าโดนเซอร์ไพรส์ เหมือนโดนเล่นซ่อนกล้องอ่ะ เคยเห็นคนโดนแต่ในทีวีก็ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตัว แต่ยังไง The show must go on ค่ะ มโนว่าเป็นดาราหนึ่งวันละกัน แหะ 555555555555555  
    .

    .

    .

    .

    .
    เริ่มแรกก็ต้องไปฝากกระเป๋ากันก่อน เพราะกำหนดไปที่พักคือช่วงเย็น เราก็มาที่ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าบนสถานีโคคุระ ถ้าใครมาก็ให้หาบันไดเลื่อนขึ้นไปตรงฝั่ง Amu plaza ก็จะเห็นล็อกเกอร์ฝากของ จำไม่ผิดน่าจะเจ็ดร้อยเยนต่อครั้ง ใบเสร็จที่ได้ต้องเก็บให้ดีๆนะ เพราะเราจะต้องใช้รหัสผ่านที่มากับใบเสร็จกดรับของคืน ระวังอย่าทำหายนะไม่งั้นเปิดล็อกเกอร์ไม่ได้นะเออ


    จากนั้นนักศึกษาชาวญี่ปุ่นสองคน ได้ความมาว่าชื่อไอมิจังกับชิโอโนะจังก็พาทัวร์ตรอกฮิมาวาริที่อยู่ข้างๆAmu plaza ให้ฟีลเหมือนสยามร้อนย่อมๆ ช่วงที่ไปคนยังไม่มากนักเพราะเป็นวันธรรมดา แถมเป็นตอนกลางวันแสกๆ คนจะมาเยอะเอาตอนช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้วมากกว่า ซึ่งในนี้ก็มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเกมส์ ร้านให้ช้อปปิ้งละลานตาไปหมด ส่วนใครอยากเดินห้างเย็นๆ ตรงโซนนี้ก็มีทั้ง Amu plaza หรืออยากดูแบรนด์หรูๆขึ้นนิดนึงก็มีห้าง Colet ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รวมถึงในโซนนี้ยังมีเฟรนไชส์ร้านอาหารที่เราคุ้นเคยจำพวก Mc Mister donut Starbucks etc. ด้วย ละลานตาจนเลือกทานไม่ถูกกันเลย แต่ร้านแรกที่ชาวญปพาไปทานก็คือร้าน Tsujiri เป็นร้านของหวานที่ทำจากชาเขียวที่มีชื่อเสียงมากในย่านนี้ เมนูของหวานจะเป็นจำพวกน้ำแข็งไสชาเขียวถั่วแดงใส่โมจิ ไอติมชาเขียว ชาเขียวปั่นแบบต่างๆ นี่ก็สั่งน้ำแข็งไสมาทานดับร้อน ในร้านมีิบริการชาฟรี ตอนแรกนี่นึกว่าเป็นกาแฟเพราะกลิ่นและรสชาติเหมือนอเมริกาโน่เย็นเจือจางมากๆ แต่มารู้จากคนญปทีหลังว่านี่เป็นชา ไม่ใช่กาแฟแต่อย่างใด 


    เราสั่งน้ำแข็งไสชาเขียวใส่ถั่วแดงและโมจิ - ราคาประมาณห้าหกร้อยเยน





    สาวๆก็นั่งเมาท์มอยกันไปเพลินๆ ถามไถ่ประวัติกันนู่นนั่นนี่ สักพักพวกเราก็เดินออกมาทานข้าวกัน ข้าวมื้อแรกที่คนญี่ปุ่นพาไปทานคือซูชิสายพานค่ะ ร้านจะเล็กหน่อย แต่ด้วยความที่ร้านดังลูกค้าจึงเยอะมากกก แน่นเต็มร้านเลยค่ะ พวกเราเลยต้องขึ้นไปรอที่โซนรับรองบนชั้นสอง ทางร้านก็จะเสิร์ฟชาเขียวร้อนมาให้ พอที่ว่างเราจึงลงไปทานกันค่ะ ซึ่งซูชิที่ร้านนี้เป็นแบบสายพานก็จริง แต่ก็สามารถเขียนสั่งในใบที่วางอยู่ด้านหน้าเราแล้วยื่นให้พนักงานได้เลย นี่ก็สั่งแบบเขียนในใบเอาเพราะว่าไม่เอาวาซาบิ ติ๊กสั่งง่ายหน่อย จานสีขาวก็จะเรทปกติ จานสีแดงก็จะเป็นจานพิเศษหน่อย ราคาก็จะแพงขึ้นมาค่ะ (เขียนสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่นเน่อ ก็เขียนคันจิตามรูปที่เราอยากกินนั่นแหละ ฝึกคัดไปในตัว 5555555) อาหารร้านนี้ก็อร่อยใช้ได้สมราคา เมนูแนะนำคือแซลม่อนรมควัน อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก มากๆๆๆๆ เนื้อนุ่มละลายในปากเลย เสียดายที่กินไหวแค่จานเดียว เพราะพึ่งเห็นเมนูนี้ตอนที่กินอิ่มแล้ว ส่วนเมนูอีกเมนูที่อยากแนะนำให้สายแข็งลองทานคือซูชินัตโตะ (ไม่แนะนำให้ลองทานตอนที่กินอิ่มแล้วแบบที่นี่โดน ของเก่าแทบพุ่ง) ใครมีโอกาสไปทานก็ลองดูกันได้นะ 555555


    เมนูคร่าวๆของทางร้าน 

    ยกให้แซลม่อนรมควันเป็น MVPของมื้อนี้  T_T



    อ้อ ตอนที่ทานซูชิอยู่ นี่ก็โดนถ่ายตอนกินไปด้วยนะ ยังกับโดนถ่ายเรียลลิตี้สดคนอ้วน2017 ณ ร้านซูชิ คือเค้าเอากล้องตัวเล็กๆมาวางไว้ที่ด้านหน้าจานเลย มุมเสยด้วย หน้าออกมาดูไม่ได้แน่ๆ ฮือ อยากจะร้องไห้ T_T ตอนทานก็ต้องโดนสัมภาษณ์ไปด้วยตลอดเวลา เหมือนถ่ายทำรายการอาหารแบบนั้นเลยค่ะ คนญปก็จะแนะนำเมนูนั้นๆนี้ๆ ลองทานนี่ดูๆ เราก็มีหน้าที่กินๆ แล้วก็โออิชี่เดสึ~~ ทุกๆคำ แม้ว่าเราจะอิ่มมากจนยัดไม่ไหวแล้วในช่วงท้ายๆก็ตาม แต่สรุปก็ล่อไปสิบกว่าจาน ไข่ตุ๋นอีกหนึ่งถ้วย (ซึ่งไม่หมดค่ะ ขอโต้ด T^T) ตามวิถีคนอ้วนจริงๆ ส่วนค่าเสียหายมื้อนี้ก็อยู่ที่เกือบๆสี่พันเยน ไม่แพงมากอย่างที่คิด อาหารก็รสชาติดีด้วย <3



    ปล. ตอนเดินออกจากร้านหน้าเกือบทิ่มเพราะหนักพุงมาก ..

    ปล.2 ไปโดนซูชินัตโตะให้ได้นะ อยากให้ได้อยากให้โดนกันถ้วนหน้า ? 






















เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in