เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
บนกำแพงที่ยาวที่สุดในโลก
  • 9 May 2017






    เหยียบแดนมังกร

    ไฟล์ทสู่จีนแผ่นดินใหญ่เป็นไฟล์ทที่ขึ้นชื่อลือชาถึงความพีคของเหล่าพี่น้องจากแดนมังกร ลูกเรือหลายคนต่างเข็ดขยาดกับการทำไฟล์ทเหล่านี้ บางคนถึงกับแลกออกรัวๆ ไม่เอาแล้ว พอกันที ซึ่งเท่าๆที่เราได้รับฟังและสอบถามความคิดเห็นของลูกเรือแต่ละคนที่สาธยายถึงความเยอะสิ่งของไฟล์ทจีน

    เราก็สามารถสรุุปความพีคของแดนมังกรได้ ดังนี้...




    ประการแรก คือ พี่แกไม่พูดภาษาอังกฤษใดๆ พี่จะพูดแต่จีนใส่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าจะผมดำ ผิวสี หรือผมทองตาฟ้า พี่แกจะพูด พูด พูด พูดในสิ่งที่ตนต้องการ





    ประการที่สอง คือ นอกจากจะรัวจีนใส่มนุษย์ทุกคนแล้ว พี่แกมีนิสัยชอบดึง สมมติเวลาเราเดินผ่าน หรือเราทำเซอร์วิส จะชอบมาดึงแขน ดึงมือ กระตุกเสื้อยิกๆๆๆๆๆๆๆ และรัวภาษาจีนใส่เรา ซึ่ง... มนุษย์ฝรั่งจะรู้สึกว่า เชี่ยยย นี่มันอะไรกันนี่ มีสิทธิ์อะไรมาถึงเนื้อถึงตัวฉัน(กู)ขนาดนี้(วะ) ไม่โอเคคคคคค





    ประการที่สาม คือ พวกเขากินทุกอย่าง... ขึ้นเครื่องปุ๊บ ขอน้ำร้อนก่อนเป็นอันดับแรก (ฮ้อทเตอะว้อออเต้อ) และเรียกร้องจะกินตั้งแต่เครื่องยังไม่เทคออฟ พอเริ่มเซอร์วิสปุ๊บก็กินตามปกติ อันนี้ค่อนข้างง่าย ถ้าเนื้อหมดก็กินไก่ได้ ไม่เรียกร้อง มีอะไรก็กิน ซึ่งดี ทำให้ชีวิตแอร์ง่าย ไม่ต้องไปตามหาจากคาร์ทของคนอื่น


    พอจบเซอร์วิสปุ๊บ แอร์ยังไม่ทันได้พักหายใจ ดื่มน้ำ กินข้าว ทุกคนจะตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมขอ คัพปะนู้เดิ้ล (บะหมี่ถ้วย มีสามรส มีให้ฟรีในไฟล์ทเอเชียต่างๆ) ซึ่งเมื่อมนุษย์คนที่หนึ่งขอ ก็จะมีคนที่สอง สาม สี่ ห้า และหกก็จะตามมา จนผู้โดยสารเกือบสามร้อยชีวิตแม่งขอหมด โอ้มายก๊อดดดดดดดดดดดดดดด (สำเนียงคนเล่าเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์มากๆ) แล้วพอจะทำเซอร์วิสที่สอง ทุกคนก็กินอีก กิน กิน กิน กิน กิน ไม่หยุดยั้ง เคยมีเหตุผู้โดยสารทะเลาะกันเรื่องจะเอาบะหมี่ด้วย แย่งกันไปมา แอร์กำลังจะยื่นให้ผู้โดยสารคนนี้ อีกคนอยู่ๆก็หยิบปาดหน้าเอาไปเลยต่อหน้าต่อตา งงเด้ งงเด้





    และประการสุดท้าย คือ กลิ่น หลังจากเครื่องเทคออฟปุ๊บ เหล่าผู้โดยสารก็จะ take off their shoes เช่นกัน ซึ่ง... กลิ่นแม่งเปรี้ยวมาก คละคลุ้งจรุงใจไปตลอดการเดินทางเกือบเก้าชั่วโมง (เชี่ย...ข้อนี้แม่งพีคสุด)







    เราจึงหลีกเลี่ยงการทำไฟล์ทจีนมาตลอด กลัว รู้สึกว่าเลเวลเรายังไม่อัพไปถึงขั้นนั้น เลือกทำแต่อะไรที่ง่ายๆและดีต่อใจดีกว่าเนอะ และเดชะบุญที่ตารางบินเราก็ไม่เคยได้ไม่เคยโดนไฟล์ทจีนเล้ยตลอดหนึ่งปีกับสี่เดือนที่ผ่านมา ยิ่งเห็นเหล่าทัวร์จีนที่มาเที่ยวเมืองไทยแล้วก็ยิ่งขยาด เพราะเราจะขึ้นไปอยู่บนกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมไร้ทางออกบนความสูงสี่หมื่นฟุตเหนือระดับน้ำทะเลกับเหล่าทัวร์นั้น


    แต่ชีวิตของคนเราจะปราศจากความท้าทายใดๆหากเราไม่กล้าก้าวออกจาก Comfort Zone สู่โลกกว้าง ในที่สุดเราก็รวบรวมความกล้าบิดไฟล์ทไปปักกิ่ง จุดหมายปลายทางในใจคือกำแพงที่ยาวที่สุดในโลก เพราะ ไหนๆก็เกิดมาทั้งที...








    ชีวิตนี้ต้องได้ไปปีนกำแพงเมืองจีนเว้ย





    เชี่ย ยังไงก็ต้องทำไฟล์ทจีนใช่ป่ะวะ














  • ความพีคที่มีอยู่จริง


    ตั้งแต่เริ่มไฟล์ทมาก็ประสบพบกว่าความพีคตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าเครื่อง อยู่ๆเพอเซอร์ก็ประกาศผ่านระบบ intercom ในเครื่องว่า




    เนี่ยยยยยยยย เครื่องบินเพิ่งแลนด์ดิ้งมานะ
    ยังไงช่วยกันดูด้วยว่ามีขยะอะไรอยู่ตรงไหนรึเปล่า เช็คให้หมดทุกที่เลยน้า
    ตั้งแต่ช่องใส่ของหน้าที่นั่งกับตรงที่ว่างระหว่างหน้าต่างกับเบาะด้วยนะทู้กคนนนน





    เราหันไปสบตากับจอร์จ ลูกเรือชาวจอร์แดนที่ต้องเช็คเคบินฝั่งตรงข้าม จอร์จกรอกตา ทำปากขมุมขมิบว่า "This is too much! So annoying! We know what to do." เรากำลังจะอ้าปากตอบ ซีเนียร์ก็เดินนวยนาดมาแล้วบอกว่า "Check EVERY SINGLE THING" พร้อมขยิบตาให้หนึ่งที



    เรากับจอร์จหันหน้ามามองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ซีดกว่าเดิม อ่านปากกันเองได้ใจความว่า "ASSET!"






    ช่วงอธิบายขยายความมมมมมมม

    Asset คือ การทดสอบสกิลการตรวจหาวัตถุต้องสงสัยบนเครื่องบิน กล่าวคือ ก่อนที่เครื่องจะพร้อมให้บริการนั้น พวกเราเหล่าลูกเรือที่ได้รับการเทรนนิ่งอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยจะต้องทำการตรวจสอบเช็คอุปกรณ์ต่างๆบนเครื่องบิน พร้อมทั้งตรวจสอบในเคบินว่าเจอวัตถุแปลกปลอมต้องสงสัยอะไรรึเปล่า โดยลูกเรือแต่ละคนจะมีบริเวณที่ต้องรับผิดชอบเป็นของตัวเอง


    ทีนี้ ด้วยความที่สายการบินกล้วว่า เฮ้ย พวกเราจะตรวจกันไม่ละเอียด มีจุดบกพร่องต้องแก้ไข ก็เลยมีการทดสอบพวกเราอยู่บ่อยๆ โดยการแอบเอาสิ่งของอันตรายต่างๆไปซุกซ่อนอยู่ในเคบิน หาเจอก็ผ่าน หาไม่เจอก็สอบตก ต้องไปพบกับเมเนเจอร์และโดนส่งไปเทรนนิ่งกันใหม่


    เพราะงานหลักของลูกเรือไม่ใช่การให้บริการที่สุดแสนจะสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร แต่เป็นการรักษาความปลอดภัยในชีวิตของทุกคนบนเครื่องบินนั่นเองงงงงงงง






    (ตัดภาพกลับมาสู่เคบินแต่ฉากหลังเป็นซีนปล่อยตัวผู้เข้าแข่งกันในฮังเกอร์เกม)





    เพอเซอร์ประกาศว่าให้ลูกเรือเริ่มทำ Security Search ได้ ทุกคนถือ Check list ในมือพร้อมและค่อยๆเช็คในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองไปเรื่อยๆ มีเวลาประมาณ 12 นาทีที่จะตามหาสิ่งที่ถูกซุกซ่อนไว้


    ซักพักคนนู้นก็ประกาศผ่านระบบ intercom ว่าเจออันนั้น อีกคนก็ประกาศว่าเจออันนี้ คือเครียดมาก เชี่ยยย ทำไมกูไม่เจอวะ ที่กูไม่เจอนี่เพราะตรงกูไม่มีหรือกูหาไม่ดีกันแน่ โอเค วนใหม่ ทำใหม่


    ปกติทุกคนก็เช็คกันดีแล้วแหละ แต่พอเจอแบบนี้มันพารานอยไปเองว่าเชี่ย หรือว่าหาไม่เจอวะ เป็น 12 นาทีแห่งความตึงเครียดที่แท้จริง จนกระทั้งเพอเซอร์บอกว่าหมดเวลา ให้แต่ละคนสแตนด์บายที่พื้นที่ตัวเอง และโทรเช็คว่าเรียบร้อยมั๊ย แล้วค่อยมาเฉลยว่าพวกเราตามหาขอได้ครบหมด ผ่าน ฮูเร่






    กว่าจะผ่าน เล่นเอาใจหายใจคว่ำ
    นี่ยังไม่บอร์ดดิ้งผู้โดยสารขึ้นเครื่องเลย ทำไมมันพีคงี้วะ














  • ระหว่างการบอร์ดดิ้งก็ไม่มีอะไรมาก ทุกคนแค่พูดจีนใส่รัวๆ มีบ้างที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็ช่วยๆกันแปล รู้สึกเหมือนเวลาไปเที่ยวบ้านเพื่อนแล้วอากงอาม่าเป็นคนจีน พูดแต่จีนอะ คือม่าอยากคุยกับเราเว้ย แต่ติดตรงที่คุยกันไม่เข้าใจ ต้องให้ผู้โดยสารคนอื่นช่วยแปล ไม่ก็เรียกลูกเรือที่พูดแมนดารินได้มาช่วย



    ระหว่างทำเซอร์วิสก็โอเค กลิ่นไม่แรงมากเพราะไม่ค่อยถอดรองเท้ากัน คุยอะไรกันไม่รู้เรื่องเท่าไรแต่ส่งอะไรให้ผู้โดยสารก็โอเค กินได้หมด ไม่เกี่ยงงอนใดๆ จนใจชื้นว่า เฮ้ยยยย มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า แต่ลูกเรือฝรั่งเริ่มสติแตกแล้วจ้า เริ่มมีความหงุดหงิดรำคาญใจ ต้องคอยปลอบว่า Deep breath.... Think about the wall... Calm downnnnnnnnnn... อย่าเพิ่งหัวร้อน ใจเย็นก่อนเด้ออออออ





    จนกระทั่งจบเซอร์วิส ความสนุกสนานก็เริ่มขึ้น เหล่าผู้โดยสารเริ่มสวนสนามมาขอคัพปะนู้เดิ้ล ขอฮอตเตอะว้ออออเต้ออออ เราวุ่นตลอดกับการทำนู่นทำนี่ในครัวกลาง และซีเนียร์ก็เริ่มออกลายร้ายๆ มาแซะะบ้างอะไรบ้างว่าเนี่ย อยู่กันแต่ที่ครัวกลางนะ ไม่มาช่วยตรงนี้เลย คือเป็นการพูดขำๆ หัวเราะแบบร้ายๆกลบเกลื่อนว่าล้อเล่น แต่จริงๆแม่งแซะ


    ลูกเรือก็รำคาญกัน ทนนางไม่ค่อยไหว แอบมาบ่นกระปอดกระแปดใส่กันเอง คืองานหนักไม่ว่า แต่ถ้าซีเนียร์เชี่ยก็เริ่มไม่ดีล่ะ ไฟล์ทจะซัฟเฟอร์ทรมานใจมากกว่าเดิมไปอีกสิบเท่า





    พอเริ่มเซอร์วิสที่สอง ปรากฎว่าลูกเรือที่ขายดิวตี้ฟรีหายตัวไปจ้า ระบบตอนทำงานมันก็เลยรวนเพราะนางหายไปไหนไม่รู้ สรุปข้าพเจ้าผู้ดวงซวยก็ต้องทำคาร์ทของว่างเองคนเดียว เก๋ๆไปอี๊ก


    นอกจากนี้ยังเจอผู้โดยสารมหาสนุกด้วยจ้า ระหว่างที่เสิร์ฟอยู่ผู้โดยสารชายท่านหนึ่งก็เอื้อมมือมากระตุกเสื้อยิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราก็หันไปด้วยความหงิดใจว่าจะเอาอะไรหรือ เสิร์ฟให้แล้วงายยยยย เขาก็โบกไม้โบกมือ รัวจีนใส่ เราก็ห้ะ อะไร ไม่เข้าใจ ไอด้อนอันเด้อสะแตนนนนนนนนนนน (ต้องพูดอังกฤษสำเนียงไทย ถ้าอังกฤษจ๋า อเมริกันไปจะไม่เข้าใจกันเว้ย เขาฟังไม่ออก)


    เขาก็ชี้ๆไปที่ผู้โดยสารอีกคนนึง แบบชี้ๆๆๆๆๆๆอะ เราก็อ้อ ให้เรียกคนนั้นให้หรอ เราก็ไปสะกิดคนนั้นให้ เขาก็หันมาแบบงงๆ พูดจีนใส่กัน แล้วก็โนๆๆๆๆๆๆ ใส่เรา





    ห้ะ อะไรวะ





    ทีนี้คนรอบข้างลุงคนนั้นก็ช่วยกันอธิบาย แต่ทุกคนพูดจีนเว้ยยยยยย คือเสียงเซ่งแซ่มากๆ เรานี่อยากกรี๊ดก็อยากกรี๊ด อยากขำก็จะขำ เลยขำเลย แล้วก็โอเคๆ คามดาววววววว วันบายวัน ยู (ชี้ไปที่ลุง) สปี๊กกกกก!


    ลุงก็พูดจีนไปทำมือเป็นสี่เหลี่ยม แล้วชี้ไปที่ผู้โดยสารคนเดิมที่เราไปสะกิด แล้วก็ทำท่าวิ่งๆ




    เชี่ย เหมือนเล่นเกมทายคำ




    ตอนนี้เราก็ไม่พูดอังกฤษใส่ลุงแล้ว พูดไทยเลยละกันถ้าจะไม่เข้าใจกันขนาดนี้ สี่เหลี่ยม วิ่งๆ อะไรวะ เลยชี้ไปที่จอทีวีแบบมั่วๆ ลุงก็เยสสสสสสส ด้วยความดีใจ


    โอเคลุงจะดูทีวี แต่อะไรคือวิ่งๆ ลุงก็เรียกให้คนข้างๆลุงลุกขึ้นมาวิ่งด้วยกันสองคนหนุงหนิง เชี่ย อะไรวะ วิ่งกันสองคน อยู่ในทีวี แม่งต้องเป็นช่องกีฬาแน่นอน


    ฟุตบอล? เรากดเปิดทีวีไปที่ช่อง Live TV ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอล


    ลุงก็เยสสสสสสสสสสสสส กองเชียร์ที่คอยลุ้นอยู่ก็เฮ ตบมือกันเปาะแปะ ทุกคนขำ เราเองก็ทรุดลงไปนั่งขำ ลุกยืนขึ้นมาถอนสายบัวยิ้มแฉ่งให้ทุกคน ลุงๆป้าๆก็เซี่ยๆ แซงคิวๆกันยกใหญ่ ตลกไปอี๊กกกกกกก





    พอเข็นคาร์ทกลับไปที่ครัวก็สัมผัสได้ถึงความดราม่าเรื่องลูกเรือที่ทำดิวตี้ฟรีหายตัวไป จะรีพอร์ตกันอีกอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ ซึ่ง...ไม่ใช่เรื่องของเราก็ปล่อยผ่านไป ไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเด็นดราม่าใดๆ บายจ้าาาาาา (แต่ก็ไปเผือกต้นตอสาเหตุอะไรมาหมดเรียบร้อยแล้ว)











  • ของขวัญจากผู้โดยสาร


    ในความพีค ความพัง ความเหนื่อยยาก ความดราม่า และความตลกตลอดเวลา 8 ชั่วโมงก็มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นตอนแลนดิ้ง ผู้โดยสารที่นั่งตรงข้ามเราระหว่างเทคออฟและแลนดิ้งที่เราเล็งไว้แล้วว่าหล๊อหล่อ ตาตี่ ผิวแทนๆ มีกล้าม อื้อหือออออ ชายในฝัน ส่องมาตลอดตั้งแต่ตอนบอร์ดดิ้งเดินเข้ามาทักว่า Are you from Vietnam?



    เราก็ตอบไปว่ามาจากเมืองไทย นางก็น่ารัก ขอโทษขอโพยใหญ่เลย บอกว่าเราไม่เหมือนคนไทยเลย (อ้าว ทำไมละวะเฮ้ย) และก็ชวนคุยนี่นั่นนู่นโน่น รู้หมดว่านางทำงานอยู่ที่ลอนดอน กลับบ้านมาเยี่ยมครอบครัวงั้นงี้ นางบอกว่าเนี่ย สังเกตมาตลอดเลยว่ายูไม่ได้พักเลย เลยเอาอันนี้ให้ ว่าแล้วก็หยิบเอากล่องขนมมายื่นให้


    กรี๊ดอยู่ในใจว่าเขาใจดีจังเลย เขาต้องมีใจให้ฉันเป็นแน่แท้ (แอร๊) ในใจแบบเอาไงดีวะ เนียนขอเฟสบุ๊คเผื่อถามเรื่องเที่ยวก็ไม่ได้อีก ที่นี่บล็อก จะขอไอจีก็ไม่ได้อีก บล็อก ต้องท่องไว้ว่าใจเย็นๆ มีคนไกลตัวแต่ใกล้ใจรออยู่เด้อ























    ซื้อมาจากสวิสเก๋ๆ เป็นช็อคโกแลตไส้ส้ม รสชาติอร่อยแบบแปลกๆดี เสร็จลูกเรือหมดจ้า












  • อากาศแย่

    พอถึงโรงแรมปุ๊บก็เกิดอาการหิวขึ้นมา ตอนแรกเราชวนลูกเรือเกาหลีไปกินฮอทพอตจีนกัน นั่งแท็กซี่ไป แต่พอไปคุยกับทางโรงแรมก็ได้ความว่าร้านปิดไปแล้วจ้ะ เลยเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆโรงแรมแทน


    ก่อนออกไปก็เปิดมือถือเช็คสภาพอากาศ พบว่าแย่มาก....






    เดินออกไปนอกอาคารก็รู้สึกว่ามีฝุ่นในอากาศ มีอาการแสบจมูกแสบคอ ไม่กล้าหายใจมากเท่าไร พอไปถึงร้านค้าก็กวาดทุกอย่างที่อยากกินตามภาพ








    เป็นข้าวกล่องที่รสชาติเหมือนหมูพะโล้บ้านเราเป๊ะ ข้าวปั้นที่เป็นกุ้งอร่อยดี อันที่เป็นปลาหมึกรสชาติเชี่ยมากกกกกก ส่วนคัสตาร์ดอร่อยกรุบกริบ













    มีขายน้ำเต้าหู้ร้อนด้วยนะจ๊ะ อร่อยดี บอกเขาได้ว่าไม่เอาหวานๆ
    กินเสร็จก็เดินกลับไปนอนตอนตีสี่(เวลาเที่ยงคืนที่ดูไบ) เดี๋ยวนี้ร่างกายเริ่มเจ๊งๆพังๆ ถ้าเวลาบวกลบเกิน 3 ชั่วโมงจกดูไบจะเริ่มปรับสภาพร่างไม่ได้แล้ว สิริรวมเรานอนไปได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ฝืนตัวเองลุกขึ้นมาเที่ยวต่อ เฮ
















  • กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก


    รุ่งเช้าเรามีเวลาไปเที่ยวทั้งวันเลยตัดสินใจเหมารถไปพร้อมกับลูกเรือคนอื่น เพราะจุดหมายปลายทางของการทำไฟล์ทนี้ที่แท้จริงของพวกเราทุกคนคืนการไปปีนกำแพงเมืองจีนนั่นแหละ (ถ้าไม่ใช่เพราะอยากมาเห็นกำแพงซักครั้งในชีวิตก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะทำไฟล์ทนี้ - มิตรสหายลูกเรือท่านหนึ่งกล่าวไว้)



    เราเจอลุงคนขับตอนเจ็ดโมงครึ่ง เป็นคุณลุงอายุประมาณ 50 กว่าปีที่ใช้เสียงเรียกเข้ามือถือเป็นเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ พูดอังกฤษไม่ได้(ซึ่งจอร์จก็ได้พยายามคุยกับลุงผ่าน google translate) และในรถเปิดเพลงจีนแอโรบิคแบบที่อาม่าเต้นกันในสวนลุม


    ครื้นเครง รื่นเริง บันเทิงใจเหลือเกิน



















    เรานั่งรถมุ่งหน้าไปที่ Mutianyu Great Wall ซึ่งเป็นจุดชมกำแพงเมืองจีนที่ใกล้กับกรุงปักกิ่งมากที่สุด ซื้อบัตรเข้าไป 190 หยวน






































    ไล่มาจากฝั่งซ้ายมือ ใบแรกเป็นบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับของโบราณที่ขุดพบในบริเวณกำแพงเมืองจีน ใบที่สองคือบัตรสไลด์เดอร์ที่เราจะเล่นตอนลงมาจากกำแพง ใบที่สามคือตั๋วนั่งกระเช้า และใบสุดท้ายคือตั๋วรถบัสรับส่ง









    ก่อนไปปีนกำแพงเราก็เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งเราค้นพบป้ายในห้องน้ำที่น่าสนใจ ดังนี้

















    แอบสงสัยว่ามัน Only in China หรือว่ามันใช้คำแบบนี้กันทั้งโลกนะ....








    เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปขึ้นรถบัสขึ้นไปบนเขากันจะ สองข้างทางก็เป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกกุ๊กกิ๊กน่ารักแต่โคตรแพง ต้องต่อเยอะๆ ซึ่งเราผู้มีสกิลการต่อราคาของเท่ากับศูนย์ก็ขอบายยยยย ไม่ซื้อ ไม่สบตา ไม่เดินเข้าใกล้แผงใดๆทั้งสิ้น กลัวววว




























    วกกลับมาเรื่อง Mitianyu กันต่อ คือจากที่เราอ่านป้ายนี่นั่นนู่นโน่นก็สรุปใจความได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการชมกำแพงเมืองจีน เนื่องจากมีหอสังเกตการณ์ 3 จุดที่หาชมได้ยาก มีทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตรึงใจทั้งทางธรรมชาติที่งดงามทั้ง 4 ฤดู และทัศนียภาพของกำแพงเมืองจีนที่ทอดยาวไปตามไหล่เขาเหมือนกับมังกรที่กำลังบินขึ้นลงไปตามเหลียมผา








    บัสมาจอดตรงสถานีบนเขา จากจุดนี้เราก็จะนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปด้านบน เราเป็นบัดดี้คู่กันกับอินนา ลูกเรือชาวเกาหลี จริงๆแล้วเขามีกระเช้า 2 แบบคือแบบที่เรานั่งกับแบบที่เหมือนกับนองปิงที่ฮ่องกง (แน่นอน เราเลือกอันที่ถูกกว่า) และสำหรับใครที่มีเวลาก็สามารถเดินเท้าขึ้นไปที่กำแพงได้นะจ๊ะ


















    สำหรับตัวกระเช้าค่อนข้างเก่านิดหน่อย มีเสียงแก๊กๆพอให้ตื่นเต้นลุ้นระทึก

















    ต้นไม้เขียนขจีเต็มไปหมดเลย รู้สึกได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ อาหหหหหหห์
    กำลังจะหายใจเข้าไปเต็มปอด อินนาออนนี่ก็เตือนว่า ไหนเมื่อคืนอากาศมันแย่ไง! อย่าสูดเยอะ!!






    และแล้วเราก็ขึ้นมาถึงฮะ ครั้งหนึี่งในชีวิตกับการเหยียบกำแพงเมืองจีนนนนนนนนนน ไฟนอลลี่เว้ยยยยทุกคนต่างกระจัดกระจายไปถ่ายรูปกันยกใหญ่ หยิบกล้อง DSLR บ้างล่ะ Gopro งู้นงี้ออกมาแชะภาพถ่ายคลิปกันใหญ่

















    จากตรงจุดลงจากกระเช้า เราเลือกเดินมาทางซ้ายมือ ทะลุป้อมปราการมาเรื่อยๆซึ่งทางค่อนข้างชันเลยแหละ ขึ้นลงสลับกันเยอะมาก เหนื่อยเหลือเกิน











    มีปืนเหล็กที่ใช้กันในสมัยก่อนให้ดูด้วยเด้ออออ
















    วิวสวยจริงๆแหละ ภูเขางดงามเขียวขจีมากๆ















    เอามือไปแตะพอ ไม่ขีด ไม่เขียนอะไรใดๆ
    Take only memories, leave only your footprint. เด้อออออ
















    อันนี้เราปีนขึ้นไปด้านบนของหอสังเกตการณ์ ได้ภาพนี้มา
    จะเห็นว่ากำแพงมันทอดยาวไปไกลสุดสายตาเลย
















    สังเกตดีๆที่ภูเขาตรงกลางภาพก็จะเห็นแนวของกำแพงอยู่




    พอมายืนดูอะไรแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเรานี่ตัวเล็กจริงๆ และกำแพงเมืองจีนนี่มันสุดมาก





    เออ This is The Great Wall. จริงๆแหละ






    ความ Man-made นี่มันน่าทึ่งดีนะ เอาจริงๆมนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างสรรค์อะไรได้มากมาย
    และทำลายล้างอะไรไปเยอะแยะมาก เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความทะเยอทะยานสูงมากจริงๆ











    เนี่ย ทางมันขึ้นชันมากจริงๆแหละ เดินขึ้นกันจนหอบ

















    เหนื่อยสุดแต่ก็ใจสู้เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนอื่นเริ่มเหนื่อยๆเนือยๆก็เดินกลับล่ะ
















    อ้อ... มีอีกเรื่องนึงที่พีค(สัสๆ) คือ ภาพนี้ค่ะ....









    ด้วยรักจากทะเลทราย สะเทือนใจนำเสนอ


    กำแพงเมืองจีน กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก และ เสาโทรศัพท์ !!!!











    ไอ้เชี่ย!
    ใครสั่งใครสอนให้เอาเสาโทรศัพท์มาตั้งข้างๆมรดกโลกวะ!?










    พีคไปอี๊ก ช็อกมาก สะเทือนใจสุด....










    หลังจากที่เดินปีนกันจนเหนื่อยก็ลองเดินมาอีกทางนึงบ้าง(เลี้ยวซ้ายจากจุดลงกระเช้า) ก็พบกับมุมถ่ายรูปตามประเพณีนิยม ฝั่งนี้เดินง่ายกว่ามาก เป็นทางเรียบๆตรงๆ ใครจะพาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวก็จงเลือกเดินทางนี้นะ อีกทางมันทรหดเกิ๊นนนนนน








    พอเริ่มเที่ยงๆมนุษย์ก็เริ่มขวักไขว่ ต้องเดินหลบมุมกล้องกันไปมา

















    ชอบรูปนี้ที่สุดตั้งแต่ถ่ายมาตลอดเช้า


















    ไหนๆก็มาแล้ว โดดเป็นที่ระลึกไว้หนึ่งภาพ ได้มาเหยียบแล้วนะจ๊ะ เย้เฮ











    ทีนี้ก็ได้เวลาลงแล้ว ซึ่งตั๋วขาลงของเราคือตั๋วเล่นสไลด์เดอร์! มันก็เป็นที่นั่ง มีคันโยกให้บังคับความเร็วแล้วก็สไลด์ลงมาเรื่อยๆ สนุกดีแหละ








    คุณลุงคนนี้ตลกมาก แกนั่งทายว่าแต่ละคนมาจากประเทศอะไร
    ซึ่งรอบนี้เราโดนมาเลเซียจ้าาาาา พอบอกว่าหว่อชื่อไท่กั๋วเหรินปุ๊บลุงแกก็สวัสดีคร้าบบบบบบ
    และอธิบายทุกอย่างเป็นภาษาไทยว่าแบบนี้คือไปช้าๆ ดึงแบบนี้คือไปเร็วๆ ฮามากกกก

















    สไลด์ฟู่ววววลงไปแบบไม่มีเบรก สนุกดีแหละ










    จากนั้นเราก็เดินเข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์นิดๆหน่อยๆระหว่างที่คนอื่นๆช้อปปิ้งซื้อที่ติดตู้เย็น จากนั้นก็หลับยาวจนกลับมาถึงโรงแรม เรากับอินนาข้ามไปที่ห้างฝั่งตรงข้ามโรงแรมเพื่อหาอะไรกิน ก็ไปจบที่ร้านบะหมี่ซักอย่างที่รสชาติปะแล่มๆแปลกๆดี












    แต่ที่อร่อยๆจริงๆคือสิ่งนี้ มันเป็นชาสมุนไพร เรียกว่าอะไรไม่รู้แหละ เราเคยเห็นตอนที่ไปกินชาบูมองโกเลียที่ดูไบ(เป็นร้านประจำของเราเอง อร่อยมากกกกกกกก) แล้วโต๊ะข้างๆสั่งกันหมดเลย พอมาถึงที่นี่ก็เอาวะ ลองบ้าง เฮ้ยยยยยยย มันดีมากกกกกกกกก อร่อยยยยยยยยย ไปลองงงงงงงงงงง











    จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เราหลับยาวววววววววว จนกระทั่งเวคอัพคอลตอนเช้าวันรุ่งขึ้น กลับไปต่อสู้กับไฟล์ทต่อ แต่ขากลับค่อนข้างโอเคเพราะผู้โดยสารน้อยม๊ากกกก ร้อยนิดๆเท่านั้น ก็นั่งถ่างตาเม้ามอยกันไปจนกระทั่งแลนด์ที่ดูไบนั่นแหละ










    และก็ไม่ลืมถ่ายรูปซิกเนเจอร์ ด้วยรักจากกำแพงเมืองจีนนนนนนนน





















  • ช้าก่อนท่านผู้อ่านที่น่ารัก!

    อย่าเพิ่งกดปิดไป เรื่องราวของเรายังไม่จบนะจ๊ะ






    อันนี้เป็นเรื่องราวความประทับใจส่วนตัวที่อยากจะมาเล่าให้ฟัง
    คือระหว่างทางขากลับพวกเราได้รับโทรศัพท์จากห้องนักบินว่า





    ตอนนี้เรากำลังจะบินผ่านเทือกเขาหิมาลัยตรงมองโกเลีย
    ถ้าลูกเรือคนไหนสนใจอยากมานั่งดูวิวในห้องนักบินก็เชิญได้เลยตามสบาย





    พวกเราเลยสลับกันเข้าไปถ่ายรูปคนละแชะสองแชะ
    และก็มานั่งท้ายเครื่อง เปิดหน้าต่างดูวิวของเทือกเขาหิมาลัยไปเรื่อยๆ






































    รู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวและโลกนี้ช่างกว้างนัก
    กว้างเกินกว่าที่เราจะเห็นความงดงามทั้งหมดได้ในช่วงชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง
    ก็จะพยายามไปเห็นและสัมผัสให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้





















    ด้วยรัก...จาก 32,100 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in