เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Films speak for mepuroii
Dr. Strangelove (1964) : สัญลักษณ์ทางเพศและสงครามเย็น
  • ผู้กำกับ : Stanley Kubrick
    นักแสดงPeter Sellers, George C. Scott, Sterling Hayden


    Dr.Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb เป็นภาพยนตร์ขาวดำตลกร้ายของสแตนลีย์คูบริก ที่สร้างมาจากนิยายเรื่อง Red Alert ของปีเตอร์ จอร์จเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนายพลแจ็ก ดี. ริปเปอร์ ที่จู่ๆ ก็สั่งการให้กองกำลังทางอากาศของสหรัฐอเมริกาถล่มอาวุธนิวเคลียร์ใส่สหภาพโซเวียตโดยไม่ทราบเหตุผลทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อหยุดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนที่อะไรๆ จะสายไป


    ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายในช่วงสงครามเย็นพอดีซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 2 ปีหลังจากวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา (Cuban Missile Crisis) ในปี 1962 สแตนลีย์ คูบริก ใช้ประเด็นหนักๆ อย่างสงครามมาเล่าให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันสร้างความเหนือจริง (surrealism) ให้กับความเสมือนจริง (realism)


    Dr.Stangelove เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ใช้อุปลักษณ์ทางเพศในการสื่อถึงสงครามเย็นได้เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจะลงรายละเอียดต่อไป

          



              Dr.Strangelove พูดเรื่องเซ็กส์ผ่านสิ่งที่ซิกมันด์ ฟรอยด์อาจเรียกว่า oral และ genital เราจะเห็นตั้งแต่ฉากเปิดภาพยนตร์ว่ามีเครื่องบิน 2 ลำ ลำหนึ่งยื่นชิ้นส่วนเข้าไปเติมเชื้อเพลงหรือปล่อยน้ำมันให้กับเครื่องยนต์อีกลำหนึ่ง โดยมีเพลง Try A Little Tenderness บรรเลงอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งภายในของเครื่องบินยังเปรียบเสมือนมดลูกที่บรรจุนักบินหรือตัวอ่อนเอาไว้อีกด้วย ฉากนี้เป็นภาพเปิดที่แสดงถึงการร่วมเพศและอีกหลายอย่างที่กำลังจะตามมา

     

              การเล่าเรื่องจะตัดสลับระหว่างฉากทั้งหมด 3 ฉากด้วยกัน นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานทัพ ฉากบนเครื่องบิน B-52 และฉากใน War room และดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักที่แตกต่างกันไป


    ฉากในฐานทัพ


    เราจะพบกับตัวละครหลักสองตัวที่ดำเนินเรื่องอยู่ในฐานทัพ ได้แก่


    Jack D. Ripper


    การจัดองค์ประกอบของภาพในซีนนี้แนะนำตัวละครโดยวางป้ายชื่อของนายพลริปเปอร์ไว้ด้านหน้า ในขณะที่เขากำลังพูดถึงการปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ โดยมีภาพด้านหลังเขียนไว้ว่า "Peace is our profession" ซึ่งแปลได้ว่า "ความสงบคืองานของเรา" แสดงความเสียดสีได้ดี


    มาเริ่มกันที่ชื่อของนายพลคนนี้กันก่อน ฟังครั้งแรกคงเอะใจกันอยู่บ้างใช่ไหม ถูกต้องแล้ว มันคือชื่อของแจ็กเดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังที่เลือกสังหารเหยื่อที่เป็นโสเภณีนั่นเอง นายพลผู้นี้ดูเผินๆ เหมือนเป้าหมายหลักของเขาคือการปล่อยอาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำลายสหภาพโซเวียต ทว่าจริงๆ แล้วเขามีปมในใจที่ไม่ยอมรับคือ “ความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ที่เราได้รับรู้จากฉากต่อสู้ในฐานทัพ ริปเปอร์พูดขึ้นมาว่า การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มเป็นแผนการร้ายของพวกคอมมิวนิสต์เพื่อทำให้น้ำในร่างกายของศัตรูโสโครก เขายังเล่าให้แมนเดรกฟังอีกว่าตนนึกเรื่องนี้ได้ระหว่างกำลังมีกิจกรรมทางเพศ ซึ่งแสดงถึงการไม่ยอมรับความจริงข้อที่ว่าเขา "ไร้น้ำยา" และโยนความผิดไปให้น้ำดื่มที่เติมฟลูออไรด์แทน ริปเปอร์เกรี้ยวกราดกับเรื่องนี้มากจนเอาความโกรธมาลงที่สงคราม


    เขามีสัญลักษณ์ทางเพศอยู่ 2 อย่างในเรื่อง คือ ซิการ์ที่เขาติดตัวอยู่ตลอดเวลา และกระบอก

    ปืนที่เขาใช้ยิงป้องกันตัวเอง จะเห็นว่าทั้งสองอย่างล้วนมีรูปร่างที่มองเป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชายได้ แปลว่าเขายึดติดกับมัน และเขาก็ตายเพราะมัน หลังจากริปเปอร์ยิงตัวเองด้วยปืนในห้องน้ำ

     

    นายพลริปเปอร์และซิการ์ที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ
    การใช้มุมต่ำในการถ่ายช็อตนี้ทำให้รู้สึกว่าตัวละครมีพลังอำนาจ
    และสื่อถึงอำนาจนิยมหรือ fascism ของตัวละคร

     

    Group Captain Lionel Mandrake



              ในยุควิคตอเรีย คำว่า Mandrake เป็นศัพท์แสลงที่หมายถึง “ชายรักร่วมเพศ” นอกจากนี้แมนเดรกยังเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีรากหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงรูปร่างมนุษย์และมีความเชื่อว่าเป็นยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ นาวาอากาศแมนเดรกจึงเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่สื่อเรื่องเพศ


              ในขณะที่นายพลริปเปอร์เป็นชายชาตรีที่แข็งแกร่ง มีความมั่นใจ แมนเดรกกลับเป็นชายผู้ไม่มีความกล้า ลองย้อนกลับไปตอนที่ริปเปอร์กำลังป้องกันฐานทัพจากผู้บุกรุกและเรียกให้เขามาช่วย แต่แมนเดรกกลับลังเล บอกว่าตัวเองไม่มีประสบการณ์มากพอและอ้างว่าขาเจ็บจากแผลเก่า บอกได้ว่าแมนเดรกไม่ใช่นักรบเท่าไรนัก และในขณะเดียวกันก็บอกได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ทางเพศหรือไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความต้องการทางเพศด้วยเหมือนกัน 


              มาถึงตอนนี้ ขอให้จำไว้ก่อนว่าแมนเดรกเป็นคนที่มีหมากฝรั่ง แต่ไม่หยิบมันมาเคี้ยว เดี๋ยวจะพูดถึงต่อไป


    ฉากใน War room



              คูบริกถ่ายทำซีนนี้ในห้องที่มีขนาดกว้างถึง 100 ฟุต ยาว 130 ฟุต และเพดานสูงกว่า 35 ฟุต โดยมีโต๊ะกลมขนาดมหึมาและไฟฟลูออเรสเซนต์รูปวงกลมด้านบน ซีนทั้งหมดในห้องนี้ค่อนข้างกินระยะเวลายาวนานและดำเนินเรื่องโดยการใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจะได้พบกับตัวละครที่สำคัญเพิ่มอีก 3 ตัว

     

    General Buck Turgidson



    ด้วยความที่ธีมหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเซ็กส์ ชื่อของพลอากาศเทอร์จิดสันจึงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ เพราะว่า buck เป็นแสลงหมายถึงการมีเซ็กส์ และ turgid หมายถึงการขยายตัว


    นอกจากชื่อแล้ว เทอร์จิดสันยังแสดงออกชัดเจนตั้งแต่ฉากเปิดตัวเขาในห้องนอนที่มีสาวสวยในชุดบิกินี่นอนอยู่บนเตียง ปรากฏว่าเธอเป็นคนรักของเขาที่เรียกว่ามิสสก็อตต์ และพวกเขากำลังจะมีค่ำคืนแสนวิเศษหากโทรศัพท์ไม่ดังขึ้นเสียก่อน


    เทอร์จิดสันโดนเรียกให้ไปประชุมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระหว่างที่อยู่ในห้องนี้ เขาเคี้ยวหมากฝรั่ง (และเหมือนอีกหลายคนที่อยู่ในภาพยนตร์) หมากฝรั่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนการยับยั้งชั่งใจเรื่องเพศหรือเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ อาจเรียกได้ว่าเป็นการช่วยตัวเองรูปแบบหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ที่คล้ายจะมาซ้อนทับกับบุหรี่ เพราะตัวละครหลักของพวกเราไม่สามารถมีเซ็กส์ได้ ริปเปอร์สูบซิการ์แทนเพราะตัวเองไร้สมรรถภาพทางเพศ เทอร์จิดสันโดนขัดจังหวะเลยมาปลดปล่อยโดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง และแมนเดรกก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องเซ็กส์ จึงไม่กล้าแตะหมากฝรั่ง


     

    Merkin Muffley



    ประธานาธิบดีในภาพยนตร์เรื่องนี้หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ Adlai Stevenson นักการเมืองอเมริกาคนหนึ่งพอดิบพอดี ซึ่งคงเป็นความตั้งใจที่จะสื่อถึงความอนุรักษ์นิยมและไม่เด็ดขาดในตัวละครนี้การกระทำของท่านประธานาธิบดีก็บ่งบอกตัวตนชัดเจน ทั้งการคุยโทรศัพท์กับผู้นำสหภาพโซเวียตแบบกันเอง ยอมให้ทำลายเครื่องบินรบของประเทศตัวเอง และยังอนุญาตให้นักการทูตของประเทศคู่สงครามเข้ามาใน war room ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความเป็นผู้นำของชายคนนี้เขาเป็นชายผู้มีเจตนาดี แต่อาจไม่ฉลาดนักในฐานะผู้นำ

    และอย่าลืมว่า Merkin หมายถึง ขนอวัยวะเพศ และ muff ก็เป็นแสลงที่หมายถึงอวัยวะเพศหญิงเช่นกัน

     

    Dr.Strangelove



              ชายปริศนาผู้เป็นที่มาของชื่อภาพยนตร์ ดร.สเตรนจ์เลิฟเป็นอดีตนักฟิสิกส์ชาวนาซีที่มีชื่อเดิมว่า "Merkwuerdigichliebe” ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า strange-love หรืออีกความหมายหนึ่งคือ โชคชะตาที่รัก เขาเป็นชายที่ต้องนั่งรถเข็นและมีมือปลอมที่ควบคุมไม่ได้ ช่วงท้ายเราได้เห็นมันยกขึ้นทำความเคารพแบบนาซี ที่บ่งบอกถึงความคิดแบบอำนาจนิยม (fascism) ของเขา รวมทั้งความคิดในภายหลังที่นิวเคลียร์ระเบิดพื้นโลก เขาเสนอให้สร้างหลุมหลบภัยใต้ดินและเลือกเพียงคนที่เหมาะสมลงไปอาศัยอยู่ในนั้นเพื่อปฏิวัติมนุษยชาติ โดยจับคู่ชาย 1 คนต่อหญิง 10 คน ทำหน้าที่ผลิตประชาชนรุ่นใหม่โดยไม่สนใจคุณธรรมและวัฒนธรรมใดๆ เป็นที่มาของความรักอันแสนแปลกประหลาดสมชื่อเขา นอกจากนี้การที่มือเหล็กมาบีบคอตัวเองและจับอวัยวะเพศเขายังบ่งบอกถึงความต้องการทางเพศลึกๆ ภายใน

              หลังจากระเบิดนิวเคลียร์แล่นลงสู่พื้นเขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ เป็นเหมือนการปลดปล่อยทางเพศอย่างหนึ่งหลังจุดสูงสุดนั่นเอง

     

    Ambassador deSadesky



    ชื่อของเขามาจากมาร์กีเดอ ซาด (Marquis de Sade) นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงเรื่องความซาดิสม์และเป็นที่มาของ sadism นั่นเอง สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถถ่ายบอร์ดวางแผนการรบโดยไม่มีใครเห็นได้ในที่สุด...

     

    Premier Kissov


    ชื่อผู้นำรัสเซีย Kissov มาจากคำว่า "Kiss-off" แม้เราจะไม่เคยเห็นตัวตนหรือน้ำเสียงของเขา แต่เราได้รับรู้นิสัยของตัวละครผ่านการคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ระหว่างที่คุยโทรศัพท์อยู่กับประธานาธิบดีสหรัฐ เขากำลังมีเซ็กส์อยู่ ซึ่งเป็นคนเดียวในเรื่องที่มีกิจกรรมทางเพศจริง ไม่ใช่แค่เชิงสัญลักษณ์

     

    ฉากบนเครื่องบิน B-52


    MajorT. J. "King" Kong



    นาวาอากาศคองเป็นนักบินบนเครื่องบินรบB-52ในตอนแรกเราจะเห็นทุกคนนั่งสบายๆ อยู่บนเครื่อง บางคนอ่านหนังสือ Playboy (ที่มีรูปมิสสก็อตต์อยู่) บางคนเล่นไพ่ บางคนอ่านหนังสือ ทุกคนดูเบื่อหน่ายและวางใจในสถานการณ์จนกระทั่งได้รับโค้ดจากฐานทัพบอกให้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ไปยังเป้าหมายสิ่งแรกที่คองทำหยิบหมวกคาวบอยมาใส่ หมวกคาวบอยเป็นสัญลักษณ์ของเท็กซัส (บ้านเกิดของเขา) และเป็นสิ่งที่บอกถึงอำนาจ


    หลังจากที่พบว่าไม่สามารถปล่อยนิวเคลียร์ได้เพราะเครื่องยนต์พังจากแรงระเบิดเขาก็ได้ปีนป่ายราว “คิงคอง” ไปยังห้องเครื่องและทำการแก้ไขจนสุดท้ายก็สามารถปล่อยระเบิดได้สุดท้ายเราจะเห็นภาพเขาขี่อยู่บนระเบิดราวคาวบอยกำลังขี่ม้าและเหวี่ยงหมวกคู่ใจไปด้วยโดยไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยในทางกลับกัน เขาส่งเสียงดีใจในขณะที่ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ และนั่นคือเสียงที่แสดงถึง “จุดสุดยอด” ของภาพยนตร์และของตัวคองเอง


    อีกอย่างหนึ่งคือ Laputa หรือสถานที่เป้าหมายของการปล่อยระเบิดนั้นเป็นแสลงภาษาสเปน แปลว่า “โสเภณี” ด้วยนะ

     

    ระเบิด



    บนระเบิด 2 ลูกมีคำว่า "Hi There" และ "Dear John" ซึ่งเป็นคำทักทายและขึ้นต้นการเขียนจดหมาย อันแรกบ่งบอกความเป็นกันเองจึงพูดถึงการเริ่มต้นความสัมพันธ์ ส่วนอันหลังเป็นคำที่ค่อนข้างซีเรียสและเป็นทางการบ่งบอกถึงการลาจากของคนที่มีความสัมพันธ์ห่างเหินกัน

     

    ตอนจบเราจะเห็นระเบิดนิวเคลียร์มุ่งไปสู่พื้นดินและระเบิดออกมาซึ่งระเบิดนิวเคลียร์เทียบได้กับอวัยวะเพศชายและแผ่นดินสหภาพโซเวียตคืออวัยวะเพศหญิงดังนั้นตอนจบนี้จึงสื่อถึงการร่วมเพศที่ประสบความสำเร็จของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต (แม้พูดแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ ก็เถอะ)



    ส่วนมองทาจในตอนท้ายแสดงภาพควันระเบิดรูปหัวเห็ดจำนวนมากคลอไปกับเพลง We'll Meet Again ขับร้องโดย Vera Lynn ที่เป็นเพลงนิยมในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกี่ยวกับทหารที่ออกไปรบและจะได้กลับมาพบครอบครัวและคนรักนั่นเอง



    ______________________________________


    ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่า ใครมีความเห็นหรืออยากคุยอะไรก็ตามสบายเลยนะ @puroii

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in