เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกของหมีฟูFLUFFYKUMA
Siam Serpentarium : พิพิธภัณฑ์ที่มันมีงูออกมา
  • สวัสดีค่ะชาวงู ♡♡♡
    กลับมาพบกับบันทึกของหมีฟูอีกครั้งนะคะ เบื่อกันรึยังเอ่ย อย่าเบื่อกันเลยนะ หมีอุตส่าห์ไปเที่ยวมาก็อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง แหะๆ


    อ่านชื่อตอนแล้วก็น่าจะพอเดาได้เนาะว่าหมีไปไหนมา ถูกต้องค่า! หมีไปพิพิธภัณฑ์งูมา


    ก่อนเข้าเรื่องเราก็ต้องเกริ่นอย่างเช่นทุกครั้งที่เคยทำนะคะ
    เรื่องมันมีอยู่ว่าหมีเป็นคนเหงา แล้วช่วงนี้ได้กลับมาติดต่อกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สมัยมัธยมพอดี เลยเป็นคนใจง่ายค่ะ ใครชวนไปไหนก็ไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน หมีกับน้องคุยกันเรื่องเป็นคนเหงา น้องเลยชวนไปพิพิธภัณฑ์ที่มันมีงูออกมา หรือชื่อเต็มๆ คือ Siam Serpentarium นั่นเองงง

    ชื่ออาจจะฟังดูเวอร์วังนะคะ แต่จริงๆ แล้วมันแปลตรงตัวมากๆ เลย เพราะ Serpentarium เนี่ย มีความหมายว่า สวนงู ค่ะ ดังนั้น Siam Serpentarium จึงมีความหมายตรงตัวว่า "สวนงูแห่งประเทศสยาม" จ้าาา แต่จะเรียกอย่างนี้มันก็ฟังดูบ้านๆ ไปหน่อย แถมดูไม่น่าปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าเรากำลังจะเดินเข้าไปในสวนใหญ่ๆ ที่มีงูแอบซ่อนอยู่ตามพงไม้รึเปล่า ดังนั้นชื่อที่ควรจะเป็นจริงๆ คือ พิพิธภัณฑ์งูแห่งประเทศไทย นั่นเองค่ะ

    Siam Serpentarium อยู่แถวลาดกระบังค่ะ ซึ่งจากบ้านหมีเนี่ยโคตรไกลเลย แต่เนื่องจากว่ามีเพื่อนไปด้วยเราก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์... ใช่ค่ะ ให้มันขับรถแทนเราไง ฮี่ๆ


                    แผนที่สำหรับเดินทางไป Siam Serpentarium จากเว็บไซต์ http://www.siamserpentarium.com/th/


    ทีมหมีวันนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน 2 คนค่ะ (ไม่ร่วมหมี) ซึ่งต้องพูดถึงจริงๆ เพราะถ้าไม่มีทั้ง 2 คน ทริปงูของหม่ีจะไม่สนุกขนาดนี้แน่นอน (แฮ่) ขอเอ่ยชื่อไว้ตรงนี้นะคะ แพทริกไพธ่อน กับ เต้ซ่าสุดตีน รุ่นน้องและเพื่อนร่วมโรงเรียนของหมีเอง แท่น แทน แท๊นนนนนนน


                                                                  แพทริกและเต้

    เรา 3 คนเดินทางถึงพิพิธภัณฑ์งูตอนประมาณเกือบบ่ายโมง แต่รอบที่ปล่อยให้เข้าจะเป็นบ่ายครึ่งค่ะ เนื่องจากว่าทัวร์จีนลงเยอะมากกกกกก เราเลยต้องรอนิดนึงเพื่อไม่ให้แออัดเกินไป เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปถึงก็ตรงไปที่เคาท์เตอร์ซื้อตั๋วเลยค่ะ ปกติแล้วราคาค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 350 บาท แต่ถ้าเป็นนักศึกษาก็โชว์บัตรนักศึกษาให้พี่ๆ พนักงานดูซะนะคะ เพราะเราจะได้เข้าชมเจ้างูน้อยทั้งหลายในราคาเพียง 100 บาทเท่านั้น!!!


                                               ตั๋วกับสติ๊กเกอร์ไว้ติดที่อก พร้อมแบ็คกราวนด์คือทัวร์จีนจ้าาา

    นอกจากนี้ยังได้ตั๋วกินป๊อบคอร์นฟรีที่แนบมากับแบบประเมินความพึงพอใจในการเยี่ยมชมสถานที่ด้วยค่ะ แต่หมีลืมถ่ายรูปตั๋วป๊อบคอร์นง่ะ เอารูปไปดูแทนละกันนะ ถุงน้อยๆ และรสชาติจืดยิ่งกว่าจืด... แถมแห้งคอมากกกก เลยต้องหาซื้อน้ำดื่ม แล้วทีนี้บริเวณที่เขามีขายอาหารเนี่ย มันเป็นราคาที่ตั้งไว้ขายคนต่างชาติน่ะ (คนจีนนั่นแหละ) คือแพงขึ้นจากที่ควรจะเป็นเท่าตัวและมีแต่ป้ายภาษาจีนติดเต็มไปหมด ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทัวร์จีนลง


                                        ป๊อบคอร์นน้อยที่ตอนแรกขนาดไฟล์ใหญ่กว่า 2 mb อย่างน่าแปลกใจ

    ความสนุกมันก็จะเริ่มตั้งแต่ตรงนี้แหละ เพราะแพทริกหิวน้ำ ก็เลยเดินจะหาซื้อน้ำกิน และด้วยราคาที่มันแพงแสนแพง โค้กกระป๋องราคา 25 บาทงี้ เลยมีประโยคเด็ดประจำวันคือ "พี่ๆ มีราคาคนไทยไหมครับ" ซึ่ง! ซึ่งมันไม่มีค่ะ ขนาดน้ำเปล่ายังขวดละ 20 เลยอะ (เศร้าจัง) สุดท้ายน้องเลยต้องซื้อโค้กแคน 25 บาทมากินแก้กระหายอย่างช่วยไม่ได้

    พอใกล้จะได้เวลาของรอบต่อไป พวกหมีก็เลยเดินกลับเข้าไปรอข้างในค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจกันว่าจะเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้าย เพราะไม่อยากเดินนำหน้าแล้วมีคนจีนเดินเบียดๆ แซงๆ ตามสไตล์เขาอะเนาะ แต่กลายเป็นว่าพี่พนักงานโบกมือเรียกให้เข้าไปเป็นกลุ่มแรกเลย พอเข้าไปมันก็จะเป็นโดมครึ่งวงกลมสีขาวๆ ที่หมีมารู้จากวิทยากรว่าเราอยู่ในไข่งูนั่นเอง เราคือลูกงูที่กำลังจะเกิดค่ะ!!!


                                                           ภาพปลากรอบการเป็นลูกงูในไข่

    ในโซนนี้คือเราเป็น VIP ค่ะ มีวิทยากร 2 คน กลุ่มหมี 3 คน และคนไทยแปลกหน้าอีก 2 คน ที่เป็น VIP เพราะว่าจะไม่มีคนจีนมาเกี่ยวข้องกับเราเลยในช่วงนี้ เราจะได้ดูภาพฉายต่างๆ พร้อมความรู้เกี่ยวกับการเป็นงูอีกมากมาย เช่น ศัตรูของงูมีอะไรบ้าง, งูมีลักษณะการเคลื่อนที่กี่แบบ, งูกินอะไรเป็นอาหาร เป็นต้น ซึ่งค่อนข้างตื่นตาตื่นใจเลยค่ะ

    และเนื่องจากว่าเราเป็นลูกงู ดังนั้นสิ่งของตกแต่งต่างๆ ภายในจะมีขนาดใหญ่ เพื่อความสมจริงว่าลูกงูแรกเกิดจะตัวเล็กกระจิ๊ดริดนั่นเอง


                                ขอบคุณภาพจาก http://www.siamserpentarium.com/en/galleries/gallery/

                                                          ฟังอธิบายเรื่องอาหารที่งูกินได้

                                                         เอ็นจอยโคตรๆ... ทางเข้าท้องงูจ้า

    จากภาพจะเห็นว่าเรากำลังโดนงูยักษ์เขมือบเข้าไปค่ะ ในจุดนี้เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารของงูด้วยว่ามีอะไรที่งูกินเข้าไปแล้วย่อยได้หรือไม่ได้บ้าง

    ที่สนุกสำหรับหมีคือเขามีให้ทดลองสอดแขนเข้าไปในรูกลมๆ เพื่อรับรู้ความรู้สึกของการโดนงูรัดค่ะ ซึ่งหมีลองมาแล้ว มันเหมือนเราโดนวัดความดันอะ แต่ละช่องมันก็จะมีแรงบีบต่างกันไปนะ บางช่องรัดก็เหมือนไม่รัดด้วย (ฮ่า) แต่ในความเป็นจริงถ้าโดนงูรัดคงไม่ใช่แค่นี้แน่นอนค่ะ เพราะงูที่ไม่มีพิษจะใช้วิธีรัดเหยื่อจนตัวนิ่ม (กระดูกแตกละเอียด) แล้วค่อยกินเข้าไปค่ะ น่ากลัวมั่ก


                                                                 สนุกกันใหญ่เลยนะ

    พอพ้นจากส่วนของการให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยทั่วไปของงูแล้ว เราก็จะได้มาเจองูจริงๆ สักทีค่ะ และต้องต่อสู้กับทัวร์จีนโขยงใหญ่ด้วย โดยวิทยากรที่อยู่กับกลุ่มหมีเตือนไว้ก่อนเลยว่า ถ้าเขามาให้เราถอยเลย เพราะเขาจะไม่สนใจอะไรเราทั้งนั้น จะผลัก จะชน จะแซง และที่แย่คือพวกนางเคาะตู้กระจกที่น้องงูอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งตรงนี้หมีว่าพนักงานเองก็พยายามบอกแล้วแหละ แต่ทัวร์เยอะมากจริงๆ มันก็คงเกินความสามารถที่จะควบคุมแล้ว

    ตอนแรกวิทยากรสอนคาถาพวกหมีด้วย เป็นภาษาจีนไว้บอกคนจีนว่า "อย่าผลักเรานะ" แต่หมีลืมไปแล้วว่าพูดยังไง แย่จัง แหะๆ

    บริเวณที่น้องงูอยู่หมีจะไม่ได้ถ่ายภาพบรรยากาศมานะคะ เพราะว่าหันไปทางไหนก็มีแต่ทัวร์จีน หนีไม่พ้นจริงๆ ค่ะ แต่จะอธิบายให้เห็นภาพว่าเหมือนเราอยู่ในโถงขนาดใหญ่ แล้วก็จะมีน้องงูในตู้กระจกเรียงกันไปตามทางเดิน ซึ่งขนาดตู้ก็ใหญ่พอสมควรเหมาะกับขนาดของงูแต่ละชนิด ยิ่งถ้างูตัวใหญ่มาก ขนาดของตู้ก็จะใหญ่ตาม และภายในตู้ก็จะตกแต่งให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่น้องงูชอบค่ะ


                                                      กรีนทีไพธ่อน (Green tea Python Snake)

                                                             คิงสเนค (King Snake)

    งูเนี่ยก็จะแบ่งเป็นหลายประเภทนะคะ อย่างที่เรารู้อยู่แล้วว่างูมีทั้งชนิดที่มีพิษและไม่มีพิษ นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งแยกได้อีกว่า เป็นงูที่กินสัตว์อื่น งูที่กินไข่ หรือกระทั่งงูที่กินกันเอง โดยปกติแล้วงูสามารถกินได้ทุกอย่างตามขนาดตัวของมันค่ะ ถ้าตัวเล็กก็อาจจะเริ่มกินจากไส้เดือนที่เล็กกว่า แต่ถ้าตัวใหญ่ๆ ก็กินสัตว์ใหญ่อย่างวัวได้เลย แต่สิ่งที่งูแต่ละชนิดชอบกินจะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่อยู่ เพราะว่ามันสามารถหากินได้ง่ายนั่นเองค่ะ

    อย่าง "คิงสเนค" หรือ "งูคิง"  จากภาพด้านบนก็เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่กินงูด้วยกันเองค่ะ โดยเราสามารถทราบได้ว่าหากงูตัวไหนมี "คิง" อยู่ในชื่อ แสดงว่างูพันธุ์นั้นกินงูด้วยกันเองนั่นเองค่า


                                                               พี่เห็นหนูด้วยเหรอคะ

                                      เจ้าตัวนี้กำลังจ้องนักท่องเที่ยวจีนข้างๆ หมีอยู่ เพราะเขาทำท่าล้อเลียนมัน

    โดยส่วนมากแล้วน้องงูจะหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามมุมตู้ ไม่ก็ในที่มืดๆ หลังต้นไม้ ใบไม้ ซึ่งหมีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเพ่งหา และส่องกล้องเข้าไปที่กระจกเพื่อซูมถ่ายออกมา เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะโดยมากแล้วงูจะตัวไม่ใหญ่ค่ะ บางตัวเล็กกว่าข้อมือหมีอีก แล้วน้องก็แอบๆ ซ่อนๆ หลับอยู่ ไม่ค่อยขยับตัวออกมาให้เห็นเท่าไหร่ 

    แต่ก็จะมีบางตัวที่ขยับออกมานะคะ ขยับทีก็หลอนทีอย่างงูจงอางตัวนี้ที่แสดงท่าที่ประหลาดๆ อย่างที่หมีไม่เคยเห็นมาก่อน คือนางยืดออกมา แล้วส่ายไปทายซ้ายบ้าง ขวาบ้าง พอถามวิทยากรที่เดินอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าน้องหิวค่ะ... หิวก็เลยยืดออกมาหาอาหาร


                                                               แม่เจ้า... ยืดอะไรเบอร์นั้น

    หมีเลยถามเรื่องอาหารของบรรดางูในตู้เหล่านี้ว่าน้องกินอะไร แล้วให้อาหารยังไงกัน ก็ได้รับคำตอบว่าเขาจะมีเวลาให้อาหาร ซึ่งมักจะเป็นหลังพิพิธภัณฑ์ปิดเนื่องจากภาพอาจจะไม่ค่อยน่าดูค่ะ อาหารก็มีตั้งแต่ หนู ปลา ไปจนถึง เป็ดตัวเบ้อเริ่ม อย่างน้องจงอางเขาชอบล่า ทางพิพิธภัณฑ์ก็จะปล่อยเป็ดเป็นๆ ลงมาให้ล่าเองค่ะ (ขนลุก)

    งูหลายสายพันธุ์ที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นะคะ หมีทราบมาว่านำเข้ามาจากแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของมัน เช่น อนาคอนด้า ก็พาน้องมาจากอเมซอนเลย ซึ่งในกรณีที่น้องตัวโตขึ้นจนไม่สามารถเลี้ยงดูในตู้นี้ได้แล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ก็จะปล่อยน้องกลับสู่ธรรมชาติค่ะ

    แต่ก็ยังมีอีกหลายสายพันธุ์นะคะที่ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองตามธรรมชาติได้ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ความผิดปรกติทางยีนส์ที่ทำให้น้องผิวเผือก หรือมีสีที่เด่นชัดเกินไปจนไม่สามารถพรางตัวได้ก็อาจทำให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ล่าอื่นๆ ได้ง่าย ซึ่งในน้องงูที่มีลักษณะอย่างนี้ส่วนมากก็มักกลายเป็นสัตว์เลี้ยง เช่น งูคอร์น ที่มีสีสันสวยงาม แถมยังเชื่องที่สุดในบรรดางูทุกชนิดนั่นเองค่ะ


                                        งูคอร์นสีบลัดเรด (Corn snake Blood Red) กับ แพทริกไพธ่อน

                                        งูหางกระดิ่งไดม่อนแบล็ค (Western diamondback rattlesnake)

    หลังจากชมงูในตู้แล้วก็ได้ไปดูโชว์ต่อในห้องค่ะ ซึ่งมันมีความพีคตรงที่หมีได้ดูโชว์รอบเดียวกับเจ้าชายแห่งดูไบด้วยแหละ มากันทั้งครอบครัวเลย สำหรับโชว์ก็สนุกดีค่ะ หมีไม่คอมเม้นท์มากละกัน อยากให้ไปดูเอาเอง โชว์ชุดใหญ่จะเป็นการแสดงแบบใส่ชุดออกมาเต้นๆ รำๆ ตามเนื้อเรื่อง ส่วนโชว์ชุดเล็กคือมีหมองูพางูเห่าออกมาแสดงค่ะ มีการสาธิตรีดพิษงูให้ดูด้วย เห็นน้องโดนจับง้างปากนานๆ แล้วเมื่อยแทนเลย


                                                                  พญาครุฑกับนาคน้อย

    เนื่องจากว่าตอนแรกเนี่ย พวกหมียังดูน้องงูไม่ครบทุกตู้เลย (ที่ช้าเพราะว่าวิทยากรน่ารักมากค่ะ อธิบายละเอียดยิบทุกตู้) แต่ว่าขบวนของเจ้าชายดูไบมาก่อน หมีเลยต้องเข้าไปดูโชว์ก่อนแล้วค่อยวนกลับมาดูงูต่ออีกที พอกลับมารอบนี้จากที่ตอนแรกมีวิทยากรประกบทีมหมีอยู่ 2 คน วงก็ขยายกลายเป็น 4 คนค่ะ สนุกสนานมากเลยเพราะพนักงานทุกคนเป็นกันเองสุดๆ 3 คนเป็นเด็กฝึกงาน และอีก 1 คือพี่พนักงานประจำค่ะ


                                                                น่ารักกันมากๆ เลย

    หลังจากนั้นการเดินชมพิพิธภัณฑ์ก็เปลี่ยนไปค่ะ กลุ่มหมี 3 คนมีพนักงานประกบ 4 คน แวะอยู่จุดใดจุดนึงไม่ได้ เพราะมันจะนานมากกกกกกกก ฟังอธิบายไป แกล้งกันไป แต่หมีสนุกมากเลยนะ ชอบ มันเป็นกันเองดีอะ แล้วคุ้มค่ามากๆ เพราะยังไม่ลืมใช่ไหมว่าพวกหม่ีเข้าไปกันตั้งแต่ประมาณบ่ายโมงครึ่ง แล้วให้ทายว่าดูครบทั้งพิพิธภัณฑ์เสร็จกี่โมง?


    เกือบ 5 โมงเย็นค่า


    แบบที่จอดรถเขาให้จอดฟรี 4 ชั่วโมง นับรวมเวลาที่รอคิวคือหมีจอดไป 4 ชั่วโมงครึ่งอะ คืออะไรจะเดินนานขนาดนั้น ทัวร์จีนจ่ายแพงกว่ายังไม่ได้ขนาดนี้เลย มั่นใจ (ฮ่าาา)


                                                         ตัวอย่างความน่ารักของพี่แฟนต้า

    เขียนมาเยอะแล้ว เริ่มไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ เอาเป็นว่าใครที่สนใจอยากลองไปเที่ยวก็สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของ Siam Serpentarium ได้เลยนะคะ (จิ้มจึกๆ ลงไปเลย) หรือจะตามไปดูที่แฟนเพจของเขาก็ได้ โดยพิพิธภัณฑ์จะเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 9:00-18:00 น. ค่ะ ราคาตั๋วเข้าชม ถ้าเป็นคนไทยก็อย่างที่บอกไปตอนแรกนะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 350 บาท/คน เด็ก 150 บาท/คน แต่ถ้ามีบัตรนักศึกษาไปแสดงก็จะเหลือ 100 บาท/คน อย่างที่พวกหมีได้มานั่นเองค่า


    สำหรับคนที่อยากดูรูปเพิ่มเติม (เช่นงู) สามารถจิ้ม ลิงก์นี้ เพื่อเข้าไปดูได้ค่ะ หมีอัพเป็นอัลบั้มไว้แล้ว ภาพสวยบ้างไม่สวยบ้างก็อย่าใส่ใจเลย แฮ่♡


    สำหรับบล็อคที่มันมีงูออกมาก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกๆ คนที่กดเข้ามาอ่านกันนะคะ อย่าลืมไปเที่ยวกันล่ะ รีเควสพนักงานทั้ง 4 คนนี้ได้เลย น่ารักมากจริงๆ ขอให้สนุกเหมือนกับที่พวกหมีได้ไปสนุกกันมานะคะ ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า สวัสดีค่า♡♡♡


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in