เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มูฟวี่ 101StarLord4K
ไม่เคยดูหนัง Star Wars ภาคก่อนๆ มาก่อน จะดูภาคใหม่รู้เรื่องมั้ยคะ (อัพเดต 2020)
  • ด้วยความที่ว่าแฟรนไชส์หนัง Star Wars นั้น ถ้านับตั้งแต่ภาคแรกที่มีการสร้างมาก็ตั้งแต่ปี 1977 แล้ว ยังมีสื่อในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ การ์ตูน เกม หนังสือ ตั้งแต่บริษัท Disney ซื้อ Lucas Film ไปในปี 2012 ทางดิสนีย์เองก็มีแผนจะสร้างหนังยาว Star Wars ออกมารายปีตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป ดังนั้นเราจะได้ดูกันไปยาวๆ อีกหลายปีเลยล่ะ ไม่ต้องห่วง

    แต่เนื่องจากปัญหาที่ว่าในส่วนที่เป็นหนังยาวนั้นมีการสร้างออกมาหลายภาค และไม่เรียงตามเนื้อเรื่องอีกต่างหาก เพราะข้อจำกัดของเทคนิคพิเศษในขณะนั้นทำให้ยังไม่สามารถสร้างหนังเรียงตามเวลาในเรื่องได้ จึงต้องมีการสร้างสลับไปมา ไหนจะเป็นการได้เขียนเนื้อเรื่องใหม่เพื่อเพิ่มเติมเนื้อเรื่องส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คนที่ยังไม่เคยดูเลยอาจจะหัวหมุนได้ วันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกดูหนัง Star Wars สำหรับแฟนหนังมือใหม่ที่ไม่อยากงง โดยจากการศึกษาพล็อตเรื่องและโทนของหนัง เราแนะนำแนวทางการดูหนังออกมาเป็น 4 แบบได้แก่

    วิธีที่ 1 ดูแบบชาวพันทิป

    • The Force Awakens (2015)
    • Rogue One (2016)
    • A New Hope (1977)
    • The Phantom Menace (1999)
    • The Last Jedi (2018)
    • The Rise of Skywalker (2019)

    วิธีที่ 2 ดูเรียงตามลำดับปีที่สร้าง


    techplayce.com
    เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเลือกดู แต่ก็แค่ต้องเสียเวลาทำรีเสิร์ชนิดหน่อยที่ว่าภาคไหนสร้างก่อนหลัง เรื่องมันมีอยู่ว่าจอร์จ ลูคัส ผู้กำกับในยุคแรกๆ ได้เขียนบทของเขาไว้ถึง 9 ภาค แต่ในสมัยนั้นงบสร้างยังไม่พอ เพราะทางสตูดิโอไม่มั่นใจว่าหนังแนวนี้จะมีคนดู เขาจึงเลือกทำมาภาคนึงก่อน ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษเยอะมาก นั่นก็คือภาค 4 อย่าง A New Hope แต่พอดังถล่มทลาย สตูดิโอจึงทุ่มงบให้สร้างภาคต่อไป และเมื่อไตรภาค 4-6 จบบริบูรณ์ เขาก็ได้รอเวลาที่งานสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ก้าวหน้ามากพอ จึงกลับมาสร้างภาค 1-3 ต่อ วันนี้ไม่ต้องไปหาแล้วว่าภาคไหนสร้างก่อนหรือหลัง เราได้เรียงมาให้แล้ว นั่นคือ

    • Episode IV : A New Hope (1977)
    • Episode V : The Empire Strikes Back (1980)
    • Episode VI : Return of the Jedi (1983)
    • Episode I : The Phantom Menace (1999)
    • Episode II : Attack of the Clones (2002)
    • Episode III : Revenge of the Sith (2005
    • The Force Awakens (2015)
    • Rogue One : A Star Wars Story (2016)
    • The Last Jedi (2017)
    • Solo : A Star Wars Story (2018)
    • The Rise of Skywalker (2019)

    วิธีการดูแบบนี้ง่ายที่สุด เพราะภาพและเทคนิคพิเศษต่างๆ จะใหม่ขึ้นตามกาลเวลา และภาคใหม่ๆ จะมาช่วยเติมเต็มภาคก่อนหน้าให้เห็นภาพสมบูรณ์ขึ้น

    วิธีที่ 3 ดูเรียงตามไทม์ไลน์ในเรื่อง

    pinterest.com

    การดูเรียงตามไทม์ไลน์ในเรื่องเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบดูหนังข้ามไปข้ามมา ง่ายในการติดตามว่าใครกำลังทำอะไรที่ไหน นั่นคือมันจะเรียงลำดับเช่นนี้

    • Episode I : The Phantom Menace (1999)
    → 10 ปีต่อมา
    • Episode II : Attack of the Clones (2002)
    • (แอนิเมชั่น) The Clone Wars (2008) (ส่วนเสริม)
    → 3 ปีต่อมา
    • Episode III : Revenge of the Sith (2005)
    → 8 ปีต่อมา
    • Solo : A Star Wars Story (2018)
    • (การ์ตูนซีรีส์) Star Wars Rebels (2014) (ส่วนเสริม)
    • → ช่วงประมาณ 10 ปีต่อมา
    • Rogue One : A Star Wars Story (2016)
    • Episode IV : A New Hope (1977)
    • (ซีรีส์คนแสดง) The Mandalorian (2019) (ส่วนเสริม)
    → 3 ปีต่อมา
    • Episode V : The Empire Strikes Back (1980)
    → 1 ปีต่อมา
    • Episode VI : Return of the Jedi (1983)
    → 30 ปีต่อมา
    • The Force Awakens (2015)
    • The Last Jedi (2017)
    • The Rise of Skywalker (2019)

    วิธีการดูแบบนี้ก็ง่าย เพราะเหตุการณ์จะเรียงลำดับเป็นเส้นตรง ใครทำอะไรก็จะต่อเนื่องกันไป แต่เนื่องจากลำดับการสร้างหนังที่ข้ามไปข้ามมา อาจจะทำให้รู้สึกสับสนเมื่อดูภาคที่มีเทคนิคภาพทันสมัย แล้วจู่ๆ ก็ย้อนกลับไปดูแบบภาพเก่าๆ เอฟเฟกต์เชยๆ จุดนี้อาจทำให้รู้สึกมึนๆ และเกิดความสับสนได้ นอกจากนี้เหตุการ์ณในภาค 1-3 จะแอบสปอยล์จุดไคลแมกซ์ในภาค 5-6 ที่อาจจะลดทอนความตื่นเต้นลงไปได้บ้าง สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับบางคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

    วิธีที่ 4 ดูแบบ มาชีทเต้ ออเดอร์ (ฉบับปรับปรุง)

    Star Wars: The Machete Order / superversivesf.com
    วิธีมาชีทเต้ออเดอร์ (Machete Order) เป็นคำแนะนำที่แฟนหนังแบบฮาร์ดคอร์ได้เสนอขึ้นมาเพื่อเน้นอรรถรสสูงสุดในการรับชมโดยที่จะได้ตื่นเต้นกับจุดไคลแมกซ์ของแต่ละภาคได้มากที่สุดโดยที่ไม่สปอยล์กันเอง และทำให้ตัวละครแต่ตัวดูมีมิติมากขึ้น เข้าใจบรรยากาศในเรื่องมากขึ้น (อ่านรายละเอียดจาก http://pantip.com/topic/31648098) เนื่องจากวิธีนี้ยังไม่ได้เหมารวมหนังภาคใหม่ที่ออกมาอีก 3 ภาค การดูโดยวิธีนี้และข้ามไปดูภาคใหม่เลยส่วนตัวคิดว่ายังไม่โอเคเท่าไหร่ เราจึงขอปรับปรุงการเรียงลำดับใหม่ให้มันซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่ก็สมูทขึ้น ดังนี้

    • The Force Awakens (2015)
    • Rogue One : A Star Wars Story (2016)
    • Episode IV : A New Hope (1977)
    • Episode I : The Phantom Menace (1999)
    • Episode V : The Empire Strikes Back (1980)
    • Episode II : Attack of the Clones (2002)
    • Episode III : Revenge of the Sith (2005)
    • Episode VI : Return of the Jedi (1983)
    • The Last Jedi (2017)
    • The Rise of Skywalker (2019)

    เป็นการข้ามไปข้ามมาที่อาจจะดูสับสน เราจะอธิบายให้ฟัง มันน่าสนใจตรงที่เรามองเหตุการณ์ใน Episode VII เป็นเรื่องราวในปัจจุบัน และมองภาคก่อนหน้านั้นทั้งหมดเป็นเพียงตำนาน เริ่มจาก Episode VII ก่อน มันไม่ใช่ Star Wars ภาคที่ดีที่สุด แต่เป็นภาคที่มีความเป็นสตาร์วอร์มากพอที่จะทำให้เราได้มองเห็นจักรวาลออกมาเป็นรูปร่างมากที่สุด เป็นการเปิดตำนานที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยคำถามว่าใครคือ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ใครคือ ดาร์ธเวเดอร์ ใครคือ ฮาน โซโล และเจ้าหญิงเลอา พวกเขาสำคัญยังไงกับเนื้อเรื่อง จากนั้นปูกลับไปด้วย Rogue One และ A New Hope แบบต่อกันทันที จะทำให้คนดูรู้จักสงครามระหว่างจักรวรรดิและกลุ่มผู้ต่อต้าน รู้จักว่าลุค สกายวอล์คเกอร์ ฮาน โซโล และเจ้าหญิงเลอาเป็นใคร แม้ว่าอาจจะยังไม่เคลียร์เรื่องดาร์ธเวเดอร์ และเจไดที่ชื่อโอบีวันเท่าไหร่ ก็ให้เก็บเอาไว้ในใจก่อน

    ต่ย้อนกลับไปด้วยด้วย The Phantom Menace เพราะบรรยากาศคล้ายๆ A New Hope อย่างน้อยก็พอจะทำให้เห็นความเป็นสตาร์วอร์มากขึ้น และอธิบายที่มาที่ไปของโอบีวัน ภาคนี้แฟนๆ หลายคนเกลียดมาก และตัดออกจากวิธีนี้คือให้ข้ามภาคนี้ไป แต่ส่วนตัวไม่ขอตัด เพราะถือว่าเป็นสตาร์วอร์ที่โอเคมากๆ ภาคหนึ่งเลยทีเดียว เพราะมีครบทุกรส ทั้งสงคราม การเมือง แข่งรถ แอคชั่นกำลังดี และที่สำคัญคือชอบจาร์จาร์บิงส์ ภาคนี้จะทำให้รู้จักโอบีวันวัยหนุ่ม ส่วนตัวละครและเหตุการณ์อื่นๆ เช่นการทูตของสหพันธ์รัฐ มันไม่ค่อยต่อเนื่องกับภาคต่อไปเท่าไหร่ ติดเอาไว้ในใจก่อน กลับไปต่อที่ The Empire Strikes Back ภาคนี้มีไคลแมกซ์สำคัญที่จะทำให้ Episode II กับ III สนุกขึ้น คุณจะได้รู้ว่าลอร์ดเวเดอร์เป็นใคร แม้ว่าอาจจะเดาได้ก่อนบ้างก็ตาม

    เรื่องกำลังพีคๆ ให้กลับไปที่ Episode II กับ III จะเป็นการเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดินของตัวละครสำคัญ และเหตุการณ์ที่ทำให้สภาพบ้านเมืองในภาคถัดไปมันถึงเป็นแบบนั้น จะทำให้มุมมองของ Episode IV และ V เปลี่ยนไปพอสมควร นอกจากนี้มันจะมีแอนิเมชั่นยาวเปิดซีรีส์(ที่ถูกตัดจบไปแล้ว)ชื่อ The Clone Wars ถ้าเจอก็ดูไว้ เอา The Clone Wars คั่นระหว่าง Episode II กับ III จะเป็นตัวเสริมถึงสงครามโคลนที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ภาคนี้ เมื่อดู Episode II กับ III จบทราบเรื่องราวทุกอย่างและเหตุจูงใจของตัวละคร นั่นคือเราพร้อมจะกลับไปที่ Return of the Jedi ที่เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น ทำให้ภาคนี้เป็นภาคปิดตำนานยุคเก่าที่ดีที่สุดในทันที เพราะจะได้เห็นว่าลุค สกายวอล์คเกอร์ ได้ผ่านอะไรมาบ้าง และเหตุใดเขาถึงหายสาบสูญ จนถึงเวลานั้น เราทุกคนต่างก็พร้อมจะกลับไปสานต่อตำนานที่ The Last Jedi กันต่อไป

    วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบดูหนัวข้ามไปข้ามมา เพราะมันยากในการติดตามและต้องรีเสิร์ชข้อมูลมาก่อนและต้องหลบสปอยล์จำนวนมากไปอีก แต่มันเป็นการค่อยๆ ติดตามตัวละครไปเรื่อยๆ จนเราได้ผูกพันและได้มองเห็นมิติต่างๆ ของตัวละครแต่ละตัวมากขึ้น

    ทั้ง 4 วิธีที่แนะนำไปไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องบังคับให้ทุกคนต้องดูแบบนี้ แต่เป็นการแนะนำวิธีที่จะทำให้ดูสนุกขึ้นแค่นั้นเอง อาจจะมีบางคนแย้งในใจว่า ดูแบบไหนก็เหมือนกันป่าววะ มันก็ถูกครับ ดูแบบไหนก็เหมือนกัน เมื่อสุดท้ายฝั่งเจไดต้องเอาชนะฝั่งซิธหลอดได้เสมอ แต่รายละเอียดต่างๆ ที่แตกต่างกัน ทำให้ Star Wars เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์หนังที่สนุกที่สุดในโลก

    -- ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน --

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
แบบชาวพันทิปคืออะไรหรอครับ
StarLord4K (@SamKMFB)
คือพวกที่ไม่ยอมใช้กูเกิ้ลค้นหามาก่อนว่าเขามีคำตอบให้ตั้งนานแล้ว แต่กลับมาเสียเวลาตั้งกระทู้ถามในพันทิปเป็นรอบที่ 154,982,564,7912,346,824