เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เล่าให้(ไปลอง)ฟังkhuuun
#03 - David Bowie | The Man Who Changed the World
  • เดวิด โบวี่* เป็นผู้ชายที่ทำให้โลกการฟังเพลงเรามีสีสัน(ฉูดฉาด)ขึ้นมากเลยทีเดียว อยากขอบคุณจอห์นเลนน่อนซักพันล้านครั้ง ที่ Grammy ปี 1975 ฮีไปยืนถ่ายรูปกับโยโกะและเดวิด คือตอนนั้นเราพึ่งเข้าวงการฟังเพลงมาใหม่ๆ ประสบการณ์น้อยมาก รู้จักนักร้องรุ่นก่อนๆอยู่ไม่กี่คน (หลักๆก็บีทเทิลส์) จำได้ว่าช่วงนั้นสนใจชีวิตจอห์นเป็นพิเศษ ระหว่างที่ไล่อ่านเรื่องจอห์นไปเรื่อยๆเราก็ไปสะดุดกับรูปงานแกรมมี่

    (*จริงๆอ่านว่า โบ-อี้นะคะ) 

    ไล่จากซ้ายไปขวา - เดวิด โบอี / โยโกะ โอโนะ / จอห์น เลนน่อน

    ไล่ดูไปดูมาเราก็ค้นพบว่าเขาคือเดวิดโบอี ผู้ประกาศรางวัลแกรมมี่ปีนั้น ในใจนี่แบบโหหหห ทำไมหล่อประหลาดจังอ่ะ ดูไม่เหมือนคนบนโลก-- 


    (สะดุดทุกอย่างเลย ทั้งหน้าตา สีผม สีตา ลุค)

    แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจฮีเท่าไหร่เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับ The Beatles แต่ฮีติดอยู่ในหัวเรามากจนแบบเออ ต้องรู้จักแล้วล่ะ ทีนี้พอเข้าไปหาประวัติกับรูปในกูเกิ้ล เราก็ไปเจอแฟชั่นช็อคโลกยุค70ของฮี (ลองไปหาเพิ่มเติมดูได้ พิมพ์คำว่า Ziggy Stardust แล้วโลกของคุณจะเปลี่ยนไป)

    ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ายุคนู้นมีแฟชั่นแบบนี้ด้วย ชั้นเกิดทันแค่กาก้า

    ในใจตอนนั้นแบบ เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย (พูดไรไม่ออก 555) ใช่คนเดียวกันหรอ หรือเราเข้าใจอะไรผิด หรืออะไร อะไรรร แล้วตาก็เหลือบไปเห็นรูปข้างๆ

    ซึ่งก็คือรูปนี้

    เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย ทำไมเป็นคนที่ทั้งหล่อทั้งสวยงี้อ่ะ (อิจฉา) ทีนี้เราไล่อ่านประวัติไปพร้อมๆกับไล่ฟังเพลง พบว่าเคยได้ยินเพลงเขาจากหนังหลายๆเรื่อง ก็แอบเสียดายนะว่าทำไมชั้นไม่ตั้งใจฟังแล้วทำความรู้จักเขาให้เร็วกว่านี้ ฮึ่ม

    ทีนี้ก่อนเล่าเรื่องเพลง อยากเล่าความพิเศษหลายๆอย่างของเดวิดให้อ่านก่อน เกือบทุกอย่างที่เขาทำหรือที่เขาเป็นมัน impact กับโลก กับวงการเพลง แฟชั่น ศิลปะ หรือกระทั่งวงการภาพยนตร์ มากๆ


    เรื่องแรกคือเรื่องสีตา (อันนี้เป็นความพิเศษที่เราชอบเฉยๆ ไม่ใช่อิมแพคอะไร) เดวิดมีสีตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน เนื่องจากอุบัติเหตุตอนอายุ 15 (สาเหตุเพราะต่อยกับเพื่อนเรื่องผู้หญิง) จึงทำให้เขาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ


    เรื่องที่สองคือแฟชั่น (อันนี้อิมแพคมากๆ) คือเดวิดฮีจะมี persona ในแต่ละอัลบั้มแตกต่างกันไป และก็เป็นที่มาของแฟชั่น glam rock* ที่ทรงอิทธิพลมาจนปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น อัลบั้ม Ziggy Stardust ฮีแต่งตัวเป็นเอเลี่ยนร็อคสตาร์ที่มาจากดาวอังคาร หรือ อัลบั้ม Aladdin Sane ที่ฮีวาดสายฟ้าบนหน้า เรื่องของเรื่องคือตอนนั้น glam rock ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมาก แต่เดวิดเป็นผู้ชายคนแรกๆที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้า แต่งตัว แล้วทำให้มันเป็นกระแสหลัก วัยรุ่นชายกล้าลุกขึ้นมาแต่งหน้า ไว้ผมยาว ทุกคนพูดอย่างภาคภูมิใจว่าพวกเขามีเดวิด โบวี่ เป็นไอดอล

    *แฟชั่น glam rock คือการแต่งตัวแต่งหน้าให้เวอร์วังอลังการที่สุด จนแยกแทบไม่ออกว่าชายหรือหญิง อาจจะมีคอนเซ็ปต์เป็นเทพนิยาย หรือ sci-fi

    Ziggy และ Aladdin Sane

    นอกจากนี้ฮียังให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าฮีเป็นไบเซ็กชวล ในยุคที่ความหลากหลายทางเพศยังไม่เป็นที่ยอมรับเลยด้วยซ้ำ (แต่ตอนหลังฮีออกมาบอกว่าฮีเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไปน่ะ)

    เดวิดยังมีบทบาทด้านการเรียกร้องความเท่าเทียมให้กับศิลปินผิวสีในวงการดนตรีอีกด้วย เดวิดเคยวิจารณ์ MTV เรื่องการไม่ยอมเปิดเพลงของศิลปินผิวสีในรายการ และยังรวมไปถึงการเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน ฮีเคยพูดไว้ว่า "หน้าที่ของทุกคนคือการแสดงจุดยืนว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้"


    อีกเรื่องคือความสามารถของฮีไม่ได้มีแค่ด้านดนตรี ฮีเล่นหนังด้วย หลายๆเรื่องนี่เป็นหนังขึ้นหิ้งคลาสสิคเชียวล่ะ เช่น The Man Who Fell to Earth หนังคัลท์คลาสสิคเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว (มันคัลท์มากจริงๆ ดูจบแล้วก็เกาหัว อะไรวะเนี่ย) / The Hunger หนังแวมไพร์ที่เป็นอินสไปรฯให้กับ AHS-Hotel / Merry Christmas Mr.Lawrence หนังที่ว่าด้วยเรื่องรักต้องห้ามในค่ายเชลย เพลงประกอบเพราะมาก เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยได้ยิน (เรื่องนี้ขอ recommend เลย หนังโปรดตลอดกาลของเรา) / Labyrinth หนังแฟนตาซีคลาสสิคที่รับบทเป็นราชาก็อบลิน กับทรงผมที่โคตรรรคูล ความเท่ยังถูกกล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ / The Prestige แฟนหนังโนแลนอย่างเราถึงกับตกใจเลยตอนมารู้ว่ามีศิลปินที่ชอบอยู่ในหนังที่ชอบ สารภาพว่าดูครั้งแรกยังไม่รู้จักเดวิด พอรู้จักแล้วก็ยังจำไม่ได้ว่าเล่นด้วยหรอ เล่นเป็นใคร พอเพ่งดีๆก็... อืม สมกับฉายากิ้งก่า เป็นได้ในทุกวงการจริงๆ

    ด้วยความที่ทุกอย่างในชีวิตฮีต่อหน้าสาธารณะเป็นการแสดงตลอดเวลาอยู่แล้ว การแสดงภาพยนตร์นั้นจึงไม่ยากเลย ฝีไม้ลายมือนี่ไม่เบาเลยนะ แถมยังฉลาดรับบทด้วย อยากให้ลองหามาดูกัน



    มาๆ เข้าเรื่องเพลง

    ที่เราบอกว่าเดวิดทำให้ชีวิตการฟังเพลงเรามีสีสันมากเนี่ย คือว่าเขาเปลี่ยนแนวเพลงทุกๆอัลบั้มเลยล่ะ เขาชอบทำอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ ทุกอัลบั้มมักจะคาดเดาไม่ได้และเซอร์ไพรส์แฟนเพลงตลอด ซึ่งพอเราเป็นแฟนคลับเขาเนี่ย เราก็กลายเป็นคนที่เปิดใจฟังเพลงเกือบทุกประเภท ทำให้เราได้เจอเพลงหลายๆแนว แล้วก็ได้วงที่ชอบในแต่ละแนวเพลงเพิ่มมาอีก

    ไล่จากอัลบั้มแรกในปลายยุค60 กับสไตล์ mod ที่ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักนิดเท่าไหร่นัก มาอัลบั้มที่สองแนว Psychedelic rock ที่มีเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง Space Oddity จากนั้นช่วงต้นของยุค 70 เป็นช่วงที่เดวิดเริ่มเข้าสู่ยุค Glam rock กับเพลงฮิตอย่าง Life on Mars? ก่อนจะดังเป็นพลุแตกกับอัลบั้มแกลมร็อคแบบจัดจ้านอย่าง Ziggy Stardust และคงแนวแกลมต่อเนื่องมาจนถึงอัลบั้ม Diamond Dogs ในปี74 จากนั้นก็หันไปทำอัลบั้มแนว R&B/Soul อย่าง Young Americans ที่มีเพลงฮิตอย่าง Fame เพลงนี้แต่งร่วมกับจอห์น เลนนอน และเป็นเพลงแรกที่ตีตลาดอเมริกาได้สำเร็จ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง Berlin Era ที่เต็มไปด้วยงานเพลงแนว Experimental และ Avant-grade กับเพลงฮิตเช่น Heroes และอัลบั้มระดับมาสเตอร์พีซอย่าง Low

    ในยุค80 เดวิดได้เปลี่ยนไปทำเพลงป๊อบร็อคสนุกๆอย่างอัลบั้ม Let's Dance ที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตอเมริกาอย่างถล่มทลาย ในช่วงต้นยุค 90 ฮีฟอร์มวง Tin Machine ขึ้น ซึ่งแนวเพลงเน้นไปทาง Rock/Hard Rock ปลายยุค 90 ฮีได้ลองหันมาจับแนว Industrial Rock กับอัลบั้ม 1. Outside และแนว Electronic ในอัลบั้ม Earthling ขยับมาในต้นยุค 2000 กับ อัลบั้ม Heathen และ Reality ซึ่งเป็นงานเพลงแนว Art rock และเว้นไปถึง 10 ปีหลังจากนั้น ก่อนจะออกอัลบั้มอาร์ตร็อคที่ค่อนข้างป๊อบอย่าง The Next Day ในปี 2013 จากนั้นก็เว้นไปอีก 3ปี ก่อนจะออกผลงานอัลบั้มสุดท้ายแนว Jazz-Rock อย่าง Blackstar ในปี 2016


    ทีนี้มาพูดถึงอัลบั้มโปรดเราบ้าง

    (สำหรับคนนี้เราขอพูดถึงหลายอัลบั้มหน่อย เราลำเอียง...)

    อัลบั้มแรกที่อยากแนะนำคือ Hunky Dory

    แนวเพลงจะเป็น Glam rock / Folk Rock มี Psychedelic บ้าง จางๆ

    ดังที่สุดในอัลบั้มนี้น่าจะเป็น Life on Mars? ที่คัฟเวอร์กันไปเป็นร้อยๆเวอร์ชั่น แต่อยากให้ลองฟังให้ครบทุกเพลง คุณจะพบว่าอัลบั้มนี้บรรจุของดีไว้เยอะมากๆ เช่น

    Changes เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เดวิดเริ่มหัดใช้คีย์บอร์ดแต่งเพลง ฮีไม่คิดด้วยซ้ำว่าเพลงนี้จะดัง แต่กลับเป็นเพลงที่ผู้ชมขอให้เล่นบ่อยมากๆในทุกๆคอนเสิร์ต และมีเนื้อเพลงที่คอนเน็คกับวัยรุ่นในทุกยุคทุกสมัยมากทีเดียว ภาพยนตร์วัยรุ่นยุค80อย่าง The Breakfast Club ได้ยกเนื้อเพลงมาแปะไว้ในช่วงแรกก่อนเริ่มภาพยนตร์ด้วย (หนังดีนะทุกคน ลองหามาดูกัน)

    The Breakfast Club 1985

    Oh! You Pretty Things ฟังเพลงนี้ถึงรู้ว่าฝีมือเปียโนฮีก็ใช่ย่อย เราชอบพาร์ทเปียโนมากๆ จนไปหาว่าใครเล่น ปรากฏว่าเดวิดเล่นเองวุ้ย เจ๋ง 

    Life on Mars? ดังมากแล้วอ่ะ ขี้เกียจพูด เราดู MV ของเดวิดเพลงนี้เพลงแรกแหละ เปิดโลกมากๆ คนอะไรโคตรรรรร fabulous //พนมมือ

    Kooks เพลงนี้น่ารักมากๆ ฮีแต่งให้ลูกชาย ชอบความขี้เล่นที่พอเนื้อเพลงพูดถึงทรัมเป็ตก็มีเสียงทรัมเป็ตแทรกเข้ามา มุมคุณพ่อของร็อคสตาร์นี่มันน่าเอ็นดูจริงๆ

    Queen Bitch จากที่บอกไปในเอนทรี่ที่แล้วว่าเพลงของ Velvet Underground มีอิทธิพลต่อเดวิดมากๆ ฮีแต่งเพลงนี้เป็น tribute ให้กับ VU และ Lou Reed ริฟฟ์กีต้าร์หลักของเพลงใช้ริฟฟ์เดียวกับเพลง Sweet Jane ของ VU แหละ

    The Bewlay Brothers เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม ได้ชื่อว่าเป็นเพลงที่เนื้อเพลงอัดแน่นและเข้าใจยากที่สุดของเดวิดเลยละ เพลงนี้เป็น folk rock ที่มีกลิ่น psychedelic หน่อยๆ เพราะดี


    อัลบั้มถัดมาคือ The Rise and Fall of Ziggy Stardust and The Spiders from Mars

    (ชื่อยาวโคตร..)

    ปกหลังมีเขียนไว้ว่า To be played at maximum volume ด้วยล่ะ

    ความเจ๋งของอัลบั้มนี้คือมันมีคอนเซปต์เกี่ยวกับเอเลี่ยนร็อคสตาร์จากดาวอังคารที่เดินทางมายังโลกเพื่อพยายามจะบอกสาสน์แห่งความหวังให้กับมนุษยชาติ ในขณะที่โลกเหลือเวลาอีก 5 ปี ก่อนจะแตกสลาย (โว๊ะ) ยอมรับว่าไม่เคยเจออัลบั้มที่มีคอนเซปต์เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ถูกใจมาก ทั้งอัลบั้มจะเป็นเรื่องราวของซิกกี้สตาร์ดัสท์ตั้งแต่ลงมายังโลกจนถึงบทสรุป ควรฟังตั้งแต่แทร็คแรกไล่ไปยันสุดท้าย โคตรepic ขอยกเพลงที่โดดเด่นและเราชอบมากๆมาละกัน

    Five years ในใจเรายกเพลงนี้ให้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาล เนื้อเพลงเกริ่นนำว่าโลกกำลังจะแตกในอีก5 ปี เป็นสเตจแรกก่อนที่ซิกกี้จะเข้ามา มันเป็นเพลงเปิดที่epicมากเลยนะ ฮือ

    Moonage Daydream เพลงนี้เป็นเพลงโปรดตลอดกาลของเราแหละ ได้ยินครั้งแรกก็สะดุดกับเนื้อเพลงเลย

     " I’m an alligator, I’m a mama-papa coming for you
    I’m the space invader, I’ll be a rock ‘n’ rollin’ bitch for you "

    ในใจนี่แบบโหเห้ยยย เจ๋งว่ะ แหกทุกกรอบของการแต่งเพลง แล้วเป็นเพลงที่มีโซโล่กีต้าร์สะใจมาก เป็น Ost. ใน Guardians of the Galaxy ด้วยนะ เผื่อใครคุ้นๆ

    Starman เพลงนี้พูดถึงซิกกี้ที่เอาเรื่องของ Starman มาบอกคนบนโลกผ่านวิทยุ โดยเนื้อเพลงเล่าจากมุมมองของเด็ก(วัยรุ่น)ที่ไปได้ยินซิกกี้เข้า นี่ก็อีกหนึ่งเพลงโปรดตลอดกาล ประกอบ The Martian ด้วยนะ ฟังเถอะ ติดหูง่าย ชอบแน่นอน รับรอง

    Ziggy Stardust เพลงที่เหมือนเป็นไคลแมกซ์ของอัลบั้มนี้เลย กีต้าร์อินโทรติดหูมาก แล้วก็ต้องตามด้วย Suffragette City เสมอ เพลงนี้อินโทรกีต้าร์โคตรเจ๋ง เป็นสองเพลงที่แกลมร็อคแบบจัดจ้านสุดๆ

    Rock n Roll Suicide ตัดอารมณ์จาก Suffragette City มาก แต่เพลงปิดก็ epic พอๆกับเพลงเปิดเลยทีเดียวแหละ เนื้อเพลงพูดถึงวาระสุดท้ายของซิกกี้ เป็นเพลงที่ปลอบประโลมจิตใจเราในช่วงแย่ๆ ได้ดีมาก ฮือ


    ส่วนอัลบั้มต่อมา ลูกพี่ลูกน้องกับซิกกี้สตาร์ดัสท์ Aladdin Sane นั่นเอง

    (a-lad-insane)

    อัลบั้มที่เป็นเหมือนไบเบิ้ลของ Glam rock เลย กับหน้าปกสายฟ้าสุด iconic ที่หลายคนอาจจะคุ้นตา อัลบั้มนี้เปี่ยมไปด้วยอิทธิพลจากฝั่งอเมริกัน ซึ่ง Aladdin Sane ก็คือซิกกี้สตาร์ดัสท์ในเวอร์ชั่นอเมริกันนั่นเอง อัลบั้มนี้ไม่ได้มีสตอรี่หรือคอนเซ็ปต์ใหญ่เท่ากับอัลบั้มซิกกี้ แต่เพลงในอัลบั้มนี่เจ๋งมากเลยนะ เราว่าตัดเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลง ไม่มีเพลงไหนดรอปเลย เพลงที่เราชอบมากๆก็เช่น

    Cracked Actor เริ่มต้นมาแบบกรันจ์ๆเลย (ตอนนั้นกรันจ์ยังไม่เกิดเลยนะ เนี่ยแหละต้นแบบของกรันจ์) บวกกับ harmonica ที่ทำให้เพลงออกแนวอเมริกันหน่อยๆ ฟังไปฟังมาก็เข้ากันดี ส่วนเนื้อเพลงก็ดาร์คๆ ว่าด้วยเรื่องเซ็กซ์และยา (...)

    Time นี่ก็สุดยอด ทั้งเนื้อเพลงทั้งดนตรี มีความ theatrical ความรู้สึกตอนฟังครั้งแรกนี่แบบ mind-blown เนื้อเพลงดีอีกแล้ว พูดถึงความจริงว่าเวลาคือสิ่งที่อยู่เหนือทุกสิ่ง และนำจุดจบมาสู่ทุกอย่าง ย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของเวลา เรารักเพลงนี้มากๆ ,__,

    The Prettiest Star เพลงนี้เดวิดแต่งให้ Angie Bowie ภรรยาคนแรก แต่งไว้ตั้งแต่ยังไม่ดัง และได้ Marc Bolan เพื่อนสนิทมาเล่นกีต้าร์ให้ ต่อมาได้นำเอาเพลงนี้มาปัดฝุ่นใหม่ ใส่ความ glam เข้าไปและจับยัดลงอัลบั้ม Aladdin Sane เสียงเดวิดดีต่อใจมาก ริฟฟ์กีต้าร์โคตรติดหู

    The Jean Genie เนื้อเพลงนี่โครตฟรีค ไม่พยายามทำความเข้าใจแล้ว 5555 เพลงนี้ติดหูมาก ฟังครั้งแรกอยู่ในหัวไปเป็นอาทิตย์

    Lady Grinning Soul เพลงบัลลาดโคตรโรแมนติกในอัลบั้ม ฟังเสียงเขาแล้ว mind-blown อีกแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากโคตรดี เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่สวยงามมาก



    อัลบั้มที่ 4 Low อัลบั้มนี้เราภูมิใจนำเสนอมากๆ แม้ว่าแนวเพลงจะไม่แมส(เท่าไหร่)ก็ตาม

    ภาพปกอัลบั้มจากภาพยนตร์เรื่อง The Man Who Fell to Earth

    สำหรับเรา เราว่านี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของเดวิด เป็นอัลบั้มแนว experimental ที่ฟังในยุคนี้ยังรู้สึกว่ามันล้ำอยู่เลย ฟีลลิ่งอัลบั้มนี้จะแบบว่า เริ่มด้วยความสดใสไปจบที่ความcreepยะเยือก ทีนี้มาพูดถึงเพลงที่โดดเด่น

    Breaking Glass เพลงโปรดเราเอง เนื้อเพลงว่าล้ำแล้ว ดนตรีล้ำกว่า

    What in the world นี่ก็อีกหนึ่งเพลงโปรด ยิ่งฟังยิ่งทึ่งในความอัจฉริยะ

    Sound and Vision พีคที่สุดในอัลบั้มคือเพลงนี้แหละ เพลงกึ่งๆ instrumental ที่จังหวะสดใสสุดในอัลบั้ม มีซินธ์ที่ฟุ้งมากๆแบบที่เราชอบ ทุกองค์ประกอบคือดีมาก เสียงเดวิดที่โผล่มาในช่วงท้ายคอมพลีทเพลงได้สมบูรณ์ ลองฟังแล้วจะต้องชอบแน่ๆ พนันเลย

    นอกจากนี้ยังมีเพลงแนว instrumental ในอัลบั้มที่ภาคดนตรีดีทุกดีเทลอย่าง Art Decade, Subterraneans (สารภาพว่าตอนแรกเราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่พอตั้งใจฟังแล้วก็ทึ่งกับความล้ำมากๆเลยอะ)


    ส่วนอัลบั้มสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือ Blackstar

    ใต้รูปดาวก็คือคำว่า Bowie นั่นเอง


    เดวิดนี่สร้างเซอร์ไพรส์ได้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลยมั้ง อัลบั้มนี้ปล่อยออกมาในวันเกิดครบ 69 ปี ของเขา จากนั้น 2 วันให้หลัง เขาก็จากโลกไป ทิ้งผลงานน่าพิศวงชิ้นสุดท้ายไว้ ซึ่งเราทึ่งมาก ทั้งเพลง ทั้งอัลบั้มอาร์ต ทั้ง mv ทุกอย่างมันศิลป์มากๆ เพลงในอัลบั้มนี้เป็นแนว แจ๊ซร็อค ซึ่งก็เป็นแนวที่เราพึ่งมารู้จักเพราะเขาอีกเหมือนกัน ขอแนะนำให้ฟังทั้งอัลบั้มรวดเดียวจบ แนวเพลงอาจจะไม่แมส แต่ก็คุ้มที่จะลองนะ

    ฮียังทำ MV เพลง Blackstar ไว้ด้วย หลายเสียงพูดเหมือนกันว่า mv นี้ เหมือนบอกเป็นนัยว่า เมเจอร์ทอม จาก Space Oddity (อัลบั้มแรก) ได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว (ในอัลบั้มสุดท้ายนี้) กับ Lazarus ที่เป็น MV ส่งท้าย อำลาแฟนเพลงและอำลาวงการ ยังจำครั้งแรกที่ดูเอ็มวีนี้ได้ เราตะหงิดๆว่ามันเหมือน farewell อะไรซักอย่าง เพราะฮีใส่ชุดเดียวกับที่ฮีเคยใส่เมื่อช่วงกลางยุค70 แต่ด้วยความที่ชินแล้วกับความเดวิดโบวี่ ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ส่วนตัวเรายกอัลบั้มนี้ให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 2016 เพราะความศิลป์ของอัลบั้มนี้ล้วนๆ (บวกความติ่งด้วยนิดหน่อย)

    จริงๆเราตั้งหน้าตั้งตารอ blackstar มากเลยนะ ถึงขนาดพูดอยู่นั่นแหละว่าอยากให้ถึง 2016 เร็วๆ อยากฟัง แต่ 2016 ทำฉันเจ็บแสบมาก /หงอย


    อันที่จริงอยากเขียนอีกหลายอัลบั้มเลย แต่ขี้เกียจแล้ว แต่เดี๋ยวจะยาวไป 5555 ส่วนความอเมซิ่งของผู้ชายคนนี้พูดไปสักสิบหน้ายังไม่หมดเลยอะ เดวิดเป็น inspiration ให้คนอื่นอีกมากมายในเลเวลที่เราโคตรทึ่งว่าทำไมคนคนนึงถึงสร้างแรงบันดาลใจได้ขนาดนี้ (สังเกตุจากหลังเขาเสียชีวิต เราเห็นคนเกือบทุกวงการออกมาร่วมแสดงความเสียใจ) ศิลปินดังๆตั้งแต่ยุค 70 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันส่วนมากล้วนมีเขาเป็นต้นแบบทั้งนั้นเลย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยกตัวอย่างสักนิด เช่น Iggy Pop, Roxy Music, Suede, Joy Division, Nirvana, Radiohead, Kiss, The Smiths, Manic Street Preachers, The Psychedelic Furs, Dua Lipa, Vampire Weekend, The Cure, Walk the Moon, Nine Inch Nails, Marilyn Manson, Lady Gaga, Queen, Madonna, Muse (พอแล้วก็ได้..)

    จะเห็นว่ามีวง britpop เยอะเป็นพิเศษ เพราะ glam rock เป็นต้นกำเนิดของ britpop และ alternative แหละ

    ขอฝากผู้ชายคนนี้ไว้ให้ลองทำความรู้จัก ใครลองฟังเพลงเขาแล้วถูกใจก็มาคุยกันได้นะ ไม่ว่าจะถูกใจเพลงหรือเรื่องอื่นๆก็ตาม หรือมาสครีมความหล่อและความสวยให้เราฟังเฉยๆก็ได้ ได้หมด 5555 หรือชวนคุยเรื่องศิลปินคนอื่นก็ได้ วงเก่าวงใหม่ได้หมด เย่ นี่จ่ะทวิตเตอร์ @ofdustspace


    ใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะฮะ ;)

    ฝากอันนี้ไว้ เวลาเครียดๆให้ลองเปิดมาดู

    เผื่อหาย ไม่ก็เครียดกว่าเดิม




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
a sad, quiet life (@fb7736774630809)
เพิ่งได้มาอ่านหลังจากนั่งค้นหาประวัติเดวิด รู้สึกฟินมากครับที่เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน ♥