ยังไม่เสร็จ ทำไปได้ประมาณ 70% กำลังอัพเดทเรื่อยๆ

1. Flora & Ulysses กับการผจญภัยอันเจิดจรัส – Kat DiCamillo

“เล่มแรกของปี กับเพื่อนที่คุ้นเคย”

ฉันเคยอ่านงานของเคทมาก่อน

เคทเป็นนักเขียนในดวงใจตั้งแต่ได้อ่าน Because of Winn-Dixie สุนัขร้านชำทำเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อน

มาครั้งนี้เหมือนได้กลับมาอ่านงานที่คุ้นเคยอีกครั้ง กับหนังสือเล่มแรกของปีที่ได้เริ่มอ่านอีกครั้ง

เรื่องราวของฟลอร่า เด็กหญิงผู้ขวางโลก

ได้มาพบกับเจ้ากระรอกน้อยยูลิสซิสที่ถูกเครื่องดูดฝุ่นเปลี่ยนให้เป็นซูเปอร์กระรอก

ยูลิสซิสเข้ามาเปลี่ยนชีวิตให้ฟลอร่าไปอย่างสิ้นเชิง

ไหนจะเป็นเพื่อนข้างบ้านท่าทางประหลาด และครอบครัวแปลกๆของเธอ

เนื้อเรื่องแปลกใหม่ดี มีภาพประกอบให้ดูหลายภาพ

เด็กๆอ่านได้ ผู้ใหญ่ก็อ่านได้ แล้วจะหลงรักจนวางไม่หลง

…ถือเป็นการเริ่มต้นการอ่านที่ดี !

==========================================================================

2. Everest Base Camp ฝันเสียดฟ้า – กฤษณ์ คุนผลิน

“ยิ่งสูง ยิ่งสวย แม้จะท้อ แต่ก็อดทนเพื่อความงดงาม”

เล่มนี้บอกเลยว่าซื้อมาเพราะสนใจการไปเทรคกิ้งที่เนปาลมาก

ไม่ว่าจะเป็น Poon Hill, ABC, EBC

และเล่มนี้ก็พาเราไปถึง EBC ซึ่งยังไม่ค่อยเห็นใครมาเขียนเป็นเล่มเท่าไรนัก

ส่วนมากจะอยู่เป็นกระทู้ตามในพันทิป

แต่เล่มนี้ สามหนุ่มไทยพาไปยังเนปาลเพื่อพิชิต EBC

ซึ่งเป็นเส้นทางเทรคที่โหดหินมากเอาการ

จะไปแบบร่างกายปลวกๆคงไม่ได้

นี่ถ้าใครมีแพลนนะ เล่มนี้เหมาะมาก

เขาเล่าทุกอย่างว่าเตรียมอะไรบ้าง การเป็นอยู่ยังไง เจออะไร

ซึ่งมันตื่นเต้นตามด้วยเลย ลุ้นไปด้วย

เล่มนี้คนรักเทรคกิ้งควรมีไว้ติดบ้านนะ แม้เราจะมีฝันอยู่แค่ Poon Hill หรือโมโกจูก็เหอะน่า…

==========================================================================

3. ครอบครัวอลเวง สัตว์เลี้ยงอลวน – Sabine Ludwig

“เหมือนกลับมาเจอเพื่อนเก่าที่คิดถึงเหลือเกิน คนรักสัตว์ต้องชอบ อยากอ่านหลายรอบอย่างไม่มีเงื่อนไข”

อ่านกันมาตั้งแต่อยู่ประถม นี่ผ่านไปหลายปีกลับมาอ่านใหม่ก็ยังสนุกเหมือนเดิม

ในสมัยก่อนนานมีบุ๊คส์ขยันมีหนังสือสำหรับเด็กแบบนี้เยอะ

ฉันก็ติดใจแต่เสียดายที่ซื้อมาเก็บไม่มากเท่าไร

(เหลือบไปดูในตู้หนังสือ คือก็มากอยู่นะแก ถ้ารวมเซ็ตแฮร์รี่ด้วยนี่ยิ่งแล้วใหญ่ -_-“)

จะไงก็ตาม ไม่เสียดายเลยที่ซื้อเล่มนี้มา เรื่องราวปนภาพ

(เอ๊ะ รึต้องบอกว่าวรรณกรรมภาพที่มีบทบรรยายถึงจะถูก) เล่มนี้

เกี่ยวกับเด็กหญิงอันโทนที่เพิ่งสูญเสียแม่ไป และพ่อกำลังจะแต่งงานใหม่

เธอไม่ชอบผู้หญิงคนใหม่คนนั้น นางชื่อเอลิซาเบ็ธ

หล่อนย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเธอพร้อมด้วยลูกสาวน่ารังเกียจที่ชื่อมอลลี่และเจ้าแมวจอมหยิ่ง

แต่ยังดีที่อันโทนไม่ได้เดียวดาย เจ้าม็อบหมาของเธอยังจงรักภักดีต่อเธอเรื่อยมา

แต่ในความที่มีวิกฤติ มันก็ยังคงมีโอกาส

และเป็นเพราะเจ้าม็อบนี่แหละที่ช่วยประสานรอยร้าวในครอบครัว

ให้ได้มาอยู่กันอย่างมีความสุขกับเขาบ้างซักที

==========================================================================

4. ฤดูร้อนมูมิน – Tove Jansson

“อ่านเพลิน หลงรักมูมินและผองเพื่อนหมดใจ โดยเฉพาะสนัฟกิ้น”

เพราะเมื่อครั้งหนึ่งฉันได้รู้จักมูมินและครอบครัวจากหนังสือเรื่องหนึ่ง

เรื่องนั้นชื่อว่า ดาวหางในเมืองมูมิน

ตอนนั้นอายุสัก 13-14 ได้มั้ง

สิบกว่าปีผ่านไปได้กลับมาอ่านอีกครั้ง

ยังคงรักมูมินเหมือนเดิม

มูมินเป็นตัวละครที่ลักษณะคล้ายฮิปโป อาศัยอยู่ในหุบเขามูมิน (Moomin Valley)

ในครอบครัวประกอบด้วย มูมินปาป้า มูมินมาม่า มูมินโทรล

และผองเพื่อนอย่างสาวสนอร์ก (Snork maiden) พี่ชายของสาวสนอร์ก

ลิตเติ้ลมาย (หนูมาย) ลูกสาวมิมเบิ้ล (พี่สาวของหนูมาย)

สนัฟกิ้น นักดนตรีพเนจร และสนิฟ เพื่อนผู้ขี้ขลาด

ใกล้ๆก็จะมีบ้านของคุณเฮมมิวเลนด้วย

ตัวละครทั้งหมดก็ปรากฏในเล่มนี้เช่นเดียวกัน เรื่องมันก็เริ่มต้นที่

วันหนึ่งมีน้ำท่วมครั้งใหญ่ในหุบเขามูมิน

บ้านของพวกเขามีระดับน้ำท่วมสูงอย่างรวดเร็วจนพวกเขาต้องไปอยู่บนหลังคา

แต่่แล้วก็มีเวทีรูปร่างประหลาดลอยน้ำมา พวกเขาจึงตกลงจะไปค้างคืนที่นั่น

แต่หารู้ไม่ว่าที่นั่นคือโรงละครของหนูเอ็มม่า (เป็นหนูจริงๆน้า)

สถานการณ์ยังเลวร้ายไม่พอ เมื่อมูมินโทรลและสาวสนอร์กต้องพลัดหลงกับที่บ้าน

หนูมายก็หายไปพร้อมกับตะกร้าเย็บปักถักร้อยของมูมินมาม่า

เอาล่ะสิ การผจญภัยของทุกคนเริ่มต้นขึ้นแล้ว

และพวกเขาจะกลับมาเจอกันได้ยังไง ต้องลองอ่านดู

ตูเว ยานซอน คนเขียนเป็นชาวฟินแลนด์ที่สร้างมูมินขึ้นมา

ทุกวันนี้ที่ฟินแลนด์มีพิพิธภัณฑ์บ้านมูมินเปิดให้เข้าชมซึ่งเป็นที่ที่ฉันอยากไปเยือนจริงๆ

นอกจากจะได้ความสนุกและอบอุ่นแล้ว

การได้รู้จักกับมูมินมันทำให้วัยเด็กของเราถูกขัดเกลา

วัยผู้ใหญ่ของเราถูกปลอบโยน ยังไงยังงั้น

อ้อ แล้วฉันพูดถึงสนัฟกิ้น หนุ่มพเนจรผู้ซึ่งมีข้อคิดดีๆมาแบ่งปันเสมอๆ

ในเล่มนี้นอกจากเขาและหนูมายจะได้ทำการปลดแอกเด็กๆออกจากกรงแล้ว

สนัฟกิ้นยังเรียนรู้การได้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยผู้หิวโหยอีกด้วย

Quote ยอดฮิตของเขาในเล่มนี้ก็น่าจะเป็น

“มา เด็กๆ มาแหกกฏกันเถอะ !”

==========================================================================

5. เดอะ ดอลล์ พีเพิล – Ann M. Martin & Laura Godwin

“อ่านกี่รอบก็ประทับใจ การผจญภัยของตุ๊กตายามค่ำคืน บางทีก็นึกอยากให้แอบได้ยินเสียงตุ๊กตาที่บ้านคุยกัน  (ไม่เอาโหมดหลอนๆนะ บรื๋อออ)”


หนังสือเล่มเก่า ไม่เคยน่าเบื่อเลยสำหรับฉัน

หนึ่งในนั้นก็คือเล่มนี้ เดอะ ดอลล์ พีเพิล

ฉันอ่านรอบที่สองหรือสามได้แล้วในช่วงปีที่ผ่านๆมา

จริงๆแล้วต้นฉบับภาษาอังกฤษมีถึง 3 หรือ 4 เล่มแต่

น่าเสียดายที่แปลไทยมีเพียงเล่มเดียว น่าเสียดายจริงๆ

เรื่องราวของครอบครัวตุ๊กตาอายุนับร้อยปีอย่างครอบครัวดอลล์

ประกอบด้วยแอนนาเบล พ่อ แม่ ลุง น้องชาย และแนนนี่

จริงๆแล้วในครอบครัวเคยมีป้าซาร่าห์อีกคนหนึ่ง

แต่ป้าหายไปตัวนานแล้วและไม่มีใครในบ้านพูดถึง

แอนนาเบลมีนิสัยเหมือนป้า เธออยากรู้อยากเห็น ชอบผจญภัย

แม้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เพียงช่วงที่มนุษย์นอนหลับกันหมดแล้วก็ตาม

แต่แล้ววันหนึ่งครอบครัวดอลล์ก็มีเพื่อนบ้านใหม่

ครอบครัวฟันคราฟต์สุดประหลาด ประกอบด้วยทิฟฟานี

พ่อ แม่ น้องชาย และข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย

(แน่นอนว่าบ้านฟันคราฟต์และบ้านดอลล์อายุห่างกันเป็นร้อยๆปี)

ทิฟฟานีและแอนนาเบลมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันแทบทุกคืนนั่นคือ

การออกตามหาป้าซาร่าห์ที่หายไป

แน่นอนว่าแม้ครอบครัวจะคัดแค้น (บ้านฟันคราฟต์เป็นข้อยกเว้น)

แต่เด็กๆก็ได้ออกไป แม้ว่าต้องเจอเรื่องน่าตื่นเต้นจากบรรดาแมวและเด็กผู้เป็นเจ้าของ

หรือแม้แต่การก่อกวนจากบรรดาตุ๊กตาสัตว์น่ารำคาญของนอร่า

แต่ในที่สุด ครอบครัวก็ได้กลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง

เป็นเรื่องที่น่ารักอ่านแล้วชื่นหัวใจ ภาพประกอบก็ดีงาม

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแปลไทยเล่มต่อ

สงสัยคงต้องสั่งมาอ่านเองซะแล้วล่ะ

==========================================================================

6. ชีวิตใหม่เกิดจากการทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม – Romain

“หนังสือรูปเล่มยาว บรรจุเรื่องราวพร้อมภาพเล่าเรื่อง ตามประสาศิลปินหนุ่มนักเดินทาง”

ตอนแรกซื้อมาเพราะชื่อเรื่องล้วนๆ

==========================================================================

7. ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน

“ยินดีที่ได้รู้จัก มิสเตอร์มุราคามิ…คุณทำฉันร้องไห้นะ”

ไม่น่าเชื่อว่านี่คือเล่มแรกที่เป็นเรื่องสั้นที่ฉันอ่านแล้วรู้สึกดีใจเป็นที่สุดที่งานของมุราคามิกับฉันเรื่องนี้พอไปกันรอด

เล่มนี้เป็น 1 ใน 3 เล่มของ set ‘แฟนมูราคามิรวมหัว’ ของสนพ.กำมะหยี่

และดูท่าว่าจะเบาสุดแล้ว เผื่อว่าถ้าไม่ชอบการเขียนแนวนี้ จะได้ไม่ซื้อเล่มต่อๆมาอีก

แต่…ความโชคดีของมุราคามิจริงๆที่ฉันหยิบเล่มนี้มาอ่าน

เพราะถ้าไม่ใช่เล่มนี้ แต่เป็นเล่มอื่น มันคงไม่ใช่แบบที่เป็นทุกวันนี้

งานเขียนของมุราคามิเต็มไปด้วยความบอกไม่ถูก

ไม่รู้จะบรรยายยังไง จะว่าเรียลลิสติกก็ไม่ จะแฟนตาซีก็ไม่

มันปะปนกันไปหมด ความรู้สึกตอนอ่านนี่จำได้ว่าลื่นไหลมาก อารมณ์ตัวละครมันเหงาๆพิลึก

บางเรื่องนี่ราวกับเป็นธนูปักกลางใจโดนอารมณ์อ่อนไหวเรียบร้อย

ถึงกับร้องไห้น้ำตาซึมเลยก็มี เพราะมันช่าง ‘นี่มันฉันชัดๆ’ !

มันเหมือนกับว่ามุราคามิบำบัดฉัน ฉันรู้สึกแบบนั้นในบางเรื่องที่ฉันอ่านและอินไปเต็มๆ

เหมือนกับว่าหนังสือของมุราคามิไม่ได้มีไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา แต่มีไว้ให้มาเหงาเป็นเพื่อนกันต่างหาก…

รวมเรื่องสั้นของหนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วย…

  • ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน >> ชายคนหนึ่งว่าจ้างชายอีกคนให้มาเฝ้าบ้านช่วงเขาไม่อยู่ แต่บ้านหลังนั้นมีบางสิ่งที่ลึกลับเนี่ยสิ
  • การมาถึงของปีศาจเขียว >> ผู้หญิงคนหนึ่งเจอตัวประหลาดสีเขียวที่งอกขึ้นมาจากหลังบ้านเพื่อมาสารภาพรักเธอ
  • เงียบงัน >> ชายคนหนึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับอดีตสมัยเรียนมัธยมที่เคยเกิดเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเขาตลอดกาล
  • มนุษย์น้ำแข็ง >> ความรักของหญิงสาวธรรมดาๆกับมนุษย์น้ำแข็งที่น่าทึ่ง
  • โทนี ทะกิทะนิ >> เรื่องของชายคนหนึ่งที่พบเจอเรื่องราวมากมายรวมถึงการจัดการกับชุดของภรรยาที่เยอะเป็นภูเขา
  • ชายคนที่เจ็ด >> ชายคนหนึ่งเล่าเรื่องราวตอนสมัยเด็กในชีวิตที่มีเพื่อน บ้านที่ติดทะเลและพบเจอเกลียวคลื่นยักษ์
  • หลับใหลในโลกเลือน >> เด็กหนุ่มไปเยี่ยมแฟนสาวของเพื่อนที่โรงพยาบาล


บอกเลยว่าเป็นการเปิดตัวทำความรู้จักกับมุราคามิที่ดีมากๆ

เพราะหลังจากนั้นฉันก็เริ่มมองหาเล่มต่อไปของเขามาอ่านแบบกระหายที่จะซื้อเดี๋ยวนั้นเลย

และแล้วอีกไม่กี่วันต่อมา ฉันก็ได้อีกเล่มมาครอบครอง

เล่มนั้นมีชื่อว่า ‘คำสาปร้านเบเกอรี่’

ถ้าให้เลือกตอนที่ชอบที่สุดนี่บอกไม่ถูกเลย

แต่ให้ มนุษย์น้ำแข็ง > โทนี ทะกิทะนิ > เงียบงัน = ชายคนที่เจ็ด

ส่วนประโยคที่ชอบนี่เยอะไปหมด ไม่ขอเลือกได้ไหม

จะเป็นคนหลายใจเฉพาะก็แต่เรื่องนี้

==========================================================================

8. ร้านหนังสือ 24 ชั่วโมงของคุณเพนุมบรา – Robin Sloan

“เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน ในขณะเดียวกันก็ให้อารมณ์ลุ้น ครึ่งแรกประทับใจมาก ครึ่งหลังเริ่มเข้าใจยาก”

สนพ.กำมะหยี่ได้จัดทำหนังสือออกมา 1 ชุด เป็นชุดเกี่ยวกับหนังสือ

ชื่อชุด …


==========================================================================

9. เด็กหญิงอีดะ – Miyoko Matsutani

“น้ำตาซึมอย่างไม่มีเหตุผล งดงาม แม้สงครามจะโหดร้าย”

ฉันหลงรักทุกตัวละคร โดยเฉพาะเก้าอี้ไม้ตัวนั้น

ยิ่งคิดไปยิ่งเข้าข้างตัวเองว่า ชีวิตฉันช่างเหมือนเก้าอี้ตัวนี้

แม้เราจะเศร้าต่างรอคอยคนสำคัญของเราให้กลับมา แต่ทุกวันก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง

แม้จะมีการเข้าข้างตัวเองในบางครั้ง แต่ก็เป็นการเห็นแก่ตัวที่งดงาม

==========================================================================

10. คำสาปร้านเบเกอรี่ – Haruki Murakami

“เดินหน้าต่อกับคุณมุราคามิ…และเป็นอีกครั้งที่เกือบจะไม่ผิดหวังเลย”

หยิบมาอ่านต่อเนื่องกับเรื่องสั้นของมุราคามิ จากที่ติดอกติดใจกับเล่มแรกไปแล้ว

มาเล่มนี้ จะมีเรื่องสั้นทั้งหมด 6 เรื่อง บางเรื่องเป็นเรื่องสั้นที่เป็นภาคต่อของตัวละครจากนิยายเรื่องยาวของมุราคามิ

และบางเรื่องก็เป็นต้นกำเนิดให้กับหนังสือของเขาบางเล่นด้วย เรื่องสั้นประกอบด้วย:

  • คำสาปร้านเบเกอรี >> สองสามีภรรยาวางแผนปล้นร้านขนมตอนกลางคืนเพื่อลบล้างคำสาปจากการปล้นครั้งแรก
  • ช้างหาย >> ชายหนุ่มคนหนึ่งกับการติดตามเรื่องราวของช้างตัวหนึ่งในเมืองที่หายไปพร้อมควาญราวกับมีเวทมนตร์
  • พี่ชาย น้องสาว >> เมื่อน้องสาวจะมีแฟน พี่ชายจำต้องมาทำความรู้จักสักหน่อย แม้จะไม่ชอบใจนักก็ตาม
  • ฝาแฝดและทวีปที่จมดิ่ง >> สองฝาแฝดที่เคยรู้จักได้ปรากฏตัวอีกครั้ง ณ ที่ที่ชายที่เคยอยู่ร่วมกับเธอไม่สามารถหาพบ
  • อาณาจักรโรมันล่มสลาย ชาวอินเดียนลุกฮือเมื่อปี 1881 ฮิตเลอร์บุกโปแลนด์ และโลกแห่งสายลมเกรี้ยวกราด >> ชายคนหนึ่งบันทึกไดอารี่ด้วยถ้อยคำเสมือนมีเขาคนเดียวที่รู้มา 22 ปีแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันลมแรงวันหนึ่งขณะที่เขากำลังรอเพื่อนสาวที่ชอบใช้ผ้าปิดตาเวลามีเซ็กซ์กับเขา
  • ตำนานนกไขลาน >> เรื่องของเด็กสาววัยกระเตาะในชุดบิกินีกับชายที่ออกตามหาแมวให้ภรรยาแถวๆบ้าน


แม้เรื่องสั้นทั้งหมดจะมีบ้างที่ฉันชอบและไม่ชอบ

แต่โดยรวมก็ดีใจที่ได้อ่านก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องยาวกว่านี้

แต่ดูจากแนวๆแล้ว ฉันคงเป็นแฟนมุราคามิแค่ครึ่งเดียว

ฉันว่าตัวฉันคงไม่สามารถอ่านงานที่บีบคั้นอารมณ์หรือเต็มไปด้วยความหวือหวาได้โดยตลอดทั้งเล่ม

และอาจเป็นเพราะว่าฉันพอจะรู้จักตัวละครเอกของมุราคามิจากหลายๆเรื่องได้แล้วว่ามีความสับสนในจิตใจเพียงใด

ฉันยังไม่อาจอ่านเรื่องของคนจิตใจสับสนทั้งๆที่ฉันก็เป็นคนจิตใจสับสนพอๆกับพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างราบรื่น

เพราะฉะนั้น ขอโลกสวยเล็กๆในเรื่องสั้นแล้วกัน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องสั้นทุกเรื่องจะโดนใจฉันหมด ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น

เรื่องสั้นบางเรื่องเปรียบดั่งเวลาไปโรงเรียน ที่มีทั้งสุข เศร้า เหงา ป่วย รอคอยเสียงกริ่งเลิกเรียน

บางเรื่องเหมือนเวลาต่อคิวยืนรอคิดเงินที่แคชเชียร์

พอจะถึงคิวคุณ แคชเชียร์ก็ตั้งป้าย ‘พักเที่ยง โปรดใช้บริการช่องถัดไป’

ปล่อยให้คุณยืนเคว้งและงงว่าที่ผ่านมาคืออะไร

บางเรื่อง เหมือนตอนอ่านหนังสือตอนฝนตกหนักๆ แล้วไฟดับ

อารมณ์หยุดกึกจำต้องวางหนังสือลงซะ

นี่แหละบางเรื่องที่ว่ามามันก็เป็นเสน่ห์ของเรื่องสั้นที่เรื่องยาวก็ทำไม่ได้

แต่เรื่องยาวก็มีเอกลักษณ์ที่เรื่องสั้นไม่มี

ดังนั้น ฉันเลือกที่จะมีความรู้สึกแบบที่ยกตัวอย่างสามเหตุการณ์ข้างต้นในการอ่านแค่เล่มเดียว

และไม่อยากให้มันยาวนานไปกว่านั้น

ดังนั้นจึงเลือกเรื่องสั้นของมุราคามิอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะบางครั้งในความล้มเหลว ความว่างเปล่าของตัวละคร

มันก็ทำให้ฉันตบเข่าฉาดและบอกว่า ‘นี่มันฉันชัดๆ !’ และบางเรื่องก็ตบเข่าจนแดงไปหลายครั้ง

พล่ามมาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เอ้า เข้าเรื่อง …

เรื่องที่ชอบสุด คือ ช้างหาย อ่านได้ลื่นไหลดีจัง

รองลงมาก็ พี่ชาย น้องสาว

อ้อ มีอีกเรื่อง สำหรับเรื่องนี้ มันจะมีชื่อของตัวละครหนึ่งปรากฏแทบจะทุกเรื่องสั้นในเล่มเลย

เขาชื่อว่า โนโบรุ วาตานาเบะ

บางเรื่องเขาเป็นคู่หมั้นของหญิงสาว บางเรื่องเป็นเจ้านาย

บางเรื่องเป็นหุ้นส่วน บางเรื่องเป็นแมว บางเรื่องเป็นพี่เขย

พอไปถามอากู๋มาเขาบอกว่าเป็นชื่อจริงของ อันไซ มิซึมารู illustrator ที่มุราคามิสนิทด้วย

เลยเอามาตั้งชื่อซะหลายเรื่องเลย

นี่แหละเสน่ห์ของเรื่องสั้น มีโนโบรุ วาตานาเบะในบทบาทที่หลากหลายได้ตั้ง 5-6 คนเชียว !

==========================================================================

11. เพลงรัตติกาลรักในห้วงคะนึง – Kazuo Ishiguro

“เรื่องสั้นอ่านเคลิ้ม ราวกับรับรู้ความนึกคิดของนักดนตรีและเสียงเพลงของพวกเขา”

ขอชื่นชมว่า หน้าปกสวยบาดใจมากๆ

เห็นครั้งแรกใน Readery บวกกับอ่านคำโปรยแล้วก็ เออ น่าสนใจแฮะ สอยเลย

ช่วงนี้หลังจากผ่านงานเรื่องสั้นของมุราคามิมาแล้ว

ก็อยากจะลองเรื่องสั้นของนักเขียนคนอื่นดูบ้าง เรื่องนี้มาประจวบเหมาะ

เรื่องสั้นในเรื่องมีทั้งหมด 5 เรื่อง ประกอบด้วย:

  • นักร้องอมตะ >> ชายผู้เป็นนักร้องเก่ากำลังจะเตรียมทำเซอร์ไพรซ์ให้ภรรยาโดยการร้องเพลงบนเรือเรียบคลองเวนิซให้เธอฟัง
  • ฝนจะตกหรือแดดจะออก >> สามเพื่อนรักกลับมาเจอกันหลังจากผ่านมรสุมชีวิต หากแต่พายุบางลูกก็ยังไม่สงบดีนัก
  • มาลเวิร์นฮิลส์ >> นักแต่งเพลงหนุ่มหามุมสงบในชนบทเพื่อแต่งเพลง แถมยังได้พบกับสองสามีภรรยานักดนตรีผู้เปี่ยมไฟฝัน
  • เพลงรัตติกาลรัก >> ประสบการณ์ยามค่ำคืนของนักแซกโซโฟนที่เพิ่งผ่านการศัลยกรรมใบหน้าและภรรยาจากเรื่องสั้นเรื่องแรก
  • นักเชลโล >> เรื่องของนักเชลโลหนุ่มกับการฝึกซ้อมดนตรีกับคุณครูสาวที่จะดึงเอาความสามารถของเขาออกมา


แม้เรื่องสั้นจะมีเพียง 5 เรื่อง หากแต่มันก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ค้างคาหลังอ่านจบ

บางเรื่องก็เอามาคิดต่อ บางเรื่องก็จุกๆอยู่เหมือนกัน

โดยเฉพาะเรื่องที่สอง ที่ฉันชอบเป็นพิเศษ กับตัวเอกที่ล้มเหลวในแทบจะทุกอย่างของชีวิต

หากแต่เขาก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีอยู่ตั้งสองคน เพื่อนสองคนนี้แต่งงานกัน

และมีชีวิตที่ไม่รื่นร่มนัก เขาจะเป็นคนประสานรอยร้าวนั้นได้หรือไม่

แต่ไม่ว่าจะยังไง ความรู้สึกที่ชอบคือ

ความจริงในชีวิตที่เราต้องเจอนี่แหละ ทั้งการหย่าร้าง การตกงาน การขาดแพชชั่น ขาดแรงบันดาลใจ

ทุกเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงว่าตัวละครขาดสิ่งเหล่านี้ และจะหาวิธีมาเติมเต็มได้ยังไง

อ่านไปๆรู้สึกมองเห็นช่องโหว่ในชีวิตตัวเองขึ้นมาเลย

ฉันไม่เคยอ่านงานของอิชิกุโระ แต่เคยดู Never Let Me Go จากหนังสือ นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์

ที่มีนักแสดงอย่าง Andrew Garfield, Carey Mulligan, Keira Khightley แสดง

อยากจะบอกว่ามันโคดมืดมนเลย เศร้าไปนะ หม่นไปป่าว โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้น

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่แนวดนตรีจ๋า แบบนึกว่าจะเห็นตัวหนังสือลุกออกมาเล่นซิมโฟนีออเคสตร้า

หรืออ่านไปแล้วได้ยินเพลงของโชแปง

แต่มันจะเป็นแบบกลิ่นอายดนตรีล้อมรอบ เชื่อว่าอ่านจบ

จะมีหลายอารมณ์ประเดประดังเข้ามา แต่ที่โดดเด่นสุดน่าจะเป็นความอิ่มเอมใจ

==========================================================================

12. อาฟเตอร์เดอะเควก – Haruki Murakami

“แผ่นดินไหวขับเคลื่อนทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่มองเห็นชัดเจนและสิ่งที่ต้องใช้ความรู้สึก”

เรื่องสั้นอีกเล่มของมุราคามิที่รีบหยิบมาต่อเนื่องหลังจากเล่มที่แล้ว

มาเล่มนี้ บอกเลยว่ามุราคามิใส่ความแปลกใหม่มาให้อีกแล้ว

ประกอบด้วย 6 เรื่องสั้นที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวโกเบเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538

แผ่นดินไหวครั้งนั้นคร่าชีวิตไป 6 พันกว่าคน ในเวลาที่ไหวเพียง 20 วินาที

และเหตุการณ์หลังการสั่นสะเทือนนี้ปรากฏในตัวละครทั้ง 6 ในเล่มนี้

โดยเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์หลังผ่านแผ่นดินไหวมา 1 เดือน

  • ยูเอฟโอที่คุชิโร่ >> ภรรยาของชายคนหนึ่งหายตัวไปหลังจากนั่งดูข่าวแผ่นดินไหว เขาจึงออกเดินทางไปฮอกไกโดและนอนกับเด็กสาว
  • ทัศนียภาพกับเตารีด >> เด็กสาวคนหนึ่งนั่งหน้ากองไฟริมทะเลกับชายวัยกลางคน พูดคุย และแลกเปลี่ยนความเหงา
  • บุตรหลานพระเจ้าล้วนเบิกบาน >> เด็กหนุ่มกับแม่เลี้ยงเดี่ยววัยสาว วันหนึ่งเด็กหนุ่มเดินสะกดรอยตามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อแท้ๆ
  • ไทยแลนด์ >> แพทย์หญิงคนหนึ่งมาเยือนประเทศไทยและได้พบกับคนขับแท็กซี่ผู้มีความไม่เหมือนใคร
  • กบคุงพิทักษ์โตเกียว >> ชายคนหนึ่งถูกกบตัวหนึ่งขอร้องให้ช่วยปราบหนอนยักษ์ตัวการที่จะทำให้แผ่นดินไหวในวันรุ่งขึ้น
  • พายน้ำผึ้ง >> เรื่องราวของสามเพื่อนสนิท 1 หญิง 2 ชายที่รักเธอคนเดียวกัน เมื่อเธอเลือก อีก 1 คนต้องเจ็บ แต่แล้ว วันที่ฟ้าเปิดกว้างก็มีให้เขา วันที่เขาจะกลับมาสารภาพรักกับเธอ


เอาจริงๆบอกได้เลยว่า พายน้ำผึ้ง เป็นเรื่องสั้นที่น่ารัก

โรแมนติก และสมหวังที่สุดของมุราคามิแล้ว

ฉันยิ้มจนจบเรื่อง

ส่วนเรื่องที่ชอบพล็อตมากๆก็เรื่อง คุณกบคุงปราบหนอนยักษ์

จะบอกว่าเรื่องนี้สนุกจริงๆนะ รักกบคุงมากกกกกกกกกกกก

ส่วนเรื่องไทยแลนด์ เห็นชื่อแล้วตกใจว่าเอ๊ะ เกี่ยวอะไรกับบ้านเรา

แต่พอได้อ่านก็รู้สึกดี แพทย์หญิงสาวโสดมาพักผ่อนแต่ในใจมีรอยแผลจากความรัก

และถ้าให้เลือกว่าอยากจะสวมบทบาทเป็นตัวละครตัวไหนในเรื่องนี้

ตัวละครหญิงของเรื่อง ทัศนียภาพกับเตารีด ก็น่าสนใจ

ชอบตรงที่ได้นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณลุงที่อบอุ่นและมีความคิดดีๆให้เธอได้ฟังนี่แหละ

สรุป เล่มนี้ตัวละครแต่ละคนก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวไม่มากก็น้อย

แต่มุราคามิก็ร้อยเรียงพวกเขาไว้ด้วยกันได้ลงตัว

ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็เกินความคาดหมายของฉันไปเหมือนกัน

โดยเฉพาะเรื่อง พายน้ำผึ้ง และกบคุง

เอาใจช่วยกบคุงต่อไปนะ ! ไฟต์โตะ !!!

==========================================================================

13. ละครสัตว์รัตติกาล – Erin Morgenstern

“ได้กลิ่นมนต์มายากล จากถ้อยคำที่ถักทอจนสวยหรู หากแต่ไร้ซึ่งความน่าติดตาม”

ไม่ใช่เล่นๆที่ฉันจะใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ถึง 2-3 ปี

เริ่มพลิกหน้าแรกรู้สึกจะราวๆกลางปีของปี 2014

เยิ่นเย้อ ปล่อยวาง ยอมแพ้มาตลอด

แต่ในที่สุด ปีนี้แหละที่ฉันตั้งใจจะเอาชนะให้ได้ ฉันจะจบให้ได้…

และแล้วก็ทำได้นะ แต่ต้องใช้ความอดทนน่าดู

อดทนในการทำอะไร คำตอบก็คือ

อดทนที่จะไม่วางหนังสือแล้วไปอ่านเล่มอื่น (เหมือนจะแอบเริ่มเล่มอื่นไปบ้าง)

อดทนที่จะไม่เอาไปกองรวมกับหนังสือที่ไม่อยากแตะต้องอีก

(ใน Bookshelf ฉันยังไม่มีหนังสือที่ว่านี้อย่างเป็นทางการ)

เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย ฉันจึงใช้วิธีจินตนาการนักแสดงที่ฉันชอบให้มาสวมบทบาทตัวละครในเรื่องขณะฉันอ่าน

นี่เป็นวิธีที่ได้ผลในกรณีที่คุณอยากอ่านเรื่องนั้นให้จบจริงๆ

แต่เรื่องที่สนุกบางเรื่องฉันก็ใช้วิธีนี้นะ สนุกกว่าเดิมด้วยซ้ำ

มาว่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้

เป็นเรื่องเกี่ยวกับสองผู้ยิ่งใหญ่ที่พยายามจะส่งศิษย์ชายหญิงของตนแข่งขันกันผ่านคณะละครสัตว์

โดยคณะละครสัตว์นั้นจะต้องเป็นส่วนผสมที่เป็นผลงานที่ศิษย์ทั้งสองรังสรรค์ขึ้นมา

ศิษย์ชายคือ มาร์โก อลิสแดร์

ศิษย์หญิงคือ ซิเลีย โบเวน

นอกจากนี้ ยังมีตัวละครอื่นเป็นส่วนหนึ่งของคณะละครสัตว์ด้วยเช่น

แฮร์ทีสเซ็น ผู้ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์กลไกของคณะละครสัตว์และสนิทกับซีเลีย

ชานเดรช เลอแฟฟร์ ผู้อำนวยการสร้าง (มั้ง) คณะละครสัตว์และเป็นนายของมาร์โก

ทซึกิโกะ นักดัดตนผู้อ่อนช้อยชาวญี่ปุ่น (จำนางไว้ดีๆ นางมีเรื่องราว)

อิโซเบล สาวนักดูดวงผู้หลงรักมาร์โกและเคยคิดว่าครั้งหนึ่งมาร์โกเคยรักเธอ

มัฟเฟ็ต พ๊อพเพ็ต สองแฝดพี่น้องผู้มีพลังวิเศษบางอย่าง

เบลีย์ เด็กหนุ่มชาวไร่ผู้ต้องมนต์ของคณะละครสัตว์

เลนนี่ – ทาร่า เบอร์เจสส์ สองสาวแฝดผู้สนับสนุนคณะละครสัตว์

อีธาน แบร์ริส วิศวกรของคณะละครสัตว์

ทานต์ พาดวา ผู้จัดหาชุดสวยๆให้ซิเลียและคณะละครสัตว์

พอแค่นี้ก่อน นอกนั้นเยอะ

(นี่ก็เยอะเหอะ จำไม่ได้แล้วเนี่ย)

เอาล่ะ พวกตัวละครทั้งหมดเนี่ย ลองนึกดูว่าคณะละครสัตว์คือหม้อหม้อหนึ่ง

แล้วมีเส้นสปาเกตตี้กำลังจะต้มอยู่ในหม้อ

แล้วเราก็โยนพวกตัวละครทั้งหมดใส่ลงในหม้อราวกับเป็นมีทบอล

แล้วให้มันซึมติดหนึบไปกับเส้นสปาเกตตี

จากนั้นก็รอตักใส่จาน ก็จะเห็นว่าบรรดามีทบอลมันก็ขมุกตัวอยู่ภายในเส้นที่ขดกันไปขดกันมายุ่งเหยิง

นั่นแหละ ! แก่นของเรื่องนี้ล่ะ !!

ในเรื่องจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเหตุการณ์ที่ตัดสลับกันไปมา (นี่ฉันเพิ่งรู้จากอากู๋)

บางบทผู้เขียนจะเขียนชักชวนพาเราๆคนอ่านเหมือนกับว่าเราเป็นคนมาชมละครสัตว์

สถานที่และวันที่ของแต่ละฉากละตอนแตกต่างกัน

แต่ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ได้สนใจ

==========================================================================

14. แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ กลับมาแล้ว – P.L. Travers

“กลับมาทวงบัลลังค์หนังสือในดวงใจอีกครั้ง และไม่เคยผิดหวังกับแมรี่เช่นเคย พวกเรารักเธอนะ แมรี่ !”

นนน


==========================================================================

15. พระราชินีนาถวิกตอเรีย – ว.ณ.ประมวลมารค

“เป็นนวนิยายประวัติศาสตร์ที่งดงามที่สุด จากเรื่องจริงที่ควรค่าให้คนรุ่นหลังได้จดจำ”

ระยะเวลาการอ่าน: 30 Jul 16 – 5 Aug 16

ก่อนหน้าที่ฉันจะอ่านหนังสือเล่มนี้ มันไปเริ่มต้นมาจากตรงไหนก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่า

จู่ๆก็อยากรู้เรื่องราวและพระราชประวัติเกี่ยวกับพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ ควีนวิกตอเรียองค์นี้

คุณเชื่อไหม ด้วยความหนาถึง 414 หน้าบวกกับเป็นอัตชีวประวัติของบุคคล คุณคงคิดว่าน่าเบื่อมากใช่ไหม

แต่ผิดคาด ฉันรักหนังสือเล่มนี้ ฉันอ่านจบอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไม่กี่วัน

ทำให้ฉันได้รู้จักพระนางและพระสวามี เจ้าชายอัลเบิร์ตมากขึ้น

==========================================================================

16. แฟชั่นนิสตาพาวุ่น ตอน ย้อนเวลาสู่ไททานิค – Bianca Turetsky

“ภาพประกอบชุดสวยคือจุดเด่นที่สุด แม้จะเป็นนิยายวัยรุ่นหากแต่ก็อิงเรื่องจริงได้กลมกลืน”

ระยะเวลาการอ่าน: 6 Aug 16 – 7 Aug 16

==========================================================================

17. หมาสารพัด (หมาบ้าจี้ + ยิ้มก่อนเห่า) – James Herriot

“ยกให้เป็นหนังสือเกี่ยวกับน้องหมาที่น่าประทับใจที่สุด บางเรื่องทำให้ยิ้ม บางเรื่องทำให้น้ำตาซึมได้เลย”

ระยะเวลาการอ่าน: 7 Aug 16 – 13 Aug 16


หน้าปกไทยและเทศ:

==========================================================================

18. ชายที่คนรักจากไป – Haruki Murakami

“บางครั้งมุราคามิก็ทำให้เราเดาทางออกได้ง่ายๆ บางครั้งก็สร้างคำถามมากมายจนไม่น่าเชื่อ”

ระยะเวลาการอ่าน: 8 Aug 16 – 14 Aug 16

ซื้อมาเพราะ…

1.ชื่อเรื่อง ช่วงนั้นกำลังโดนเท เลยอยากหาเพื่อนร่วมโดนเทด้วย

2.เป็นเรื่องสั้น แนวถนัดอ่าน

3.มุราคามิ

แค่นี้ก็ทำให้เงินปลิวไปตกบนเคาน์เตอร์จ่ายเงินได้แล้ว

บวกอารมณ์อกหักและอินเนอร์อยากช้ำใจให้สุด เลยสอยซะ

ทีแรก ก็นึกว่าจะมาเป็นเพื่อนเหงาด้วยกันอีกแบบเรื่องก่อนๆ

แต่ไหงกลายเป็นว่ามานั่งเหงาเศร้าคนเดียวยังดีซะกว่า

เล่มนี้ความหวือหวาระดับสูงเท่าที่เคยอ่านมาของมุราคามิ

จริงๆทำใจไว้แล้วว่ายังไงก็มาลงเอยแบบนี้ อย่างนี้ แนวนี้

แต่แบบมันก็ยังหวังอยู่ลึกๆอ่ะว่า มันต้องมีซักเรื่องสิที่นั่งเหงาเป็นเพื่อนฉันได้

แต่จนจบเล่ม ก็เลือกมาได้แค่เรื่องเดียว

เล่มนี้สอนให้ฉันรู้อะไรบางอย่างว่า

ไม่ใช่เรื่องสั้นทุกเรื่องที่เหมาะกับเรา

ไม่ใช่ทุกครั้งที่มุราคามิจะเห็นใจเรา

เรื่องสั้นมีทั้งหมด 7 เรื่อง ประกอบด้วย:

  • Drive My Car >> ชายที่ภรรยามีชู้และเพิ่งตายไปประกาศหาคนขับรถและผลที่ได้คือเป็นหญิงสาวร่างใหญ่ขับรถนิ่มจนไม่น่าเชื่อ
  • Yesterday >> เด็กหนุ่มคนหนึ่งขอร้องให้อีกคนออกเดทกับแฟนของเขาเพียงเพราะเขาเป็นคนแปลกๆและอยากให้เธอไปเจอคนที่ดีกว่า
  • อวัยวะเอกเทศ >> ศัลยแพทย์ตกแต่งฝีมือดีเป็นหนุ่มโสดไม่คิดเรื่องแต่งงาน และไม่คิดจะรักใคร แต่เตียงไม่เคยว่างจากผู้หญิง จนวันหนึ่งชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเพียงเพราะรักที่เขามีต่อผู้หญิงบ้านๆที่แต่งงานมีสามีและลูกแล้ว
  • เซเฮราซาด >> หญิงแต่งงานแล้วมีเซ็กซ์กับชายอายุน้อยกว่าในบ้านที่หล่อนมาดูแลและทุกครั้งหล่อนจะเล่าเรื่องสมัยมัธยมที่แอบเข้าบ้านคนที่ชอบ
  • คิโนะ >> ชายคนหนึ่งเปิดร้านนั่งดื่มเล็กๆหลังจากโดนภรรยานอกใจ แต่เขาก็มามีเซ็กซ์กับหญิงที่เป็นลูกค้าของเขาแทน
  • แซมซ่าในห้วงรัก >> ชายคนหนึ่งตื่นมาในโลกที่แสนจะงงงวยในภาวะบ้านเมืองไม่สงบ ได้พบหญิงสาวหลังค่อมและอยากจะร่วมรักกับเธอ
  • พวกผู้ชายที่คนรักจากไป >> ชายคนหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากชายที่เป็นสามีของแฟนเก่าของเขาว่าเธอฆ่าตัวตายแล้ว หลังจากนั้นเรื่องความหลังก็ผุดขึ้นมา


ฉันขอถอนคำพูด จริงๆแล้ว ฉันชอบอีกสองเรื่อง

นั่นคือ Yesterday และ Men Without Women‘นี่มันฉันชัดๆ !’

บวกกับเรื่องแรกคือ อวัยวะเอกเทศ

นี่เป็นสามเรื่องที่ฉันชอบที่สุด

บางครั้งมุราคามิก็บรรยายสิ่งที่อยู่ในใจของฉันออกมาเป็นตัวอักษรได้อย่างดี

มีหลายท่อนในเรื่องนี้ที่ทำให้ฉัน้ำตาซึมได้ง่ายๆเช่นกัน

ฉันจะยกท่อนที่เป็นคำโปรยปกหลังและเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันซื้อเล่มนี้มาอ่าน

จากเรื่องสั้นเรื่องสุดท้าย ที่มีชื่อเหมือนชื่อเล่ม

สำหรับฉัน แค่เปลี่ยนคำว่าชาย เป็นหญิง

ก็คล้ายกับชีวิตฉันแล้ว

หญิงที่คนรักจากไป

“วันหนึ่งจู่ๆคุณก็กลายเป็นพวกชายที่คนรักจากไป

วันนั้นไม่มีการเตือนล่วงหน้าหรือมีการบอกใบ้เลยแม้แต่น้อย

มันมาเยือนคุณโดยไม่คาดฝัน ไม่มีทั้งลางสังหรณ์และลางบอกเหตุ

ปราศจากเสียงเคาะประตูและเสียงกระแอมไอ

พอเลี้ยวตรงหัวมุมถนนไป คุณก็จะรู้ว่าตัวคุณเองอยู่ตรงนั้นแล้ว

แต่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว

พอเลี้ยวตรงหัวมุมไปแล้ว มันจะกลายเป็นโลกเพียงใบเดียวสำหรับคุณ

ในโลกใบนั้น คุณจะถูกเรียกว่า

พวกชายที่คนรักจากไป”

แต่นี่ยังไม่พอสำหรับฉัน ผู้ซึ่งบอกว่าเล่มนี้น่าผิดหวัง

หากแต่กลับมาน้ำตาทะลักให้กับประโยคของตัวละครหญิงใน Yesterday

ผู้หญิงคนนี้รักอะกิคุงแฟนของเธอมาก แต่ด้วยความที่ห่างกัน

ทำให้เธอเผลอทำผิดต่อชีวิตคู่ เรื่องนี้เป็นบาดแผลกัดกินตัวเธอมิเสื่อมคลาย

“ฉันชอบอะกิคุงจากใจจริง

และฉันก็คิดว่าคงจะไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับใครอื่นได้อีก

การที่ต้องอยู่ห่างจากเขามันทำให้ฉันเจ็บแปลบในใจที่จุดเดิมๆ เหมือนกับเวลาปวดฟัน

ฉันพูดจริงๆนะ ในใจฉันมีพื้นที่สำหรับเขา

แต่จะพูดยังไงดีล่ะ ขณะเดียวกันภายในนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างที่รุนแรง

เรียกร้องให้ฉันตามหาสิ่งที่ต่างออกไป เปิดรับสิ่งอื่นๆ

อาจจะเรียกว่าความอยากรู้อยากเห็น ความอยากค้นหา

หรือความเป็นไปได้ ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นเอง

และฉันไม่สามารถยับยั้งมันได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน”

นั่นมันเป็นเรื่องความผิดพลาดในอดีต ถ้าเพียงแต่เอริกะ คุริทะนิ ไม่ได้นอกใจ

อะกิคุงกับเธอคงจะไปได้ไกลกว่านี้ เอริกะพูดต่อ

“ฉันมักจะฝันถึงเรื่องเดิมอยู่บ่อยๆ

ฉันกับอะกิคุงอยู่บนเรือลำใหญ่ที่ล่องไปในมหาสมุทรเป็นเวลายาวนาน

เราสองคนอยู่ในห้องโดยสารขนาดเล็ก ตอนนั้นเป็นเวลากลางดึก

พอมองผ่านหน้าต่างกลมออกไปก็จะเห็นพระจันทร์เต็มดวง

แต่มันเป็นพระจันทร์ที่ทำจากน้ำแข็งที่งดงาม

โปร่งใส และมีส่วนล่างครึ่งหนึ่งจมอยู่ในทะเล

‘เหมือนพระจันทร์เลย เพียงแต่มันเป็นน้ำแข็ง น่าจะหนาสักราวยี่สิบเซนต์”

อะกิคุงบอกกับฉัน

‘เพราะฉะนั้นถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วมันก็จะละลายหายไป ตอนนี้มีโอกาสอยู่เธอก็น่าจะดูมันดีๆนะ’

ฉันฝันถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นความฝันที่สวยงาม

และเป็นพระจันทร์ดวงเดิมที่มีความหนาแค่ยี่สิบเซนต์

ครึ่งล่างของพระจันทร์จมอยู่ในน้ำทะเล

ฉันนั่งซบอะกิคุง แสงจันทร์สว่างงดงาม มีเพียงเราสองคน

และเขาพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน แต่พอฉันตื่นลืมตาขึ้นเมื่อไหร่

ทุกครั้งฉันก็จะรู้สึกเศร้ามาก

มองไม่เห็นพระจันทร์น้ำแข็งอยู่ที่ไหนอีกแล้ว”

เอริกะ คุริทะนิเป็นตัวละครที่งดงาม เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็งดงาม

อาจจะงดงามที่สุดของมุราคามิเท่าที่ฉันเคยอ่านมาแล้วก็ได้

ฉันไม่เคยรู้สึกพิมพ์ไปน้ำตาซึมไปแบบนี้เท่าไรหรอกนะ

“ถ้าฉันกับอะกิคุงได้ล่องเรือไปในมหาสมุทรต่อไปเรื่อยๆด้วยกันก็คงดีไม่น้อย

มีเพียงเราสองคนอิงแอบแนบชิดกัน มองไปยังพระจันทร์น้ำแข็ง

แม้พระจันทร์จะละลายหายไปในตอนเช้า

แต่พอถึงพลบค่ำก็จะโผล่ขึ้นมาให้มองเห็นอีกครั้ง

แต่มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ 

อาจจะมีบางค่ำคืนที่พระจันทร์ไม่โผล่มาให้เห็นอีก

ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ฉันหวาดกลัวว่าจะเกิดขึ้น

พอคิดว่าคืนต่อไปฉันจะฝันถึงอะไร แค่นี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นกลัวจนตัวสั่นไปหมด”

==========================================================================

19. ห้องเรียนมิสเตอร์ทีกับปีต้องมนตร์ – Rob Buyea

“เมื่อคุณครูสุดเจ๋งต้องมาปราบนักเรียนเจ้าปัญหา ความน่ารักของพวกเขาจะตรึงไว้ด้วยความประทับใจไปอีกนาน”

ระยะเวลาการอ่าน: 14 Aug 16 – 15 Aug 16

บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ฉันอ่านรวดเดียวจบ

ถ้าจำไม่ผิดก็เริ่มประมาณ 16.00-17.00 น.แล้วจบตอนประมาณ 00.30 น.

ประมาณ 8 ชั่วโมงนิดๆที่ฉันได้เข้าเรียนพร้อมกับเด็กๆชั้นปอห้า

และได้รู้จักกับเด็กๆทั้ง 7 คนที่มาเล่าเรื่องของคุณครูที่รักให้ฟัง

มิสเตอร์แทรัปต์ เป็นคุณครูคนใหม่มาช่วยสอน แต่เขาไม่เหมือนใคร เขาฉลาด มีวิธีรับมือกับเด็ก

ชี้แนวทางที่เหมาะกับเด็กแต่ละคน เด็กๆทั้ง 7 ที่มาเล่าเรื่องต่างมีปมขัดแย้งในตัวเอง อันประกอบด้วย

  • ปีเตอร์ …เด็กชายผู้ชอบสร้างเรื่องราวชวนปวดหัวให้ทั้งครูและเพื่อนๆเป็นประจำ ชอบแกล้งเพื่อนเป็นที่สุด
  • เจสสิก้า …เด็กหญิงนักเรียนใหม่ผู้เป็นมิตรและอยากจะมีเพื่อนดีๆสักคน
  • อะเล็กเซีย …เด็กหญิงตัวแสบประจำห้อง เธอร้าย ไม่ยอมใคร แต่งตัวเริ่ด และชอบยุให้คนอื่นทะเลาะกัน
  • แดเนียล …เด็กหญิงตัวอ้วนผู้กังวลไปทุกสิ่งและไร้ความเชื่อมั่นในตัวเอง
  • เจฟฟรีย์ …เด็กชายผู้เกลียดโรงเรียนและเบื่อเพื่อนร่วมห้อง เขาขวางโลก ยากจะมีเพื่อนสนิทมากนัก
  • แอนนา …เด็กหญิงขี้แยแต่จิตใจดี ขาดแต่ว่าเธอไม่มีใครคบมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอดีตของแม่เธอ
  • ลูค …เด็กชายผู้ฉลาด มั่นใจ ชอบทดลองเรื่องใหม่ๆ จริงจังกับการเรียน แถมยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับปีเตอร์บ่อยๆด้วย


เด็กๆทั้ง 7 คนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของห้องเรียนชั้นป.5 ที่จะได้พบกับคุณครูคนใหม่ของพวกเขา

มิสเตอร์แทรัปต์ทำอย่างไรถึงได้เข้าไปอยู่ในใจของเด็กๆทุกคนได้

อยากให้ลองอ่านดู แต่ที่ชอบมากก็คือ เกมศัพท์หนึ่งดอลลาร์

ฉันเอาเกมนี้มาฝึกเล่นในชีวิตจริง สนุกดีแฮะ

นี่ขนาดไม่ใช่นักเรียน ฉันยังรู้สึกรักคุณครูคนนี้เลยเชียว

ถึงแม้ว่าปัญหาของเด็กแต่ละคนมันช่างชุลมุนวุ่นวาย พันกันไปพันกันมาจนยุ่งเหยิงไปหมด

แต่เมื่อมาถึงสถานการณ์วิกฤติ มิสเตอร์แทรัปต์เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นกับตัวเขา

ทำให้เด็กๆทั้ง 7 เริ่มหันมาเห็นใจกันและให้กำลังใจกันอย่างไม่น่าเชื่อ

นี่แหละที่เรียกว่า มิสเตอร์ทีทำให้เกิดปาฏิหาริย์ในชีวิตของเด็กๆขึ้นมาได้

และท้ายที่สุด พวกเขาก็จะก้าวข้ามไปสู่ชั้นป.6 อย่างภาคภูมิ

ฉันรักหนังสือเล่มนี้จริงๆ ไม่งั้นคงไม่อ่านรวดเดียวจบแบบนี้

ด้วยความหนาเกือบสามร้อยหน้า แต่ทุกหน้าที่อ่านรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที

หนังสือเรื่องนี้ให้ข้อคิดดีๆ ให้รอยยิ้ม

ให้รอยน้ำตาที่ซึมมาตอนช่วงนั้นของเรื่อง ให้ความตื่นเต้นและอบอุ่นใจ

จนบางครั้งฉันก็แอบคิดถึงการได้เป็นคุณครูของใครสักคน

มันคงจะวิเศษมากหากได้เฝ้าพร่ำสอนและมองดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ส่วนหนึ่งหลังจากอ่านจบ ฉันคิดถึงคุณครูของฉัน คุณครูทำให้ฉันมาไกลจนถึงขนาดนี้

หากไม่มีคุณครู เด็กอย่างเราคงไม่ได้เรียนรู้ใดๆ

หากใครมีครูดี นับว่าเป็นความโชคดีจริงๆ …

==========================================================================

20. มาดามแปมเปิลมูส กับอาหารสุดวิเศษ

“”

ระยะเวลาการอ่าน: 14 Aug 16 – 23 Aug 16

ยย

วว

==========================================================================

21. เร้นลับราชินี – Eleanor Herman

“ทึ่งกับบรรดาราชินีสุดแซ่บแต่ละองค์ หลงใหลในการเขียนแบบแฉหยุดโลกของเอลินอร์”

ระยะเวลาการอ่าน: 19 Aug 16 – 26 Aug 16



โอ๊ยยยย เล่มนี้แซ่บมาก บอกเลย

ชีวิตของผู้หญิงในสมัยก่อนโดยเฉพาะในราชนิกุลแล้วเนี่ยช่างลำบากลำบน

==========================================================================

22. เก้าเรื่องสั้น – J.D.Salinger

“จบด้วยความจุกแทบทุกเรื่อง ยังเก็บมาคิดต่อได้เรื่อยๆ นี่สินะ งานจากนักเขียนระดับตำนาน”

ระยะเวลาการอ่าน: 26 Aug 16 – 28 Aug 16


oo

==========================================================================

23. Weird Things Customers Say In Bookshops – Jen Campbell

“หัวเราะได้เรื่อยๆแทบทั้งเรื่อง มุขบางมุขนี้ยกให้เป็น The Best”

ระยะเวลาการอ่าน: 27 Aug 16 – 29 Aug 16

ซื้อมาจากร้านหนังสือมือสองที่เชียงใหม่หลายปีมาแล้ว

คิดจะอ่านให้จบหลายรอบแต่ก็ยังทำไม่ได้

แต่เมื่อมีโอกาสเลยลองอ่านจริงจัง ปรากฏว่าสนุกกว่าที่คาดไว้ซะอีก

==========================================================================

24. ร้านเวทมนตร์แบตติบาเลโน เล่ม 1 กระเป๋าเดินทางแห่งดวงดาว – Pierdomenico Baccalario

“สนุก ตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้ แม้อ่านจบแล้วจะยังมีคำถามค้างคาอีกมากมาย”

ระยะเวลาการอ่าน: 31 Aug 16 – 3 Sep 16


==========================================================================

25. ปีนี้ไม่อยากโสด – Mike Gayle

“ถึงโสด แต่ก็งดงาม”

ระยะเวลาการอ่าน: 28 Aug 16 – 5 Sep 16

เห็นแค่ชื่อเรื่องนี่ก็รีบสอยมาเลย

หน้าปกไทยและเทศ:

==========================================================================

26. หากค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว นักเดินทางคนหนึ่ง – Italo Calvino

“สุดล้ำ แปลกใหม่ แต่น่าเสียดายที่เข้าไม่ถึง”

ระยะเวลาการอ่าน: 6 Sep 16 – 10 Sep 16

เป็นเรื่องแรกที่เคยอ่านในแนวแบบนี้

เขาเคลมว่าเป็นวรรณกรรมหลังสมัยใหม่ ซึ่งโคดไม่เข้าใจเลยว่าคืออะไร….

จริงๆแล้วพอจับจุดได้ และเรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย

ทุกอย่างมีความลงตัวในแบบของมัน จริงอยู่ที่หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งก็ย่อมได้

แต่จะเรียกว่าเป็นเรื่องสั้นก็ได้อีกเหมือนกัน

คัลวีโนพยายามดึงให้คนอ่านอย่างเราๆเข้าไปมีส่วนร่วมกับตัวละครของเขาด้วย

ไม่สิ ต้องเรียกว่า เรากลายเป็นตัวละครของเขาไปเลย

เรื่องเริ่มที่ ‘คุณ’ ซื้อหนังสือเรื่อง ‘หากค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว นักเดินทางคนหนึ่ง’ มาอ่าน

แต่ปรากฏว่าอ่านไปอ่านมามันไม่จบอ่ะ มันหายไป ตอนต่อไปไม่มี คุณเลยสงสัยว่าสนพ.ต้องเล่นตลกอะไรแน่ๆ

จึงไปถามหาเล่มอื่นๆที่ร้านหนังสือที่คุณไปซื้อ แต่กลับพบว่ามันเหมือนกันหมด คุณเลยต้องไปที่สนพ.

และแล้วคุณก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณสนใจเธอขณะที่เธออ่านหนังสือในร้านหนังสือ

คุณทั้งสองพูดคุยถึงหนังสือของคัลวีโน รับรู้กันว่าหนังสือของอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนกัน

หลังจากนั้น คุณก็เริ่มพบว่าการเริ่มต้นที่แค่ต้องการจะไปเปลี่ยนหนังสือที่ตอนต่อไปมันไม่มี

กลับกลายเป็นว่าคุณต้องถลำลึกไปกับบรรดาตัวละครที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆเพียงเพื่อว่า

จะสืบสาวว่าทำไมหนังสือที่คุณได้อ่านมันเรื่อยๆทั้งสิบเรื่องระหว่างที่ตัวละครโผล่มาแต่ละบท

มันทำให้คุณไม่ได้คำตอบซะที นี่แหละความฉลาดของคัลวีโนล่ะ เขาทำให้เราที่อ่านกันจริงๆสงสัยแบบเดียวกัน

เรื่องสั้น 10 เรื่องที่ไม่มีตอนจบที่ ‘คุณ’ ในเรื่องได้อ่าน ประกอบไปด้วย

  • หากค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว นักเดินทางคนหนึ่ง >> เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งจะรอมาส่งมอบกระเป๋าเดินทางที่บรรจุอะไรบางอย่างให้ชายอีกคน แต่ติดที่ว่าชายคนแรกมาช้า และชายคนที่สองจะไม่มาปรากฏตัวอีกแล้ว
  • นอกเขตชุมชนเมืองมัลบอร์ก >> เด็กหนุ่มคนหนึ่งทอดอาลัยเพราะเขากำลังจะย้ายออกจากบ้านแต่ก็ไม่พอใจกับคนที่จะมาอยู่ห้องต่อจากเขา
  • ชะโงกจากชายฝั่งชัน >>  เด็กหนุ่มจากเรื่องข้างบนถูกย้ายจากฟาร์มไปอยู่ชายทะเลที่มีคุกตั้งใกล้ๆ เขาตกหลุมรัก และรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเธอ
  • ไม่หวั่นสายลมและความวิงเวียน >> 2 ทหารหนุ่ม 1 หญิงสาวกับความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นท่ามกลางบ้านเมืองปฏิวัติ
  • มองเบื้องล่างตรงเงาทึบ >> หญิงชายคู่หนึ่งกำลังคิดไม่ตกว่าจะอำพรางศพผู้ชายคนหนึ่งที่พวกเขาเพิ่งฆาตกรรมได้ยังไงดี
  • ในร่างแหของสายที่เกี่ยวพัน >> อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่กลัวการได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่วันหนึ่งขณะวิ่ง เขาก็มีเหตุให้รับสาย แม้จะไม่ใช่บ้านของเขาเอง
  • ในร่างแหของสายที่ตัดกัน >> ชายนักธุรกิจชอบการสะสมกระจกและคาไดโลสโคป เขาคบชู้ แต่ต่อมาต้องมาติดกับดักของตัวเอง
  • บนพรมใบไม้ที่แสงจันทร์ส่องสว่าง >> การเสพสังวาสของเด็กหนุ่มและหญิงกลางคนคู่หนึ่งท่ามกลางสายตาของสามีและลูกสาวของฝ่ายหญิง
  • รอบหลุมเปล่า >> เด็กหนุ่มคนหนึ่งออกตามหาแม่แท้ๆในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย เขาได้ค้นพบอดีตที่ไม่เคยรู้มาก่อน
  • เรื่องราวใด ณ เบื้องล่างกำลังรอจุดจบ >> ชายคนหนึ่งลบสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไปเพียงเพื่อโลกนี้จะได้มีแค่เขาและคนรัก แต่ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ยังอยู่


ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวที่ล้วนไม่มีตอนต่อไปและไม่มีจุดจบ แต่มันก็มีเสน่ห์ในตัวของมัน

ถ้าให้เลือกตอนที่ชอบสุด คงเป็น ในร่างแหของสายที่ตัดกัน

Quote My Fav:

‘เหตุว่าบ้านของคุณเป็นสถานที่ที่คุณอ่าน มันจึงบอกเราได้ว่าหนังสือมีฐานะเป็นอะไรในชีวิตของคุณ เป็นเกราะกำบังคุณจากโลกภายนอกใช่ไหม หรือเป็นความฝันที่คุณจมดิ่งลงไปดั่งเป็นยาเสพติด หรือว่าเป็นสะพานที่คุณทอดไปข้างนอก ทอดไปสู่โลกที่คุณสนใจมากจนอยากเพิ่มจำนวนให้มัน ขยายขนาดให้มันผ่านหนังสือ’

(หน้า 161)

==========================================================================

27. มาดามแปมเปิลมูส กับคาเฟ่เจาะเวลาหาอดีต – Rupert Kingfisher

“การผจญภัยครั้งใหม่มาแล้ว มาดามและผองเพื่อนจะพาเราย้อนเวลากัน”

ระยะเวลาการอ่าน: ประมาณ 2-3 ชั่วโมงถ้าไม่นับตอนแอบงีบหลับ ของวันอาทิตย์ที่ 11 Sep 16

เพิ่งอ่านจบสดๆร้อนๆเลยเล่มนี้ หลังจากเล่มแรกเราได้รู้จักมาดามแปมเปิลมูส

กาม็องแบร์แมวแสนเท่ และมัดแล็นด์หนูน้อยที่รักการทำอาหารไปแล้ว

คราวนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมการผจญภัยครั้งใหม่และเพื่อนใหม่

เช่น มองซิเออร์มูตาร์ด อาจารย์ผู้ผลิตเครื่องย้อนเวลา

ที่จะพาพวกเขาย้อนเวลากลับไปสู่ยุคต่างๆเพื่อเก็บเอาวัตถุดิบที่หายาก

จากทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาปรุงอาหารเลิศรสของมาดาม

เล่มนี้สร้างความอภิรมย์ให้ฉันกว่าเล่มแรกที่การผจญภัยยังมีไม่มากนัก

เพราะมัวแต่หาทางลากตัวมัดแลนด์มาจากลุงใจร้าย

==========================================================================

28. ทีวีพีเพิล (TV People) – Haruki Murakami

“6 เรื่องสั้นที่อึ้ง ปนทึ่ง ปนเศร้า ปนเหงา…และทำเราร้องไห้”

ระยะเวลาการอ่าน:  11 Sep 16 – 13 Sep 16

เป็นอีกครั้งที่ฉํนหลงรักการเขียนของมุราคามิ (หลังจากผิดหวังกับ ชายที่คนรักจากไป)

ถึงแม้จะไม่เท่ากับช่วงที่อ่าน คำสาปร้านเบเกอรี่ หรือ ปีศาจแห่งเล็กซิงตัน

แต่เล่มนี้ทำให้ฉันมีความรู้สึกโหยหาอยากกลับบ้านมาอ่านมุราคามิให้จบ

กระหายจะรู้เรื่องราวในเรื่องสั้นตอนต่อไป

เล่มนี้บางนิดเดียว มีเพียง 159 หน้าแต่ขณะที่อ่านนั้นทำให้เราจมลึกราวกับมีสักพันกว่าหน้า

เรื่องสั้นเล่มนี้ประกอบไปด้วย:

  • ทีวีพีเพิล >> ชายคนหนึ่งมีทีวีพีเพิลมาเยี่ยมที่บ้าน ก่อนที่ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
  • เครื่องบิน – หรือเขาพูดคนเดียวราวกับอ่านบทกวีว่าอย่างไร >> ชายอายุ 20 ที่ชอบพูดคนเดียวและแอบเป็นชู้กับหญิงอายุ 27 ที่แต่งงานมีลูกแล้ว
  • คติชนแห่งยุคของเรา – ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยมก้าวหน้า >> เรื่องเล่าในอดีตของชายผู้ไม่เคยลืมรักแรก
  • ครีต คาโน >> เด็กสาวที่ทำให้ผู้ชายทุกคนล้วนหื่นกระหาย เธอจะมาเล่าประสบการณ์ฆาตกรรมบุรุษคนหนึ่งให้ฟัง
  • ซอมบี้ >> หญิงคนหนึ่งมีคู่หมั้นที่กำลังจะเป็นผีดิบแถมความรู้สึกยังดิบเถื่อนอีกต่างหาก
  • หลับ >> ว่าด้วยเรื่องหญิงแม่บ้านคนหนึ่งที่นอนไม่หลับจนกลายเป็นคนที่ไม่มีการนอนหลับอีกเลย


เรื่องทุกเรื่องก็จะคล้ายๆแนวเดิมของการเขียวแนวมุราคามิ

บางเรื่องก็พอจะเดาออกเลาๆว่าคงเป็นแบบนี้แน่ เช่น

ชายอายุน้อยหลับนอนกับผู้หญิงอายุมากกว่าและแต่งงานแล้ว

ถ้าใครอ่านงานมุราคามิจะพบว่าเรื่องแบบนี้ค่อนข้างเดาออก

จนบางครั้งฉันภาวนาว่าอย่าเอาแบบนี้เลยนะ เฝือแล้ว

แต่ทำไงได้ มุราคามิเขียนคนจากคนจริง คนจริงก็ทำแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

อย่ามาโลกสวยสินะ

โอเค ไม่โลกสวยก็ได้

แต่บางงานของมุราคามินี่เป็นนิยายอิโรติกชั้นดีได้เลยนะ พิสูจน์มาแล้ว หุหุ

แต่…ทีวีพีเพิลเล่มนี้มีบางสิ่งที่ทำให้อึ้ง นั่นคือ

ความน่าขนลุกของบรรยากาศที่ตัวละครเจอและกระทำลงไป

แต่เรื่องที่ชอบสุดและถึงกับน้ำตาไหลและหยุดอ่านไปร้องไห้แป๊บก็คือ

เรื่อง คติชนแห่งยุคของเรา อุทานดังๆอีกครั้งว่า ‘นี่มันฉันชัดๆ !’

เรื่องราวในวัยรุ่นกับความรักที่ลืมไม่ลงนี่มันเหมือนกับหินเบาๆมากระทบกับน้ำที่นิ่งๆเลยนะว่าไหม

เพียงแค่สะกิดเบาๆเท่านั้น น้ำมันจะกระเพื่อมและแผ่วงคลื่นไปอีกไม่รู้จบ มันเหมือนกันเลย มันจุกและบอกไม่ถูก

มันสวยงามและน่าเสียดาย ตอนอ่านไปก็นึกนะว่า เราก็คงเป็นแบบคนเล่า

ท้ายที่สุดในวัยใกล้ฝั่งก็มานั่งระลึกถึงคนเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆ

ที่ไม่ว่าจะยังไงก็หวนกลับมาไม่ได้ ทำไมนะชีวิตถึงต้องมาลงเอยกันแบบนี้แทบทุกคน

จะมีสักคนที่สมหวังบ้างไม่ได้เลยหรือ

ส่วนเรื่องที่อยากยกย่องว่าพีคสุดอะไรสุดคงให้เป็นสามเรื่องสุดท้ายของเล่ม จบอย่างพีค ยอมเลย ชอบ

จริงๆเรื่องแรกก็พีคแต่พีคแบบค่อยเป็นค่อยไป มาคิดอีกทีแล้วมันก็ยังจุกๆ มึนๆอยู่ แต่ก็เริ่มเข้าใจมัน

แต่กับสองสามเรื่องหลังนี่ก็พีคพอตัว โดยเฉพาะเรื่องซอมบี้ ชอบจริงอะไรจริง

แต่สำหรับเรื่องหลับนั้น ได้แต่บอกมุราคามิว่า จะจบแบบนี้จริงๆหรือ นี่อึ้งเลยนะ.

==========================================================================

29. ร้านเวทมนตร์แบตติบาเลโน เล่ม 2 เข็มทิศแห่งความฝัน – Pierdomenico Baccalario

“ลึกลับกว่าเดิม เพิ่มเติมคือคำถามที่ยังคงเป็นปริศนา”

ระยะเวลาการอ่าน: 12 Sep 16 – 14 Sep 16

ยังคงทำให้น่าติดตามเหมือนเดิมสำหรับหนังสือเล่มที่สองของซีรี่ย์นี้

เนื้อเรื่องเข้มข้นกว่าเดิม ตื่นเต้นและน่าขนลุกไม่แพ้เล่มเดิม

จนแอบอยากรู้เรื่องราวขนาดอยากอ่านจบเร็วๆ

=====================================================================

30. แม่มด – Roald Dahl

“เด็กทุกคนมีความเป็นหนูในตัวเอง ผู้ใหญ่ทุกคนมีความเป็นพ่อมดแม่มดในตัวเอง”

ระยะเวลาการอ่าน: 15 Sep 16 – 16 Sep 16

วรรณกรรมสุดสนุกอีกเรื่องหนึ่งของโลกจากผู้เขียน ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแลต, มาธิลดา, ยักษ์ใจดี ฯ

คราวนี้โรอัลด์ ดาห์ล พาพวกเราไปสู่โลกที่มีแม่มดแฝงกายอยู่กับมนุษย์ธรรมดา

และเฝ้ารอเวลาทำลายเด็กๆให้หมดโลก

หนังสือเล่มนี้ก่อกำเนิดมาก่อนที่โลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์จะกำเนิดเสียอีก

แต่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เสน่ห์ของโลกเวทมนตร์มักได้ผลเสมอ รวมถึงนักอ่านอย่างฉันด้วย

เรื่องราวเริ่มต้น เรานักอ่านฟังคุณยายของ ‘ผม’

เล่าเรื่องราวของเหล่าแม่มดใจร้ายทั่วโลกให้ฟังหลายต่อหลายเรื่อง

ราชินีแม่มดเกลียดเด็กเข้ากระดูกดำ

คุณนางหาทางทำลายเด็กทุกวิถีทาง

นางถนัดนักกับการสาปเด็กให้เป็นหนู

แต่แล้วชีวิตนางก็ไม่ง่ายนักเมื่อนางบังเอิญไปสาป ‘ผม’ ตัวเอกเด็กน้อยของเราให้เป็นหนูไป

หลังจากที่ ‘ผม’ บังเอิญไปแอบได้ยินการประชุมลับประจำปีของบรรดาแม่มดอังกฤษเข้าพอดี

แต่โชคดีที่ ‘ผม’ ในร่างหนูตัวน้อยฉลาดปราดเปรื่องและว่องไว

จึงร่วมมือกับยายของเขาหาทางกำจัดเหล่านางแม่มดนี่ซะ

แม้จะเป็นหนังสือเด็กน้อย แต่บอกเลยว่านี่เป็นวรรณกรรมเด็กที่เด็กควรอ่านก่อนโตเป็นผู้ใหญ่

จะได้รู้ว่าอะไรๆในโลกนี้มันไม่ง่าย ไม่ได้มีแค่ช็อคโกแลต ลูกอมและขนมหวาน

มันมีความสูญเสีย การเอาตัวรอด การถูกปฏิเสธ

การเผชิญหน้ากับความจริงและยอมรับมันและอีกหลายอย่างให้เด็กเรียนรู้

บางทีอาจารย์โรอัลด์ ดาห์ลอาจจะสร้างบุคลิกของราชินีแม่มดมา

เพื่อให้เด็กๆทั้งหลายอย่าโลกสวยกับความเยาว์ของตน

จริงอยู่ เป็นเด็กจะไปรู้อะไร ไม่ประสีประสา

แต่ผู้ใหญ่อย่างฉันกลับมองว่ามันสมควรที่สุดที่จบเรื่องในแบบนี้

แม้ท้ายสุด ‘ผม’ จะต้องปรับตัวกับสิ่งเปลี่ยนแปลงใหม่

แต่เขาก็ทำได้ดี มันก็เหมือนกับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสนั่นเอง

ส่วนตัวฉันยิ่งอ่านยิ่งชอบราชินีแม่มด ยกให้เป็นตัวละครโปรดเลย

เพราะนางเกลียดเด็กเข้าไส้ นี่แหละฉันชอบใจนัก ! หึหึหึ

Quote My Fav‘หลานรัก หลานไม่ว่าอะไรหรือ ถ้าจะต้องเป็นหนูไปตลอดชีวิต’

‘ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ ที่จริงไม่เป็นไรหรอกนะที่ใครจะเป็นอะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง

ตราบใดที่ยังมีคนรักเราอยู่’

(หน้า 234)

=====================================================================

31. บันทึกราชนารี: เอลิซาเบท เจ้าหญิงเจ้าสาว – Barry Denenberg

“การแต่งงานไม่ใช่จุดเริ่มความสุขดั่งในเทพนิยาย หากแต่มันคือการเริ่มชีวิตจริงที่ก่อนแต่งงานเราไม่มีวันได้เห็น”

ระยะเวลาการอ่าน: 16 Sep 16 – 18 Sep 16

ซื้อมาเพราะอยากสะสมหนังสือชุดนี้

จริงๆมีอีกหลายเล่มแต่มันหมดไปแล้วไม่รู้จะมีขายอีกไหมเลยสอยมาเท่าที่ได้

หนังสือชุด บันทึกราชนารี เป็นความเรียงคล้ายไดอารี่ที่บรรดาเจ้าหญิงมาบันทึกประจำวัน

ทั้งหมดนี้คนเขียนก็อ้างอิงจากบันทึกตัวจริงที่เจ้าหญิงในชีวิตจริงบันทึกไว้ส่วนพระองค์

อย่างเช่น ในเล่มนี้ เจ้าหญิงเอลิซาเบทแห่งออสเตรีย-ฮังการี หรือที่เรารู้จักท่านจากชื่อ ‘ซิซี่’ (Sisi)

ทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรบาวาเรีย ต่อมาได้อภิเษกกับพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย

พระองค์จึงได้ครองราชย์เป็นพระจักรพรรดินีเอลิซาเบทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ด้วยวัยเพียง 16 ชันษาเท่านั้น

เรื่องราวในเรื่อง ถูกบันทึกในช่วงที่พระองค์พระชนมายุ 15 ชันษา

เป็นช่วงที่พระองค์มีความสุขกับการขี่ม้า เขียนบทกวี เล่นท่ามกลางธรรมชาติ

ในขณะทีพระเชษฐภคินีและพระมารดาของพระองค์เตรียมการเพื่อจะไปยังออสเตรีย

เนเน่ หรือเฮลีน พระเชษฐภคินีวัย 18 ชันษาถูกหมั้นหมายกับฟรานซ์ โจเซฟ

ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิของออสเตรียวัย 24 ชันษา

(เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้เต็มใจ เรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชน

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกับราชวงศ์แทบจะทั่วโลกในสมัยก่อน)

การเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนกับไปจัดการเรื่องการสู่ขอให้เป็นทางการ

ส่วนซิซี่ ก็ได้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยเนื่องจากพระมารดาของพระจักรพรรดิก็เป็นพระเชษฐภคินีแท้ๆของพระมารดาพระองค์

ดังนั้นพระจักรพรรดิก็เป็นเสมือนลูกพี่ลูกน้องโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะแต่งงานกันในหมู่พี่น้องเครือญาติเพื่อความเข้มข้นทางสายเลือด

แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อพระจักรพรรดิทรงเลือกคู่ครองโดยที่ไม่ใช่เฮลีน แต่กลับเป็นซิซี่แทน

สร้างความตกตะลึงให้ทุกฝ่ายอย่างมาก

แม้ตัวซิซี่จะยอมรับว่าชื่นชมและชอบพระจักรพรรดิแค่ไหน

แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นพระจักรพรรดินีเคียงข้างท่าน

หากแต่ความรักที่ก่อตัวตั้งแต่แรกพบก็มิอาจจะไม่สมหวังได้ในเมื่อพระจักรพรรดิทรงสู่ขอซิซี่อภิเษก

จริงๆแล้วบันทึกเรื่องก็จบลงที่ซิซี่อภิเษก หากแต่ในชีวิตจริง พระองค์มีชีวิตแต่งงานที่ไม่ได้มีความสุขนัก

ทรงโดนกลั่นแกล้งจากทางญาติฝ่ายสวามี (ทั้งๆที่เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น)

ทรงเครียด ทรงถูกกดดันกับกฎระเบียบต่างๆที่ไร้เหตุผล

จนในที่สุดพระองค์ก็เลิกทำตามกฎนั้นไป ทรงเด็ดขาด ไม่ปฏิบัติตาม

จนสวามีเริ่มคิดแล้วว่าทรงเลือกชายาที่ไม่เหมาะสมกับพระองค์เลย

ซิซี่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีที่สิริโฉมอีกองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ราชินีทั่วโลก

ทรงประทินทุกอย่างที่จะเสริมความสวยของพระองค์

ทรงออกกำลังกาย ทรงม้า (หญิงในราชสำนักเขาไม่ทำกัน)

ทรงควบคุมอาหาร ดูแลผิว โดยเฉพาะเรือนผมยาวเกือบกรอมพระบาท

เมื่อทรงใส่พระทัยในการดูแลตัวเองจนเกิดความเครียด

และมีโรคเกี่ยวกับการทานอาหารที่ผิดปกติของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงออกเดินทางไปรอบโลก

ทั้งพระสวามีและซิซี่แทบไม่ได้อยู่ร่วมกัน เจอหน้ากันอีกเลยหลังจากประสูติพระโอรสพระธิดาทั้ง 4 พระองค์

จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตซิซี่ที่โดนปลิดชีพด้วยมือมีดที่เข้ามาแทงพระองค์

ขณะเดินเล่นที่สวิตเซอร์แลนด์ในขณะชนม์ 60 ชันษา

พอได้อ่านเล่มนี้แล้วก็หวนนึกถึงตอนอ่านควีนวิกตอเรีย

ราชสำนักทั้งสองราชวงศ์ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันนัก

แต่สำหรับราชินีหรือเจ้าหญิงบางพระองค์ ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้แต่งงานด้วยความรัก แค่ส่วนน้อยจริงๆ

ซิซี่ก็คงคิดว่าตัวเองคงเริ่มจากความรัก แต่แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่คิด หน้าที่เท่านั้นสำคัญที่สุด

บางองค์แต่งเพราะบ้านเมือง บางองค์แต่งเพราะผู้ใหญ่เห็นเหมาะสม

แล้วพอแต่งไป พระสวามีก็ใช่ว่าจะปกติทุกคน บางคนวิกลจริต บางคนคบชู้

เป็นสาเหตุให้เจ้าหญิงหรือราชินีบางพระองค์จึงมีชายชู้อย่างที่ปรากฏใน Sex with the Queen เล่มบน

เฮ้อ เป็นผู้หญิงเรานี่ลำบาก โดยเฉพาะในสมัยก่อนยิ่งน่าสงสาร

พอได้สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ ก็ได้มาอ่านชีวประวัติของเจ้าหญิงอีกหลายพระองค์

แล้วก็เห็นใจในโชคชะตาของหลายๆพระองค์นั้น

เช่น ซิซี่ ถ้าเลือกได้พระองค์ก็คงอยากขี่ม้าเล่นกับบรรดาคนสวน คนเลี้ยงม้าไปเรื่อยๆ

แทนที่จะกลายมาเป็นพระราชินีต่างแดนที่ไม่มีความสุข

=====================================================================

32. ขบวนการนกกางเขน – Madeleine Treherne, แว่นแก้ว (แปล)

“หนังสือดีที่ควรค่าแห่งการอ่าน ความสมานสามัคคีมักส่องประกายแม้ในที่ที่แสงไฟสาดส่องไม่ถึง”

ระยะเวลาการอ่าน: 1-2 ชั่วโมง ถ้าไม่นับว่าไฟดับตอนอ่านพอดี ของวันที่ 18 Sep 16 -_-“

เชื่อว่าหนอนหนังสือยุค 80s – 90s

ถึงยุค Harry Potter Fever แบบฉันน่าจะมีติดบ้านกันนะ

เนื่องด้วยว่าทุกวันนี้ยังเห็นมีขายอยู่ตามร้านหนังสือ

เลยหยิบมาอ่านอีกครั้งจากที่เคยไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน (ปีนี้ปีอะไรเนี่ยอยากอ่านเล่มเก่าๆ)

ใครว่าหนังสือเก่าไม่สนุก ฉันคนนี้แหละจะเถียงสุดใจเลย

เพราะอะไรรู้ไหม การอ่านหนังสือซ้ำแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน

ก็เพราะมันอยู่คนละช่วง คนละความรู้สึก คนละอารมณ์นึกคิดน่ะสิ

วุฒิภาวะ สภาพจิตใจ แต่ละครั้งที่อ่านย่อมไม่เหมือนกัน

แต่สิ่งเดียวที่คงเดิมคือ ความรักในหนังสือเก่าเล่มนั้น แม้จะรู้ตอนจบ

แต่มันไม่เคยสำคัญหากระหว่างอ่านฉันมีความสุข

เพราะฉะนั้น แม้ฉันจะชอบอ่านหนังสือใหม่ๆ

แต่หนังสือเก่าๆนี่คือความอบอุ่นอย่างแท้จริง

ไม่ได้เปรียบแค่หนังสือ รวมถึงคนด้วย

เข้าเรื่อง เรื่องนี้ที่มีความพิเศษคือ เป็นการแปลของสมเด็จพระเทพฯของพวกเราชาวไทย

ทรงแปลเมื่อสมัยทรงเป็นนิสิตแห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

แปลจากภาษาฝรั่งเศส จากชื่อเรื่อง Rossignols En Cage

เป็นเรื่องที่สนุกเหมาะกับเด็กและทุกวัยจริงๆ

ตอนเด็กที่ฉันอ่าน ฉันไม่ค่อยมีความเห็นเท่าไรกับเล่มนี้

แต่พอมาวันนี้ที่ได้อ่าน กลับชอบและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

(บอกแล้วว่าความเก่ามันมีเวทมนตร์แห่งความเก๋าซ่อนอยู่)

เรื่องของจองหลุยส์ ริโก ฝาแฝดยอชและมาร์แซล รีรี่ แบร์นาร์ด มาริเต้ และสมาชิกใหม่แกะกล่อง เจ้าชายนิโกลาส์

เด็กหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสทั้ง 8 คนก่อตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า ‘ขบวนการนกกางเขน’

วันหนึ่งพวกเขาถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินในบ้านใหญ่ของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในขณะที่กำลังจะสำรวจห้องใต้ดินเพื่อส่งครู

พวกเขาจะอยู่กันยังไง พ่อแม่ของพวกเขาจะเป็นห่วงมากแค่ไหน มิตรภาพที่ไร้เขตแดนของพวกเขาจะจบลงยังไง

คือเรื่องของคำตอบที่ไปตามหาได้ในเล่ม เชื่อเลยคนอ่านหนังสือเร็วอ่านไม่กี่นาทีก็จบ

เล่มบางเฉียบเหมือนสมาร์ทโฟนสมัยนี้

แต่ที่แน่ๆคือ ระหว่างการอ่านมันอบอุ่นใจและลุ้นไปด้วยจริงๆนะ

บอกแล้ว ว่าแสงสว่างแห่งมิตรภาพมักส่องสว่างแม้รอบข้างจะมืดมิดดั่งในห้องใต้ดินนั่นเอง

=====================================================================

33.คราบัตกับโรงสีปีศาจ – Otfried Preußler

“อ่านไปลุ้นไป ถึงขั้นนั่งยิ้มตามตัวละคร และโศกเศร้าตามพวกเขา”

ระยะเวลาการอ่าน: 18 Sep 16 – 20 Sep 16


จะเกริ่นยังไงดีนะกับเรื่องนี้ อืมมม เริ่มแรกซื้อมาแบบไม่ได้เปิดอ่านในเล่มเพราะสั่งทางออนไลน์

ตอนนั้นแค่เห็นคำเปรยก็คิดว่า น่าสนใจดีแฮะ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองจะชอบรึเปล่าแต่ก็เอามา

แล้วพอได้มาไว้ในครอบครองก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะชอบรึเปล่า…จนได้มาอ่าน

จะเห็นได้ว่าฉันใช้เวลาอ่านเพียง 3 วันนิดๆ เรื่องนี้อธิบายได้ ขณะที่ฉันอ่านฉันรู้สึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหนังสือ

จะว่าเป็นความมีสมาธิก็คงใช่ แต่เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างดึงดูดฉัน พาให้มีอารมณ์ร่วมคล้อยไปด้วยตลอด

เรื่องคราบัตนี้แท้จริงเขียนโดยนักเขียนชาวเยอรมันและเป็นวรรณกรรมคลาสสิคของชาวเยอรมัน

ถือเป็นอีกหนึ่งหนังสือในตำนานสำหรับใครที่ชื่นชอบเรื่องเวทมนตร์ แฟนตาซี เหนือธรรมชาติ

เรื่องราวในเล่มเริ่มต้นที่คราบัต เด็กหนุ่มวณิพกที่บังเอิญไปเป็นเด็กโรงสีของโรงสีแห่งหนึ่ง

โรงสีแห่งนี้มีนายใหญ่ผู้น่าเกรงขาม แปลกประหลาด มีอำนาจน่ากลัว ตาซ้ายมีผ้าสีดำคาดปิดไว้

ที่นี่คราบัตได้พบกับเด็กหนุ่มโรงสีอีก 11 คนที่อายุอาจจะโตกว่าเขานิดหน่อย

มีทอนดา หัวหน้าเด็กหนุ่มที่คอยให้ความช่วยเหลือเขารวมทั้งจูโร เด็กหนุ่มคนครัวที่แม้จะดูโง่ๆเซ่อๆแต่ก็จิตใจดี

คราบัตเป็นเด็กใหม่ของโรงสีแห่งนี้ แม้จะพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาสับสนและหวาดกลัว แต่ก็ไม่รู้คืออะไร

ตลอดเวลาที่คราบัตอยู่ที่นี่เพื่อการทำงานในโรงสี เขาก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่เพียงโรงสีธรรมดาแต่เป็นที่ฝึกฝนมนตร์ดำ

โดยมีนายใหญ่เป็นครูฝึกให้พวกเด็กหนุ่มโรงสี สอนใช้เวทมนตร์ได้ในหลายๆระดับ เช่น การแปลงร่างเป็นอีกา

การแปลงร่างเป็นม้า วัว การถอดจิต การสื่อสารกับคนที่อยู่ไกลทางจิต (ยกเว้นกับคนโรงสีด้วยกัน) การเสกเห็ด ฯ

แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งที่พึ่งที่ดีที่สุดของเขา ทอนดาได้เกิดเสียชีวิตแบบปริศนา สร้างความปวดร้าวให้คราบัตอย่างมาก

เขาต้องการสืบรู้ว่าทำไม ใคร ทำกับเพื่อนเขาแบบนั้นและที่สำคัญ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นทุกปีในคืนคริสต์มาสอีฟ

ที่มีเด็กหนุ่มโรงสีต้องสังเวยชีวิตไปปีละคน และคืนนั้นก็จะมีเด็กใหม่เข้ามาแทน (เหมือนที่คราบัตเคยเจอ)

หลังจากทอนดาจากไป คราบัตก็ยังมีเพื่อนอีกคนที่เขาไว้ใจนั่นคือ มิชาล

แต่แล้ว ในคืนคริสต์มาสอีฟ ก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับทอนดา

มิชาลถูกพบเสียชีวิต และนั่นยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้คราบัตว่าใครเป็นคนทำกับเพื่อนเขา

และในที่สุดคราบัตจะสามารถเอาชนะนายใหญ่ผู้ลึกลับคนนั้นได้ไหม

บทสุดท้ายของหนังสือจะบ่งบอกทุกอย่างเอง

แต่…ในระหว่างพล็อตเรื่องใหญ่ๆนี้ มันยังมีเรื่องปลีกย่อยที่บอกเล่ารายละเอียดระหว่างวันแต่ละวัน

แต่ละเดือน ก่อนจะถึงปีของชีวิตในโรงสีด้วย

และยังทำให้เราหลงรักตัวละครอย่างทอนดา มิชาล จูโร แมร์เทน ฮันโซ อันดรุช ชตัตโค และอีกเยอะที่ไม่รู้ชื่อ

ได้เรียนรู้มิตรภาพ เรียนรู้ความยากลำบาก ได้งงงวยในบางครั้งเกี่ยวกับนายใหญ่ บางทีก็มาใจดีซะงั้น

แต่ทำไมไม่รู้สินะ ไม่รู้เหตุผล แต่อ่านแล้วสนุกจนวางไม่ลงเลย คืนที่สามเลยอ่านรวดเดียวจนจบเลย

ช่วงที่ลึกลับก็ลึกลับจนน่าใจหาย คือลุ้นไปกับตัวละครด้วย ลองคิดดูสิว่าช่วงหน้าหนาวมาทีไรในแต่ละปี

พวกเด็กหนุ่มโรงสีก็จะเริ่มกังวลกระสับกระส่ายว่าปีนี้จะเป็นตัวเองหรือเปล่าที่ต้องถูกเลือก

ยิ่งตอนที่จูโรมาช่วยไขความกระจ่างให้คราบัตก็ยิ่งเสียวกลัวจูโรจะโดนนายใหญ่จับได้

โอ๊ย มันลุ้นจนวางไม่ลงของแท้เชียว ยกให้เป็นเล่มที่สนุกเหนือความคาดหมายเลย

=====================================================================

34. ร้านเวทมนตร์แบตติบาเลโน เล่ม 3 แผนที่ทางข้ามมิติ – Pierdomenico Baccalario

“สนุก ตื่นเต้น ต้องคิดตามไปด้วย น่าติดตามยิ่งกว่าครั้งไหนๆ”

ระยะเวลาการอ่าน: 20 Sep 16 -22 Sep 16

ยกให้เป็นเล่มที่สนุกและชอบที่สุดในบรรดาสามเล่มที่อ่านมาของซีรี่ส์เรื่องนี้เลย

จริงๆยังมีเล่มที่ 4 ปิดท้ายอีกเล่มแต่ฉันให้เรื่องนี้เป็น The Best ไว้ก่อน

น่าขำที่เรื่องราวเล่มนี้มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับเรื่องคราบัตด้านบน

ไม่ว่าจะเป็น โรงสี อีกา มนตร์ดำ

แหม ช่างบังเอิญ…อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในโลกเวทมนตร์สินะ

มาว่ากันด้วยเรื่องของเล่มนี้ ตัวละครทุกตัวยังอยู่กันครบ

หลังจากที่ยายคุมายผู้น่าสงสารตาย ทั้งฟินลีย์ ไอบี โดจ์ ก็ช่วยกันออกตามหาสาเหตุ

โดยพวกเขาตั้งใจจะจับคนร้ายอย่างซีมูเอลด์ แอสเกลล์ให้ได้คาหนังคาเขา

แต่แล้วพวกเขาเองที่ต้องตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะฟินลีย์

สิ่งที่ฟินลีย์ต้องทำคือช่วยเหลือเพื่อนๆให้ได้ทันท่วงทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

แต่…ยังโชคดีที่เล่มนี้เราได้ทำความรู้จักวัตถุวิเศษสุดยอดอีกชิ้นหนึ่งจากร้านแบตติบาเลโน

เป็นวัตถุวิเศษที่ฉันพิศมัยเหลือเกิน นั่นคือ นาฬิกาสำหรับโอกาสครั้งที่สอง

แต่มันน่าเสียดายที่สามารถย้อนเวลาไปได้แค่ภายใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น

แต่ไม่เป็นไร ถ้าฉันมีโดราเอมอน ฉันแค่เอาไทม์แมชชีนมาซะ !

ความสนุกของเล่มนี้คือ ดูเหมือนปริศนาที่เรายังมึนๆงงๆกันตั้งแต่เล่มก่อนๆมันเริ่มคลี่คลายลง

อะไรๆที่หายไปราวกับเป็นจิ๊กซอว์มันเริ่มปะติดปะต่อมารวมกันได้ดีขึ้น

มีตัวละครที่เคยมาเมื่อเล่มก่อนๆก็มา เช่น โซเมอร์เลด สาวตัวเขียว

=====================================================================

35. วันเหมาะเจาะสำหรับจิงโจ้ – Haruki Murakami

“เรื่องเรียบๆ แต่เปี่ยมด้วยความหมาย เรื่องเหนือจริง ยังมีเสน่ห์มิรู้คลาย”

ระยะเวลาการอ่าน: 23 Sep 16 – 24 Sep 16

กลับมาอีกครั้งกับเรื่องสั้นจากมุราคามิ

แยกกันไม่ได้เลยแฮะ ยิ่งเสพ ก็ยิ่งติด เรื่องสั้นเนี่ย

มาคราวนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง (มั้งนะ)

กับเรื่องสั้น 18 เรื่อง ที่ยังคงเต็มไปด้วยการตั้งชื่อตอนแปลกๆยาวๆฟุ้งๆ

ทันทีที่ได้อ่านไปหลายๆเรื่อง คุณจะเริ่มตามทันมุราคามิ

และจับทางการเขียวของเขาได้ไม่ยาก

เล่มนี้ก็เช่นกัน ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องสั้นหลายๆตอน ฉันเคยเจอเขามาแล้ว

เอาล่ะ มาคุยเรื่องของเรื่องสั้นกันดีกว่า

หนังสือเล่มนี้มีเพียง 171 หน้าแต่มีเรื่องสั้นอัดกันอยู่ถึง 18 เรื่อง

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่ามันจะยาวเหมือนเรื่องอื่นๆ

ตอนหนึ่งอาจจะมีแค่ 3-4 หน้าเท่านั้น

บางตอนอ่านๆไปแล้วก็ เอ้า จบแค่นี้อ่ะนะเฮ้ยยยย

เรื่องสั้นประกอบด้วย…

  • วันเหมาะเจาะสำหรับจิงโจ้ >> หนุ่มสาวไปดูลูกจิงโจ้กัน แต่น่าเสียดายที่มาไม่ทันตอนลูกจิงโจ้ยังอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่มัน
  • การได้พบสาวน้อยร้อยเปอร์เซ็นต์ เช้าวันฟ้าใสเดือนเมษายน >> การพบกันของหนุ่มสาวร้อยเปอร์เซ็นต์ของกันและกัน
  • ง่วง >> ชายหญิงไปร่วมงานแต่งงานเพื่อน แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาง่วงเหลือเกิน ง่วงจริงๆนะ
  • ผีดูดเลือดผู้ขับแท็กซี่ >> ก็คนขับเขาบอกว่าเขาเป็นผีดูดเลือดนี่ คุณยังจะไม่เชื่ออีกหรือ
  • เมืองของเธอ กับแกะของเธอ >> ชายที่ห่างหายจากบ้านเกิดมานานเพิ่งมาตระหนักถึงเมืองที่เคยอยู่ตอนดูโทรทัศน์
  • เทศกาลสิงโตทะเล >> คุณสิงโตทะเลมาขอเรี่ยไรเงินบริจาคกับชายคนหนึ่งที่บ้านเพื่องานเทศกาลของสิงโตทะเล
  • กระจก >> หนุ่มน้อยยามกะดึกกับประสบการณ์หลอนไปเอง ณ โรงเรียนมัธยมกลางดึก
  • สาวอิปาเนมา 1963/1982 >> ชายผู้หนึ่งกับการคิดถึงอดีตที่มีหญิงสาวจากบทเพลงออกมาโลดแล่นในความทรงจำ
  • คุณชอบเบิร์ต บาคารัค ไหมคะ >> การโต้ตอบกันระหว่างเด็กหนุ่มผู้รับจ๊อบงานเขียนจดหมายกับกลุ่มผู้หญิงที่อยากเป็นนักเขียน
  • แนวชายฝั่งเดือนพฤษภาคม >> ชายคนหนุ่มกลับบ้านเกิดที่ครั้งหนึ่งเคยมีทะเลทว่าบัดนี้เหลือเพียงหญ้าแห้ง
  • ราชอาณาจักรที่เสื่อมถอย >> ชายคนหนึ่งกับการนึกถึงเพื่อนเก่าสุดเพอร์เฟคในอดีตช่วงสมัยเรียนแม้เขาจะจำไม่ได้ก็ตาม
  • เดย์ทริปเปอร์อายุ 32 >> ชายวัย 32 ออกเดทกับสาววัย 18 บางทีก็อยากกลับไ 18 นะว่าไหม
  • ความรุ่งเรืองและล่มสลายของขนมทงการิยาคิ >> ประสบการณ์สยดสยองของชายหนุ่มที่ตัดสินใจจะลองทำขนมมาแลกเงินสองล้านเยน หากแต่เขายังไม่เคยเจอกับอีกาทงการิยาคิมาก่อน เปลี่ยนใจยังทันนะ
  • ความอัตคัดรูปชีสเค้กของผม >> หนุ่มสาวยากจนเป็นเจ้าของบ้านเช่าบนที่ดินสามเหลี่ยมคล้ายรูปชีส และมีรถไฟสองสายแล่นผ่านเกือบทั้งวันทั้งคืน
  • ในปีแห่งสปาเกตตี >> ชายผู้หลงรักการทำสปาเกตตีแม้จะมีใครที่เขาไม่ต้องการพูดด้วย เขาจะงัดการทำสปาเกตตีในจินตนาการขึ้นมา
  • นกเป็ดผีเล็ก >> ชายคนหนึ่งยืนยันว่ารหัสผ่านประตูคือนกเป็ดผีเล็กแม้ชีวิตของชายคนเฝ้าประตูจะแขวนอยู่บนด้ายแห่งการโดนไล่ออก
  • South Bay Strut >> นักสืบหนุ่มผู้ตามคดีหญิงสาวยักยอกเอกสารมาถึงเซาท์เบย์ แคลิฟอร์เนียใต้
  • เรื่องลึกลับในห้องสมุด >> เด็กหนุ่มโดนชายแก่จับมาขังคุกใต้ดินของห้องสมุดเพียงเพื่ออยากอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเก็บภาษีสมัยออตโตมัน


เอาล่ะ จะเริ่มต้นบอกว่า เรื่องหลายเรื่องในนี้พูดถึงอดีตของพวกเขาเอง

และนั่นทำให้ฉันเริ่มจมดิ่งกับอดีตของตัวเองไปด้วยอีกครั้ง

(และบางครั้งก็จะจบลงด้วยน้ำตา)

เรื่องทุกเรื่องมีความสนุกในตัวมันเอง

เช่น เรื่องที่ฉันอ่านแล้วขนลุกตามก็ยกให้ กระจก

และอาจจะมี ความรุ่งเรืองและล่มสลายของขนมทงการิยาคิ ด้วย

เพราะเรื่องนี้ฉันเจออีกาเป็นตัวละครเรื่องที่สามติดกันแล้ว เหอะ เหอะ

 แต่จะว่าไป 18 เรื่องสั้นของมุราคามิเล่มนี้ก็ให้จุดพีคที่ดีไม่ใช่น้อยนะ

แต่เรื่องที่พีคสุดๆก็น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของเล่ม

จริงๆเอาเป็น plot เขียนเรื่องยาวต่อได้เลยสำหรับ เรื่องลึกลับในห้องสมุด

อ่านไปอ่านมาคล้ายๆกับมีเดจาวูตอนอ่าน ร้านหนังสือ 24 ชม.ของคุณเพนุมบรายังไงชอบกล

สรุป เล่มนี้มีอะไรที่ฉันชอบอยู่ แม้จะให้มากลั่นกรองแต่ก็นึกไม่ออก

หากแต่รู้ว่าตอนอ่านขณะนั้นฉันเพลิดเพลิน

…จากใจจริง

ปล. ขอยกตัวอย่างข้อความหนึ่งของตอนสาวน้อย 100 % ซึ่งเป็นตอนที่ฉันชอบ ว่า

“เรามาลองดูอีกครั้งหนึ่งเถอะ

หากเราสองคนเป็นคู่แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆละก็ ต้องได้พบกันอีกสักวันในที่ใดสักแห่งแน่ๆ

และเมื่อได้พบกันคราวต่อไป หากต่างยังเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ของกันและกัน

เราแต่งงานกันเลยนะ ตกลงไหม”

(หน้า 14)

=====================================================================

36. เจ้าหญิงนินทา – Linda Rodriguez McRobbie

"รวบรวมเรื่องเล่าและเรื่องราวของเจ้าหญิงนานาอาณาจักรที่ดูรวมๆแล้วไม่ธรรมดากันสักคน"

ระยะเวลาที่อ่าน: 24 Sep 16 – 26 Sep 16

จริงๆก็อ่านจบตอนเที่ยงคืนกว่าๆเกือบตี 1 ของเช้าวันที่ 26 ล่ะนะ

ก็ถือว่าอ่านเร็วพอสมควรสำหรับหนังสือ 430 หน้า

เนื้อหาที่ช่างเหมือนเดจาวูตอนอ่าน Sex With The Queen

เพราะหลายๆเจ้าหญิงก็ก้าวไปสู่ราชินีที่มีรักซ่อนเร้นดังที่เจอในเล่มบนได้

แต่ในเล่มนี้ก็มีความแตกต่างในแบบของตัวมันเอง

เรื่องนี้กล่าวถึงเจ้าหญิงอีกหลายคนที่ฉันยังไม่รู้จัก

ทั้งในอดีตกาลนานโพ้นจวบจนมาถึงช่วงยุคเมื่อเร็วๆนี้

ยังไงซะ หนังสือเล่มนี้ก็ยังคงชี้ให้เห็นอยู่ดีว่า การแต่งงานที่ไม่เหมาะสม

ไม่สามารถนำความเจริญใจใดๆมาให้คู่บ่าวสาวเลย

เจ้าหญิงหลายคนถูกการเมืองครอบงำ รวมถึงอำนาจ

จนถึงกับทำได้ทุกอย่างเพื่อขจัดพวกที่กีดขวางนางแม้กระทั่งการฆ่าคน

เจ้าหญิงหลายคนรบจนตัวตาย มีลูกสะพายอยู่ด้านหลัง

หลายคนเปลี่ยนจากเจ้าหญิงมาเป็นหญิงงามเมือง

บางคนเป็นบ้า บางคนโกหกหลอกลวง บางคนคบชุ้สู่ชาย

ไม่ง่ายเลยกับการเกิดมาในวงศ์ตระกูลสูงส่งที่ผู้คนล้วนคาดหวังให้ต้องทำอย่าางนั้นอย่างนี้

การเป็นเจ้าหญิงถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง

บ้างก็แต่งงานกับชายแก่เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลและสมบัติ

บ้างก็ต้องแต่งงานใหม่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดประโยชน์แล้ว

แล้วไหนกันล่ะที่นิทานทั้งหลายแหล่ฝังหัวเรามาว่าเจ้าหญิงเจ้าชายจะครองคู่กันอย่างมีความสุข

คุณหลอกดาวสินะ !!!

ผู้เขียนพยายามในการค้นคว้าหาข้อมูลมามากพอดู

เห็นได้จาก reference ที่ใส่มาด้านหลังหนังสือ

แต่การเขียนของเธอออกจะจัดเรียงได้งงงวยดีแท้

บอกเลยว่าบางเรื่องฉันเองก็งงนะว่ากำลังอ่านหัวข้ออะไรอยู่

ถ้าปรับแก้ตรงนี้ได้ก็จะดีขึ้นมากเลย

เพราะเข้าใจดีว่าเวลาจะเขียนประวัติศาสตร์ให้อ่านสนุกมันยากแค่ไหน

=====================================================================

37. เทพนิยายกรีก – Margaret Evans Price

“19 เรื่องราวเล่าขาน ส่งต่อตำนานอันล้ำค่าสู่ชนรุ่นหลัง”

ระยะเวลาการอ่าน: 26 Sep 16 – 28 Sep 16

เล่มนี้ก็อ่านจบตอนเที่ยงคืนของเช้าวันที่ 28 นะ

แล้วแถมยังเป็นหนังสือเก่าในกรุที่ฉันชอบมากอีกเล่มหนึ่งด้วย

เลยเหมือนกับว่าได้เจอเรื่องที่คุ้นเคยอีกครั้ง และฉันก็ไม่เคยเบื่อเลย

หนำซ้ำยังสนุกกว่าเก่าอีกเพราะระหว่างอ่าน ฉันเสิร์ชหารูปในอากู๋ดูประกอบเพิ่มเติม

และแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้รู้จักเทพและเทพีของกรีก

จำได้ว่าเล่มนี้ซื้อมาตอนประถมและก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย

ในเรื่องจะมีกล่าวถึงเทพเจ้าของกรีก เช่น

เทพเจ้าจูปิเตอร์ (ซูส) ผู้ปกครองแห่งเทพทั้งปวง

พระมเหสีของจูปิเตอร์ เทพีจูโน (เฮรา) ขึ้นชื่อด้านความหึงหวง

เทพเจ้าอพอลโล (อพอลลอน) เทพแห่งแสงสว่าง

และน้องสาว เทพีไดอาน่า (โรมันเรียกอาร์ทีมิส) เทพีแห่งดวงจันทร์

เทพเจ้าเฮอร์คิวลิส ผู้ทรงพลัง

เทพีวีนัส (อะโฟรไดต์) เทพีแห่งความงาม

คิวปิด (อีรอส) เทพแห่งความรักปักอก

เทพีมิเนอร์วา (อะธีน่า) เทพีแห่งนักรบ

เทพเจ้าพลูโต (เฮดีส) เทพแห่งนครวิญญาณ์ ณ ใต้ธรณี

เป็นต้น

คือจริงๆมีเยอะกว่านี้อีกและเป็นเรื่องราวของทั้งมนุษย์และเทพ

บางเรื่องก็ถูกเล่าขานเป็นตำนานรัก เช่น เรื่องของคิวปิดกับไซคี

ส่วนตัวชอบตำนานของเทพเจ้าพลูโตและเทพีพรอเซอร์พิน่า (เฮดีสและเพอร์เซโฟนี)

ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องยาวเล่มหนาที่เล่าตำนานเทพเจ้าอย่างละเอียด

แต่ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับบรรดาประชากรอมตะบนเทือกเขาโอลิมปัส

รวมถึงเรื่องราวที่มนุษย์ นางไม้ เทพ และสรรพสิ่งมีความเกี่ยวข้องกัน

และอีกอย่าง ภาพประกอบของเล่มนี้ก็สวยมากด้วย

ดีใจที่ได้กลับมารำลึกความสนุกวัยเยาว์อีกครั้ง

แต่เอาจริงๆนะ หนังสือเล่มนี้น่าจะตั้งชื่อว่า เทพนิยายโรมัน

เพราะชื่อเทพเจ้าที่ปรากฏในเล่มเป็นชื่อทางโรมันทั้งหมด

ตามชื่อด้านหมดที่ฉันวงเล็บไว้นั่นคือชื่อทางกรีก

น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าเพราะว่าชื่ออังกฤษไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นกรีกหรือโรมัน

=====================================================================

 38. เด็กประหลาดแห่งคฤหาสน์แอชตัน [เสียงหอนปริศนา] – Maryrose Wood

“หลงรักเด็กๆไม่รู้ตัว อยากตามตอนต่อไปด้วยหัวใจเต้นรัว”

ระยะเวลาการอ่าน: 27 Sep 16 – 1 Oct 16

การที่จะได้หนังสือเล่มนี้มาครอบครอง สามารถเล่าได้เป็นมหากาพย์

เรื่องมันเริ่มมาจากว่า ฉันบังเอิญนั่งเสิร์ชหาหนังสือหน้าปกสวยๆเล่นใน Goodreads

ทีแรกมันก็เริ่มจากหนังสือที่ฉันเคยอ่านๆไปนั่นแหละ

แต่ไปๆมาๆก็ไปเจอเล่มนี้เข้าเพราะสะดุดตาที่หน้าปก

และไม่ใช่เพียงเล่มเดียวด้วยที่หน้าปกมันช่างดึงดูด

หากแต่ทั้งซีรี่ส์นี้มีหน้าปกที่ฉันหลงใหลแทบทั้งหมด

พอมาลองอ่านเนื้อเรื่องแล้วก็ยิ่งชอบ

เด็กสาวคนหนึ่งมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กสามคนในคฤหาสน์แสนจะลึกลับงั้นหรือ

เฮ้ย นี่มันเป็นส่วนผสมระหว่างแมรี่ ป๊อปปิ้นส์, เจน แอร์, บ้านหลอน เด็กประหลาด, แล้วก็อดัมส์ แฟมิลี่เลยนี่

แนวที่ชอบทั้งนั้นเลย ไหนจะเนื้อเรื่องดำเนินในยุควิคตอเรียด้วยแล้ว

เสื้อผ้าพวกเลดี้ผู้ที่กระโปรงแสนจะฟูฟ่อง

พวกสุภาพบุรุษที่สูบไปป์ และถกกันเรื่องไร้สาระเครียดๆ

แนวเนี้ยอ่ะ เลิฟเลย แต่…น่าเสียดายจังมีแต่เล่มภาษาอังกฤษ

สงสัยคงต้องซื้อฉบับอังกฤษอ่านล่ะมั้งนี่

เสิร์ชรูปไปมา ปรากฏว่า…เฮ้ยๆๆ

มีแปลไทยด้วยนี่ฝ่าาา กรี๊ดดดดด ค้นดูซิๆ ยังมีอีกไหม

โห พิมพ์ออกมาตั้งนานนมแล้วนี่ หมดแล้วมั้ง

จริงๆด้วย แทบไม่มีร้านหนังสือออนไลน์ไหนยังเหลืออยู่เลย

มีอยู่อีกทางหนึ่ง…เข้าเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ซะเลย อืมมม ตะวันส่องเหรอ

ลองเสิร์ชดูภายในเว็บไซต์สนพ.ตะวันส่องก็แล้ว เอ๊ หายากจัง

หรือว่ามันจะหมดจริงๆนะ อ่ะ ลองเสิร์ชใหม่ซิ

…Buffering…

และแล้วก็…เฮ้ยยย กรี๊ดดด มีด้วยยย กดสั่งซื้อเลยๆๆ

แอร๊ยยย ซื้อได้ด้วย โอเค ! จ่ายเงินเลยยย

สองสามนาที คำสั่งซื้อหนังสือที่ฉันสั่งก็เด้งเข้ามาในอีเมล์

เป็นอันเรียบร้อย เหลือแค่โอนเงิน

และแล้วอีกเกือบอาทิตย์ถัดมา ฉันก็ได้เล่มนี้มาครอบครอง

วะ ฮะ ฮะ ฮ่าาาา อาวู้วววววววววว

(ขอเลียนแบบการส่งเสียงเวลาดีใจของพวกเด็กๆ ณ ตัวประหลาดหน่อยนึง)

สำหรับเล่มแรกนี้ ด้วยความที่คงคาดหวังสูงไปหน่อยและยังไม่คุ้นชินสำนวนการเขียน

เริ่มแรกมาฉันอ่านได้ค่อนข้างตะกุกตะกัก

ด้วยการแปลและด้วยสไตล์การเขียนที่ไม่คุ้นเคยจึงทำให้อ่านช้าไปกว่าที่เคย

แต่ไม่นานนักก็เริ่มคุ้นชินกับการเขียนแบบนี้ โอเค ได้ๆ

แต่…ยังไงก็ตาม ไทม์ไลน์ในเรื่องมันดูแปลกๆและขัดแย้งในตัวเอง

เอาเป็นว่าฉันจะไม่หาคำตอบที่ถูกแต่จะคิดเอาเองในแบบที่ฉันอยากคิดแล้วกันนะ

สำหรับเรื่องนี้ พออ่านๆไปได้ช่วงกลางจะเริ่มตื่นเต้น

และเอาจริงๆนะ ฉันเริ่มหลงรักเด็กๆทั้งสามอย่างบอกไม่ถูกเลย

และแน่นอนว่าตอนจบเรื่อง ปริศนาก็ยังไม่ถูกคลี่คลาย มันจึงยังค้างเติ่งอยู่นี่

คนเขียนอยากให้เราติดตามไปเรื่อยๆ แต่เห็นที สนพ.คงจะไม่แปลมาแล้ว

สงสัยต้องซื้อฉบับ Eng มาอ่านเองของจริง

และกว่าจะจบก็คงใช้เวลานานเลย เหอะๆๆ

เรื่องนี้ฉันใช้จินตนาการเอาหน้านักแสดงมาใส่ในตัวละครด้วย รู้สึกสนุกขึ้นจริงๆนะ

และตัวละครอย่างเลดี้คอนสแตนซ์ ต้องเป็นน้อง Elle Fanning เท่านั้น เหมาะมากกก

สรุปคือประทับใจอย่างที่หวังไว้ และจะติดตามต่อไปจนกว่าปริศนาจะคลี่คลาย

ขอยกประโยคที่ชอบมาให้อ่าน

“บางครั้งบางครา สิ่งที่ฉลาดที่สุดคือการเลือกที่จะรอคอยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า”

(หน้า 237)

=====================================================================

39. ร้านเวทมนตร์แบตติบาเลโน เล่ม 4 หัวขโมยแห่งกระจกเงา – Pierdomenico Baccalario

“ปิดฉากไตรภาคบวกหนึ่งแห่งโลกเวทมนตร์ของฟินลีย์และผองเพื่อน คงคิดถึงกันแย่”

ระยะเวลาการอ่าน: 1 Oct 16 – 2 Oct 16

ความตลกร้ายของนายฟินลีย์ แมคฟียังคงมีอยู่

และมันคงทำให้ฉันอดคิดถึงเขาไม่ได้ เพราะเล่มนี้ฉันขำเพราะเขาเยอะเชียว

เล่มนี้ก็คล้ายกับมีเดจาวูมีแล้วครับท่าน

เหมือนการผจญภัยของตินตินผสมกับแฮร์รี่ พอตเตอร์

มีรถเมล์นิรนามที่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับรถเมล์อัศวินราตรีในแฮร์รี่เล่ม 3 ไม่มีผิด

ไหนจะตัวละครที่เป็นผู้กุมกุญแจที่คล้ายกับแฮกริดแล้วแถมยังมีมอเตอร์ไซค์และมีที่นั่งพ่วงเหมือนเขาอีกด้วย

แต่ก็นะ โลกเวทมนตร์มันก็ไม่ได้กว้างอะไร

เพียงแค่โลกเวทมนตร์ของฟินลีย์กับไอบีไม่มีลอร์ดโวลเดอร์มอร์

แต่มีซีมูเอลด์ แอสเกลล์มาแทน

แม้เขาจะเป็นตัวร้ายที่ไม่มีพรรคพวกเทียบเท่าท่านลอร์ดอ่ะนะ

มาภาคนี้เขากลับมาอีกแล้ว คงจำได้ว่าภาคก่อนเขาถูกเก็บไปรอบแล้ว

เอาจริงๆนะ ถ้าหนังสือชุดนี้มีหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย

มันจะสามารถบรรยายแล้วก็เฉลยเรื่องที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ได้อีกเยอะเลย

อย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่งล่ะที่จะรู้เรื่องมากกว่าเดิม

หรือว่า…คนอื่นเขาก็รู้เรื่องกันนะ อืมมม

เอาเหอะ เอาเป็นว่า อ่านมาจนจะจบเล่มสุดท้ายแล้วเนี่ย

ฉันยังคงรู้สึกได้ว่าบางจุดฉันเชื่อมไม่ติด เห็นทีต้องหาเวลาไปอ่านซ้ำอีกรอบ

เล่มนี้เริ่มที่ฟินลีย์รับรู้ว่าไอบีมีอันตรายจึงจะไปช่วย

แต่ก่อนจะไปช่วยก็มีอุปวรรคและปัญหาให้ไขเยอะเหลือเกิน

จนบางครั้งก็เป็นเจ้าฟินลีย์นี่เองที่สบถแทนฉันไปด้วยเลย

เอาจริงๆนะ อีตาแอสเกลล์นี่ช่างน่าสงสารชะมัด

เป็นตัวร้ายทั้งที แต่ดันมีพระเอกฉลาดกว่าและแถมโชคดีซะด้วย

(รู้สึกคุ้นๆมะ พอตเตอร์)

เล่มนี้ชอบน้อยกว่าเล่มสามแล้วกัน เพราะรู้สึกต่อไม่ติด

แม้จะอ่านรวดเดียวภายในไม่กี่ชั่วโมงก็เหอะ

เริ่มอ่านตอนห้าทุ่มครึ่งของคืนวันเสาร์แล้วจบก่อนเที่ยงวันอาทิตย์

จะว่าไปเนื้อเรื่องมันก็ชวนลุ้นด้วยแหละแต่การบรรยายบางเรื่องน่ะ

มันต้องอาศัยหน้ากระดาษเยอะกว่าที่มีอยู่อีกหน่อยจะดีมาก

นี่บางครั้งก็สงสารไอ้หนูฟินลีย์นะ ยังไม่เห็นมีฉากพักผ่อนซักตอนเลย

เดี๋ยววิ่งไปนู้น กลับมานี่ ข้ามไปนั่น กลับมานี่อีกแล้ว

โอย สงสารเด็กมันบ้างเถอะน่า

สรุป แม้จะจบลงแล้วที่อ่านติดตามมา 4 เล่ม (ขอบคุณที่มีแค่ 4)

หนังสือชุดนี้ให้ความบันเทิงเป็นอย่างดีและในขณะเดียวกันก็ให้ความงงด้วย

เอ หรือว่าบางทีฉันจะอ่านหนังสือไม่แตกฉานกันนะ 55555+

แล้วแถมภาคนี้ยังมีพีคอีกตรงที่ตัวละครหนึ่งที่ภาคก่อนก็มาช่วยดิบดี

ภาคนี้กลับกลายเป็นคนร้ายซะได้ โหย แบบนี้ไม่เอาอ่ะ อุตส่าห์ไว้ใจ

เห็นทีฉันคงต้องไปอ่านใหม่แฮะ บางทีการเริ่มต้นรอบสองอาจจะมีอะไรที่เข้าใจขึ้นก็ได้

ยังไงก็ขอบใจนายนะฟินลีย์ ขอให้ได้แต่งงานกับไอบี

อ้อ เล่มนี้ดีใจ มีตัวละครที่มีชื่อเหมือนฉันด้วย นานๆทีจะมี ปลื้ม

ยังไงก็โอเคละที่ชื่อเราไม่ได้ประหลาดเกินไปจนคนเขาไม่ตั้งกัน

แต่นี่เป็นชื่อของผู้วิเศษมีเวทมนตร์แถมสวยด้วยอีกนะ ^^

ปล. หน้าปกเล่มสุดท้ายนี้ช่างไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเลย

=====================================================================

40. สี่ถึงหก – นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

“มอปลายสดใส หัวใจมีเธอ”

ระยะเวลาการอ่าน: 2 Oct 16 ประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ

สิ่งที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์ที่สุดนั่นคือ การผ่านช่วงชีวิตมอปลาย

มอปลายคือวัยแห่งการเติมเต็ม

ชีวิตฉันถูกเติมเต็มด้วยความเอาใจใส่ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ที่ซึ่งปัจจุบันฉันได้กลายเป็นดาวพลูโตสำหรับเขาไปแล้ว

แต่ทว่า เขาอาจกลับไม่มีทางรู้เลยว่าดาวเนปจูนดวงนี้เฝ้ารอเขาอยู่เสมอ

…จะดราม่า ทำไม

“สิ่งที่ชอบที่สุดในช่วงชีวิตมอปลายคือเป็นช่วงที่มีเธออยู่ด้วยกัน ชอบการมาโรงเรียนเพราะได้มาเจอเธอทุกวัน”

สุข เศร้า เคล้าดราม่า…นี่แหละหนา ชีวิตมอปลาย

ประโยคที่ชอบมีเยอะไปหมด เรียกได้ว่าเกือบทั้งเล่ม

การจะหามายกตัวอย่างนั้นยากยิ่งกว่า

“ทันทีที่ก้าวผ่านประตูโรงเรียนไป

เหมือนเข็มนาฬิกาหยุดและแถมด้วยการวิ่งถอยหลัง

การเดินทางย้อนเวลานั้นมีอยู่จริง”

(หน้า 244)

บางประโยคที่เอามารวมและตัดทอนไป

“แม้ว่าเราจะมองโรงเรียนเดิมด้วยสายตาของคนที่โตขึ้น

แต่ด้วยภาพที่เรายังเห็นมันก็ยังเป็นภาพเดิมๆ

เรายังเห็นเพื่อนคนเดิมๆ นั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมๆ

เห็นสนามกีฬาแคบเท่าเดิม แม้ว่าอันที่อยู่ตรงหน้ามันจะกว้างขึ้นกว่าเดิม

เห็นคนที่เราแอบชอบคนเดิมๆ นั่งคุยกับเพื่อนอยู่หน้าตู้ปลาตู้เดิม

คิดถึงความตลกเดิมๆ มุขเดิมๆ ที่ขำเองอยู่คนเดียว”

(หน้า 245)

แม้ว่าโรงเรียนของฉันและของพี่เต๋อจะเป็นคนละโรงเรียน

แต่ประสบการณ์ที่เราได้ผ่านช่วงชีวิตมอปลายมาเหมือนกันนั้นแทบจะคล้ายกันทุกยุคสมัย

ตัวฉันเองยังคงเป็นสมาชิกสมาคม

‘โหยหาความทรงจำในโรงเรียนเก่าและแวะเวียนไปแบบไม่มีจุดประสงค์พิเศษอยู่เสมอ’

(ชื่อย่อของสมาคมนี้คือ ส.ห.จ.ก.ว.ม.พ)

pppp

=====================================================================

41. รองเท้าแห่งวันคริสต์มาส – Donna Van Liere

“รองเท้าคู่เดียว ประสานกลมเกลียวโชคชะตาให้ใครหลายๆคน”

ระยะเวลาการอ่าน: 3 Oct 16 – 4 Oct 16

เริ่มอ่านแบบไม่ทันได้คิดอะไร

กะจะเอาออกมาอ่านแบบเปิดพลิกๆไป แค่อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไง

ไปๆมาๆ กว่าจะรู้ตัวก็อ่านไปจนเกือบถึงครึ่งเล่ม

ก็ว่าจะหยุดอ่านๆ แต่ก็ไม่ได้หยุดซักที จนจบนั่นแหละ

ตอนที่ซื้อมาครั้งแรกก็ชอบเพราะชื่อเรื่องและหน้าปก

ฉันชอบอะไรที่เกี่ยวกับคริสต์มาสอยู่แล้วเลยอดใจที่จะไม่ซื้อไม่ได้

เรื่องนี้สอยมาจากเว็บ Kosit ซึ่งราคาก็ไม่แพง

จริงๆเรื่องราวเล่มนี้เป็นเล่มแรกของเล่มต่อๆไปในชุด Christmas Hope

ซึ่งมันจะมีเรื่องราวต่อไปอีกประมาณ 7-8 เล่ม

แปลไทยนี่จะมีกี่เล่มก็ไม่รู้

แต่ไม่เป็นไร เริ่มอ่านปฐมบทแรกก็โอเคแล้ว ดีที่เลือกเล่มนี้มา

เรื่องราวในเล่มจะแบ่งเป็นเรื่องของ ‘ผม’ หรือ โรเบิร์ต เลย์ตัน

และ นาธาน แอนดรูวส์

p

=====================================================================

42. มหาสมุทรที่สุดปลายถนน – Neil Gaiman

“ราวกับความทรงจำวัยเด็กถูกปลดปล่อยโดยตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้”

ระยะเวลาในการอ่าน: 3 Oct 16 – 7 Oct 16

เราทุกคนล้วนแต่มีมหาสมุทรซ่อนอยู่ในหัวใจ

ฉันเชื่อเช่นนั้น

มหาสมุทรในใจคนเก็บซ่อนความลับ ความทรงจำในวัยเด็กของเราไว้

เราจะไม่มีทางสัมผัสมันอีกครั้งจนกว่าเราจะได้กลับไปหามันอีกครั้ง

เฉกเช่นเดียวกับตัวเอกของเรื่อง

ยามต้นเรื่องเขาคือชายวัยกลางคนที่ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน

แต่เมื่อเขาได้กลับมายังบ้านเก่า ที่ซึ่งในอดีตเขาได้ใช้ชีวิตอยู่

เขาจึงเริ่มเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ตกหล่นตามหนทาง

ทางที่นำเขาไปสู่บ้านหลังหนึ่งที่สุดปลายถนน

บ้านของ เล็ตตี้ เฮมป์สต็อก

น่าแปลกที่เมื่อแรกเริ่ม เขาจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอไม่ได้ รู้แค่เพียงบางอย่างเท่านั้น

แต่ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อได้ไปลองจ่อมจมอยู่กับมหาสมุทรในความทรงจำของทั้งตัวเขาและเล็ตตี้

ภาพในอดีตก็ปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัดราวกับเพิ่งผ่านไปไม่กี่สัปดาห์

หากแต่ในความจริง มันคือความทรงจำที่ถูกกาลเวลาทับถมจนลืมไปเลยว่าเคยมีอยู่…

ฉันเพิ่งเริ่มอ่านงานของปรมาจารย์อย่างนีล เกแมน

เริ่มแรกจากการเห็น plot ใน Readery จึงเชื่อว่านี่คือหนังสือที่จะมาเติมเต็มฉันได้

ฉันหลงเสน่ห์การหวนนึกถึงอดีต ความทรงจำวัยเด็ก และเพิ่อนในขณะนั้น

เพราะแน่นอนว่าความทรงจำของฉันเองก็มีความมหัศจรรย์ในแบบของฉัน

ฉันจึงหลงใหลในหนังสือเล่มนี้ ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นอ่านมันจะยากเย็น

แต่เมื่อฉันถูกตรึงไว้ด้วยตัวหนังสือในเรื่อง ฉันก็ไปไหนไม่รอดแล้ว

ฉันเชื่อว่าหลายคนรักเล็ตตี้ เฮมป์สต็อก

เมื่อมีเธออยู่ด้วยเราจะรู้สึกอบอุ่นใจ

เล็ตตี้มักชอบพูดให้อุ่นใจเสมอว่า ‘ฉันจะปกป้องเธอเอง’

ซึ่งนั่นมันทำให้เด็กน้อยตัวเอกและคนอ่านอย่างเราอุ่นใจขึ้นเป็นกอง

.

ฉันมีประโยคที่ชอบอยู่หลายแห่งในเล่มแต่ขุดขึ้นมาไม่เจอแล้ว

เลยเอาอีกอันที่ชอบพอๆกันมาหยิบยกแทน

“ฉันไม่สนหรอก ยังไงๆ ฉันก็จะรอเล็ตตี้ เฮมป์สต็อกอยู่ตรงนี้

เธอจะกลับมาหาฉันอย่างแน่นอน และถ้าฉันตายลงตรงนี้

ฉันก็จะตายไปทั้งๆที่รอเธออยู่”

(หน้า 1)

=====================================================================

43. มาดามแปมเปิลมูส กับร้านขนมหวานมนตรา – Rupert Kingfisher

“ปิดท้ายด้วยความหอมหวานของมิตรภาพที่มีการทำอาหารเป็นตัวเชื่อมผู้คนทั้งหลายไว้ด้วยกัน”

ระยะเวลาการอ่าน: 7 Oct 16

เล่มจบของมาดามแปมเปิลมูสและผองเพื่อนเล่มนี้ได้ใจฉันไปเต็มๆ

แม้ว่าเล่มที่ 2 จะน่าเพลิดเพลินเจริญใจ แต่เมื่ออ่านเล่มนี้จบ รู้สึกได้เลยว่า ปิดท้ายได้อย่างสวยงาม

เรื่องเริ่มต้นที่มัดแล็นด์ (อีกแล้ว) ถูกกลั่นแกล้งด้วยเพื่อนนิสัยแย่ๆที่โรงเรียนจนเธอทนไม่ไหว

เมื่อมีมาดามบงบงผู้เป็นเจ้าของร้านขนมหวานหยิบยื่นทรัฟเฟิลมาให้

หลังจากนั้นทรัฟเฟิลนั้นก็ช่วยให้มัดแล็นด์ลืมความทุกข์และจมดิ่งสู่กับดักที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้

เล่มนี้เราจะได้รู้จักกันซักทีว่ามาดามแปมเปลมูสคือใคร มาจากไหน

p

=====================================================================

44. เรื่องของมิสเตอร์ซอมเมอร์ – Patrick Süskind

“”

ระยะเวลาการอ่าน: 5 Oct 16 – 8 Oct 16

o

 =====================================================================

45. คือเธอใช่ไหม? – Guillaume Musso

“หนึ่งในหนังสือย้อนเวลาที่กระชากอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบพร้อมกับแถมกรี๊ดให้ด้วยเลยในหน้าสุดท้าย”

ระยะเวลาในการอ่าน: 8 Oct 16 – 9 Oct 16

จริงๆไม่ได้ตั้งใจอ่านให้จบเร็วขนาดนี้แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ

ฉันเริ่มต้นอ่านน่าจะเพิ่งเมื่อเช้าของวันที่ 8 เองแต่พอเข้าวันที่ 9 ได้ชั่วโมงนึงก็อ่านจบ

จะเรียกว่าฉันเสพจนติดจะได้ไหมนะ คืองี้ ต้องบอกก่อนว่า

เรื่องนี้ฉันก็ใช้นักแสดงมาแทนตัวละครในหัวของฉันด้วย ซึ่งมันยอดมาก

และที่ฉันอ่านจบรวดเดียวเลยแบบนี้น่าจะเป็นเพราะสไตล์การเขียนของมุสโซ

สำหรับเรื่องนี้เห็น plot ก็ชอบแล้ว การย้อนเวลา คนรักเก่า การพลัดพราก

plot สุดคลาสสิค และมันก็ทำให้น้ำตาอาจจะไหลได้ง่ายๆ

แต่…สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ร้องแฮะ แต่ขณะที่อ่านไป รู้สึกเหมือนโดนทุบด้วยตัวอักษร

บางประโยคมันฝังลงในใจฉันทันทีราวกับน้ำหมึกที่หยดลงบนเนื้อผ้า

เรื่องราวของศัลยแพทย์วัย 60 ปีที่กำลังจะตายด้วยมะเร็งปอด

แต่เขากลับพบว่ามีหนทางนำตัวเขาเองกลับไปหาอดีตเพื่อไปเจอคนรักที่ตายไปแล้วอีกครั้ง

เชื่อไหมว่านี่มัน plot บ้านๆ แต่การดำเนินเรื่องนั้นเท่าระดับปรมาจารย์

ฉันตื่นเต้นเพราะแต่ละตอนมีแต่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้แทบทั้งนั้น

เรื่องบางเรื่องที่คิดว่าจะเดาถูกก็กลับถูกเพียงนิด และทิ้งความอึ้งไว้ให้

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ตอนจบฉันปิดหนังสือพร้อมกับร้องมาอย่างดัง

ใช่ ร้องออกมาในตอนตีหนึ่งกว่าๆ

ความรู้สึกมันจุก มันชา มันซ่าเต็มไปหมด ในใจฉัน

จริงๆเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดๆหนึ่งที่คิดว่าน่าจะจบแล้วแต่มันไม่ใช่

พรมมันยังไม่หมด มันถูกปูต่อไปอีก และไปอีก ไปอีก

มารู้ตัวว่ามันจบจริงๆก็เมื่อมันขึ้นประวัติผู้เขียนแล้ว

ฉันเคยคิดมาเสมอว่าใครก็ตามที่ริเล่นตลกกับการย้อนเวลาหรือพยายามแก้ไขมัน

เขาคนนั้นจะได้รับผลการกระทำอันน่าเจ็บปวด

ใช่ เล่มนี้ก็ไม่ต่างกัน มันเจ็บปวด ตัวละครของเราเจ็บปวด พวกเขาทรมาน

เราเข้าใจดีว่าความทรมานจากการต้องจากกับคนที่ตนรักมันเป็นยังไง

แต่แล้ว ด้วยการประพันธ์อันปราดเปรื่องของมุสโซก็สามารถสมานกาลเวลาให้ลงตัว

ในเรื่องจะมีการย้อนเวลา 2 ช่วงคือ ช่วงอายุ 30 และอายุ 60

ฉันเองก็เคยอ่านงานเขียนหรือดูหนังที่มีการย้อนเวลาบ่อยๆ

แต่บางครั้งฉันก็ไม่มีไหวพริบพอให้ตามทันผู้เขียน

แต่สำหรับมุสโซ เขาปราณีต่อฉัน ทำให้ฉันเข้าใจและไล่ลำดับเหตุการณ์ร่วมไปกับเขา

ราวกับฉันได้ย้อนเวลาไปพร้อมกับเอลเอียต อิเลน่า แมตต์

ฉันได้อิ่มกับเรื่องราวของพวกคุณ และในตอนจบ พวกคุณก็อิ่มกับประสบการณ์ของตัวคุณเอง

จริงๆฉันมีอะไรจะบอกหลายเรื่องที่จะสื่อว่ารู้สึกยังไงกับหนังสือเล่มนี้

แต่ตอนนี้บรรยายไม่ออกเลย มันจุกไปหมด

มีประโยคที่กระแทกกระทั้นหัวใจฉันหลายหน้าเลย

เอางี้นะ ด้วยความที่ฉันอยากเรียบเรียงไทม์ไลน์นี้มากๆ ฉันจะบอกคร่าวๆว่า

  • เอลเลียต ศัลยแพทย์วัย 60 มีลูกสาว 1 คน กำลังจะตายเพราะมะเร็งปอด (สูบบุหรี่จัด)
  • เขามีโอกาสไปกัมพูชาและได้ยาจากชายคนหนึ่งโดยชายคนนั้นถามเขาว่าหากย้อนเวลาได้ เขาจะทำอะไร
  • ชายคนนั้นให้ยามา ยาที่ทำให้ย้อนกลับไปในอดีตนั้นมีทั้งหมด 10 เม็ด
  • เอลเลียตในวัย 60 ย้อนกลับมาหาตัวเองในวัย 30 และอยากมาเห็นหน้าอิเลน่า แฟนเก่าที่ตายไปโดยที่เขาและเธอไม่ทันร่ำลา
  • ในตอนอายุ 30 เอลเลียตเป็นศัลยแพทย์เด็กฝีมือดี อิเลน่าเป็นสัตวแพทย์ทำงานกับสัตว์น้ำในโอเชี่ยนเวิร์ล โดยทั้งสองอยู่คนละเมืองที่ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินถึง 6 ชั่วโมง
  • ตอนแรกเอลเลียตไม่เชื่อว่าชายที่ปรากฏตัวให้เขาเห็นและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นจะเป็นเขาในวัย 60
  • แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างทำให้เอลเลียตวัย 30 เชื่อว่าเขาในวัย 60 กลับมาหาตัวเองได้จริงๆ
  • จากนั้น เอลเลียตวัย 60 บอกว่าอิเลน่าจะตายในคืนวันที่ 24 ธันวาคม 1976 โดยที่นาย (หมายถึงเอลเลียตตอน 30) เป็นคนฆ่าเธอ
  • แน่นอน เอลเลียตไม่เชื่อ เขากับอิเลน่ารักกันจะตาย เพียงแค่ว่าเธออยากมีลูกแต่เขาไม่ เลยทะเลาะกันบ่อย แต่นอกนั้นเขาและเธอก็มีความสุขดี ดังนั้นเขาจึงบินไปหาเธอเพื่อเติมความรักให้กัน
  • แต่แล้ว คืนหนึ่งใกล้คริสต์มาสอีฟ มีคนไข้ของเอลเลียตคนหนึ่งกำลังจะตาย เขารู้สึกสะเทือนใจกับชีวิตของเด็กสาวคนนี้มากเลยอยากจะเฝ้าเธอก่อนเธอตาย นั่นทำให้เขาต้องผิดนัดกับอิเลน่าที่กำลังจะเดินทางมาหาเอลเลียตในช่วงคริสต์มาส เขาโทรบอกเธอว่าไปรับเธอไม่ได้
  • อิเลน่าน้อยใจมาก เธอกับเขามีปากเสียงกับทางโทรศัพท์ เธอเดินลงไปหาปลาวาฬ คนไข้ของเธอ ในขณะนั้นเองปลาวาฬกำลังคลั่งเพราะสูญเสียลูกไปเลยพยายามเอาตัวพุ่งชนราวกั้นเพื่อให้ตาย อิเลน่าอยากจะช่วยเลยโดดลงไปในสระ ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม และถูกต้อง เธอโดนปลาวาฬฟาดและร่างก็จมลงในน้ำ เสียชีวิต
  • เอลเลียตในวัย 60 เอาหลักฐานมายืนยันกับเอลเลียตวัย 30 ว่า เนี่ย แกอ่ะทำให้อิเลน่าต้องตาย ดังนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่กล่าวไปข้างต้น เอลเลียตทั้งสองจึงตัดสินใจช่วยชีวิตอิเลน่า แต่มีข้อแม้คือ นับแต่บัดนี้ไป เขาต้องบอกเลิกอิเลน่า เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเจอเขาและผิดหวังกับเขาอีก และเขาต้องใช้ชีวิตที่เหลือตามแบบที่เอลเลียตตอน 60 เป็นมาตลอดนั่นคือ มีลูกกับผู้หญิงคนหนึ่งในตอนช่วงอายุ 35 ซึ่งเด็กคนนั้นก็จะกลายมาเป็นลูกของเขาในวัย 60 เอลเลียตวัยหนุ่มตกลงตามเงื่อนไข
  • เอลเลียตวัย 30 เริ่มปฏิบัติการเปลี่ยนอดีต โดยที่เขาไม่อยู่เฝ้าไข้เด็กคนนั้น แล้วไปรับเธอที่สนามบิน เขาโล่งใจเพราะเธอจะได้ไม่ต้องตายในสระน้ำนั่นแล้ว พอเธอมาอยู่ด้วยแล้ว เอลเลียตตัดสินใจบอกเลิกเธอ เขาบอกว่าเขามีคนใหม่และไม่รักอิเลน่าแล้ว อิเลน่าปวดร้าวมาก เขาทั้งสองแยกกัน เอลเลียตโล่งใจเมื่อตนเปลี่ยนอดีตได้แล้ว อิเลน่าจะไม่ต้องตายอีก แต่เขากลับคิดผิด
  • เอลเลียตวัย 60 ลองเสิร์ชดูข่าวของอิเลน่าว่ายังมีว่าเธอตายในสระเมื่อ 30 ปีก่อนอยู่ไหม ปรากฏว่าไม่ มันยังไม่จบ เมื่อเธอกลายเป็นผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดิ่งลงมาจากสะพานโกลเด้นเกตแทน
  • เอลเลียตวัย 30 ไม่รู้ตัวเลยว่า อิเลน่าไม่ได้ขึ้นเครื่องกลับหลังจากเขาบอกเลิกเธอ แต่เธอเดินไร้วิญญาณไปตามสะพานโกลเด้นเกตและกระโดดลงมาจากสะพานหวังปลิดชีวิตตนแทน แม้ว่าเธอจะถูกช่วยชีวิตแต่ก็ไม่ทัน เธอสิ้นใจในวันที่ 26 ธันวาคม 1976
  • เอลเลียตทั้งสองเริ่มมาวางแผนใหม่ มันต้องไม่ใช่งี้ดิ เอลเลียตวัย 60 ไปแอบค้นรายงานทางการแพทย์ของอิเลน่าก่อนตายมาแล้วพบว่าเธอยังมีโอกาสรอดเพราะมีเลือดออกในสมอง แต่เมื่อ 30 ปีก่อน ไม่ได้มีการผ่าตัดเธอในช่วงเวลาวิกฤต ดังนั้น พวกเขาจึงจะทำการผ่าตัดอิเลน่ากันเอง
  • เอลเลียตวัย 60 ตัดสินใจจะมาทำการผ่าตัดอิเลน่าในวัย 30 แทน เขาต้องรีบก่อนที่ยาจะหมดฤทธิ์ โดยมีเอลเลียตในวัย 30 คอยเป็นผู้ช่วย
  • เอลเลียตในวัย 60 กลับไปสู่ยุคปัจจุบันแล้วเขาก็รีบไปค้นข่าวเก่า และแล้วก็พบว่าข่าวนั้นไม่มี อิเลน่ารอดตายแล้ว และเขาก็ได้แต่หวังว่าเอลเลียตในวัย 30 จะทำตามสัญญานั่นคือใช้ชีวิตให้เหมือนกับเขา เพราะหากเขาไม่ดำเนินตาม เอลเอียตก็จะไม่เจอผุ้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกสาวเขา
  • แต่มีเรื่องหนึ่งที่เอลเลียตในวัย 60 ต้องรู้ นั่นคือ แมตต์ เพื่อนรักที่สุดของเขาก็ถูกเอลเลียตในวัย 30 บอกเลิกคบไป ทำให้แมตต์ในวัย 60 ไม่มีสัมพันธ์อันใดกับเอลเลียตอีกต่อไป (แม้ว่าก่อนจะมีการย้อนเวลา พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันมานานแล้ว)
  • เอลเลียตวัย 30 ใช้ชีวิตโดยละทิ้งอิเลน่า และแมตต์ เขาใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ พอเมื่ออายุ 35 ก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งในระหว่างไปอิตาลี ผู้หญิงคนนั้นคลอดลูกสาวออกมาและนำมามอบให้เอลเลียต (โดยที่เขาเพิ่งรูว่านางท้อง) เอลเลียตดูแลลูกสาวคนนี้ยิ่งชีพ จนเธอเติบโตเป็นนักเรียนแพทย์เช่นเดียวกัน
  • เอลเลียตในวัย 60 ไม่ได้กลับมาในอดีตอีกเลยหลังจากใช้ยาไป 9 เม็ด เขาเสียชีวิตลงจากโรคร้ายของเขา และในงานฝังศพของเขา เขาก็ได้ฝากของบางอย่างให้กับแมตต์ไว้เพื่อเตือนใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมด แมตต์ค้นเจอไดอารี่ของเอลเลียต และรับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดจริงๆ ตั้งแต่เรื่องย้อนเวลา เรื่องรักษาอิเลน่า เรื่องที่ทำให้เขาและเอลเลียตต้องเลิกคบกัน และที่สำคัญ เขารู้ด้วยว่ามียาเหลืออีก 1 เม็ด
  • แมตต์ในวัย 60 เสียใจกับการจากไปของเอลเลียตมาก และยิ่งเมื่อเขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาจึงรีบไปบอกอิเลน่า ผู้ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อนรอดตัวจากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายจากสะพานโกลเด้นเกทและถูกช่วยชีวิตไว้โดยสองเอลเลียตคนละช่วงวัย หลังจากเอลเลียตบอกเลิกเธอ เธอก็ใช้เวลาพักฟื้น ฟื้นฟูร่างกายและเริ่มทำงานให้กับองค์กรกรีนพีซ เธอไม่รักใครอีกเลย บัดนี้เธอมีชีวิตเงียบๆอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง แมตต์ตรงไปหาอิเลน่าและเอาบันทึกให้เธออ่าน
  • เมื่อกลับมา แมตต์ตัดสินใจใช้ยาเม็ดสุดท้ายเพื่อกลับมาหาเอลเลียตในวัย 30 เขารู้ดีว่าเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยสิ่งที่เขากำลังจะทำก็เป็นเหมือนสิ่งที่เพื่อนอย่างเขาจะทำได้ นั่นคือ…(พีคมาก) การคีบบุหรี่ออกจากปากเอลเลียตในวัย 30 ปี
  • เมื่อแมตต์กลับมาถึงในวัย 60 เช่นเดิม เขายังเห็นว่าเอลเลียตไม่ได้ฟื้นขึ้นมา เขาก็ร่ำไห้เสียใจ การที่เขาแสดงท่าทีว่าไม่อยากให้เอลเลียตสูบบุหรี่ต่อก็เพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งปอดนั่นเอง ด้านหลังแมตต์ อิเลน่าในวัยเกือบ 60 ปีปรากฏตัวขึ้นมา เธออ่านไดอารี่และรับรู้หมดทุกอย่างแล้ว เธอเองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
  • ในขณะที่แมตต์กำลังโทษตัวเองว่าช่วยเพื่อนในอดีตไม่สำเร็จ อิเลน่าก็มองไปยังทะเล (บ้านเอลเลียตอยู่ติดๆทะเล) อิเลน่าพลันมองเห็นร่างที่คุ้นตา ร่างของชายที่เธอรักมาทั้งชีวิตนั่งอยู่ตรงนั้น เอลเลียตรอเธออยู่ที่นั่น และเป็นการรอคอยที่พร้อมจะสิ้นสุดลงด้วยความสมหวังเสียที…


โอ๊ยแกรรรร ตอนจบนี่ฉันถึงกับร้องออกมาเลยก็เพราะมันพีคแบบงี้ไง

คือมุสโซเก่งมากที่ผูกเรื่องได้แบบนี้

และเรื่องราวมันน่าติดตามมาก ลุ้นไปตลอดจริงๆ

ลุ้นว่าตอนจบจะจบยังไง

พอจบจริงนี่ อื้อหือ เลย ชอบมากกกกก

บางทีความรักกว่าจะได้เข้าใจกันก็ใช้เวลาร่วม 30 ปี

นับถือใจอิเลน่าเลยจริงๆ

การรอคอยของพวกเขาสิ้นสุดลงพร้อมกับการเริ่มต้นใหม่

เป็นตอนจบที่อบอุ่นใจที่สุด

แม้จะไม่ได้สมหวังตอนหนุ่มสาว แต่กาลเวลาก็ไม่เคยพรากความรักไป

ขอเป็นคนสุดท้ายก็ยังดี…

=====================================================================

 46. มัคก้ามักแก่น – Olga Guðrún Árnadóttir

“มัคก้า สตีน่า เรารักนาง !!!!”

ระยะเวลาการอ่าน: 9 Oct 16 – 13 Oct 16

ฉันเริ่มอ่านมัคก้ามาตั้งแต่อายุประมาณมัคก้า

นั่นคือราวๆสัก 14 ปี ช่วงนั้นฉันยังอ่านหนังสือเก่งอยู่

ไม่น่าเชื่อว่าการกลับมาเจอกันอีกครั้งของฉันกับมัคก้าจะผ่านไปนานถึง 13 ปี

แต่ทำไมรู้ไหม คราวนี้ฉันชอบหล่อนมากกว่าที่เคยชอบซะอีก

มัคก้าทำให้ฉันนึกย้อนไปตอนที่อายุ 14 แล้วมาอ่าน

ตอนนั้นฉันเจออะไรคล้ายๆกันในโรงเรียน

ฉันมานั่งนึกดูว่าฉันจะคิดอย่างไรนะในตอนนั้น

แต่ตอนนี้ที่กลับมาอ่านอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในวัยของคุณครูของมัคก้าแล้วล่ะ 555

มัคก้าเล่าเรื่องสนุก อารมณ์เหมือนนั่งอ่านไดอารี่ของเธอ

ซึ่งฉันก็ชอบเขียนไดอารี่มากด้วยเช่นกัน นี่อาจจะทำให้ฉันกับเธอจูนกันได้

มัคก้าเป็นเด็กสาวฉลาด ไหวพริบดี จิกกัดสิ่งรอบตัวได้น่าเอ็นดู

เธอมีเพื่อนสนิทชื่อโวลก้า แต่เพื่อนกำลังจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

เธอชอบเด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่เขากลับไปชอบดาวโรงเรียน

ดาวโรงเรียนที่เธอเกลียดนักหนากลับกลายมาเป็นเพื่อนซี้เธอซะนี่

เด็กหนุ่มที่เธอบอกว่าเขาไม่หล่อ สุดท้ายเขาจะพิชิตใจเธอได้ยังไง

การก่อสงครามประสาทระหว่างเธอและบรรดาครูใจร้ายจะจบลงยังไง

แถมยังมีเรื่องที่เธอชอบเขียนจนได้มาแ่งเพลงให้วงดนตรีของเพื่อนเธอ

ไหนจะมีดราม่าครอบครัวทั้งของตัวเองและของเพื่อนอีก

โอ๊ย สารพัดที่วัยรุ่นอย่างมัคก้าจะจัดการได้เนอะ

แต่ในที่สุด เธอก็จะจัดการมันได้ในแบบของเธอ

อยากให้ลองมาอ่านดูวิธีการของเธอ

นี่เป็นเหตุผลที่ฉันรักมัคก้า เพราะนางเหมือนกับฉัน

ในไดอารี่จะเต็มไปด้วยการระบายอัดอั้นและพร่ำพรรณาวันแย่ๆที่เกิดขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เผยให้เห็นหัวใจของตัวเองได้ง่ายขึ้นด้วย

มัคก้าทำให้ฉันรำลึกถึงช่วงวัยที่อารมณ์หัวเลี้ยวหัวต่อของฉันในตอนนั้น

มันสนุกนะกับการได้เป็นวัยรุ่นขี้เหวี่ยงแบบนั้น

เวลาโตขึ้นมาแล้วย้อนนึกถึงตัวเองแล้วมันก็อดขำไม่ได้

เห็นไหมล่ะ ฉันบอกเป็นล้านๆครั้งแล้วว่า

หนังสือเก่ามันไม่เก่าในความรู้สึกเลย

เราจะได้อะไรดีๆกลับมาเมื่อเราอยู่ในวัยที่ต่างกันจากการอ่านหนังสือเล่มเก่า

You will feel nostalgic because this book shows your images in a way similar to how you were when you’re a bit younger and how you missed the person in the past.

ถือเป็นอีกเล่มที่ยกให้เป็น nostalgic book เลยก็ว่าได้

#Nostalgia จงเจริญ !

=====================================================================

47. ต้นไม้ ไข่ไก่ และหัวใจหกคะเมน – Wendelin Van Draanen

“รักแรกของหัวใจ คือพื้นฐานที่ดีสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปของคนๆหนึ่ง”

ระยะเวลาการอ่าน: 13 Oct 16 – 18 Oct 16

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันเล็งไว้มาตั้งนานแล้ว

ด้วยเรื่องของ plot ที่น่าสนใจที่พออ่านแล้วรู้สึกว่า ช่างเหมาะกับตัวเองเลย

เรื่องของสองเด็กชายหญิงนามว่า ไบรซ์ ลอสกี และ จูลี เบเกอร์

ทั้งสองคนอยู่บ้านตรงข้ามกันมาตั้งแต่เด็กๆ

จูลีตกหลุมรักไบรซ์ตั้งแต่แรกเห็น เพราะดวงตาของเขา

ส่วนไบรซ์นั้นสะพรึงกลัวจูลีตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน เพราะความเลอะเทอะของเธอ

ทั้งสองอยู่ห้องเดียวกัน ขึ้นรถเดียวกัน เจอกันมาตลอดช่วงวัยเด็ก

แน่นอนว่าจูลีหลงรักไบรซ์สุดหัวใจไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ยังเป็นเทพบุตรของเธอ

แต่ช่วงเวลาหลายปีที่ไบรซ์เจอจูลีมันกลับเหมือนหายนะสำหรับเขา

และเมื่อนับวันไบรซ์เห็นจูลีทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เขาก็เริ่มไม่อยากให้เธอมายุ่งกับเขา

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ซิคามอร์ที่จูลีรักกำลังจะถูกตัด เธอก็ปีนต้นไม้และไม่ยอมลงมาเพื่อประท้วง

ตอนที่ทำโครงงานวิทย์ จูลีรอดูการฟักไข่ 6 ใบน้อยๆเพื่อเป็นลุกเจี๊ยบ

และถัดมาเมื่อไก่เธอออกไข่ เธอก็เอามามอบให้ไบรซ์อย่างต่อเนื่องถึง 2 ปี

แต่ไบรซ์ เขาเป็นคนขลาดและเขลายิ่งนัก ไบรซ์ทิ้งไข่ที่ไก่ของจูลีฟักทุกครั้งที่จูลีเอามาให้

เขาทำแบบนี้มาเป็นเวลา 2 ปี … 2 ปีที่ไข่ถูกทิ้ง

หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป

จูลีเริ่มมองไบรซ์ในมุมที่ลึกกว่าดวงตาสีฟ้าของเขา

และไบรซ์กลับมองจูลีลึกกว่าเส้นผมฟูและใบหน้าเปื้อนๆ

กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็สายเกินไปแล้วสำหรับไบรซ์

……

เพิ่งอ่านจบเมื่อคืน

Quote ที่ชอบ ในเรื่องคิดว่าไม่มีแต่ในคำนำสำนักพิมพ์ มันช่างกระแทกใจ เลยขอยกมา

“เวลาที่เราหลงรักใครสักคน
บางทีมันช่างไร้เหตุผลที่เหมาะสม
อาจแค่เห็นหน้าแล้วตกหลุมรัก
เหมือนเวลาที่ไม่ชอบใครสักคน
อาจเพราะแค่รู้สึกไม่ถูกโฉลกขึ้นมาเฉยๆ…
ทั้งที่เราก็รู้กันอยู่ว่า คนที่เราไม่ชอบ
อาจเป็นคนที่ดีมากๆคนหนึ่ง
และคนที่เราตกหลุมรักอย่างจังก็อาจไม่ได้ดีเลิศกว่าใครในโลกนี้
บางทีชีวิตเราก็พลาดสิ่งที่ดีที่สุดหรือคนที่ดีที่สุดไป
เพียงเพราะความคิดแรกพบเหล่านี้เท่านั้นเอง”

=====================================================================

48. ความลับแห่งคฤหาสน์ริเวอร์ตัน – Kate Morton

“สงครามที่โหดร้าย สามารถนำพาให้หัวใจที่มั่นคงล่มสลายได้อย่างง่ายดาย”

ระยะเวลาการอ่าน: 18 Oct 16 – 23 Oct 16

เห็นความหนาของหนังสือแล้วยอมใจ 512 หน้า

คงใช้เวลาอ่านเป็นเดือน แต่…หาได้ใช้กับเล่มนี้ไม่

บรรยากาศในเรื่องจะคล้ายๆ ‘เด็กประหลาดในคฤหาสน์แอชตัน’

ผสมผสานกับซีรี่ส์ชื่อดังจากอังกฤษชื่อ ‘Downton Abbey’

รวมถึงนิยายรักของ Jane Austen อย่างเรื่อง Sense and Sensibility ด้วย

ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงชราวัย 99 ปีที่เคยเป็นอดีตคนรับใช้ของคฤหาสน์ริเวอร์ตัน

โดยหนังสือจะเล่าเรื่องเป็นสองช่วงสลับไปมา

ระหว่างเกรซวัยสาวที่ยังเป็นคนรับใช้ และเกรซวัยชราที่หวนคิดถึงอดีต

“แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลง บดบัง และกลืนกินความจริงบางอย่างที่ผ่านคล้อยให้หายไปจากการรับรู้ของเรา

แต่กาลเวลาก็มิอาจเปลี่ยนแปรความจริงนั้นได้ เฉกเช่นในช่วงชีวิตของมนุษย์

มีความรู้สึกบางอย่างที่กาลเวลามิอาจลบเลือน ยิ่งเก็บงำลึกเท่าไร

ความทรงจำก็จะยิ่งแจ่มชัดอยู่ในซอกมุมอันเร้นลึกนั้น

ไม่ว่าเราจะปฏิเสธการดำรงอยู่ของมันสักเพียงใดและแม้ว่าจะไม่มีใครอื่นล่วงรู้

แต่ความรู้สึกผิดแห่งอดีตและความลับแห่งวารวันไม่เคยเลือนหาย และบ่อยครั้งที่เพียงแค่สายลมพัดผ่าน

ความรู้สึกผิดก็พร้อมจะเปิดประตูให้ความลับเหล่านี้กรูออกมาอย่างเต็มใจ”

(ลอกมาจากคำนำผู้แปล)

=====================================================================

49. ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ – อนุสรณ์ ติปยานนท์

“ความรัก ความหวัง และการล่มสลายของหัวใจที่บอบช้ำ”

ระยะเวลาการอ่าน: 23 Oct 16 (เริ่มประมาณก่อนเที่ยง จบก่อนสี่โมงเย็น)

อย่าแปลกใจว่าทำไมอ่านเร็วนัก ด้วยความหนาเพียง 152 หน้า

จึงไม่น่าจะต้องใช้เวลานานนัก อีกอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนอ่านงานมุราคามิในบางมุม

p

“การคงอยู่ของคนที่เรารักนั้น มีค่าน้อยนิดเหลือเกินหากปราศจากการดำรงอยู่ของความทรงจำที่เรามีต่อเขาผู้นั้น”

(หน้า 122 )

ยย

“เขาจะรู้บ้างไหมว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การบอกสิ่งที่อยู่ในใจของเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะอายุเท่าไร เชื้อชาติใด อาชีพใด หรือเคยมีคนรักมากี่มากน้อย

มันเป็นความรู้สึกใหม่และใหญ่ทุกครั้งที่เราต้องเผชิญหน้า

มันเป็นประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความกลัว…”

(หน้า 70)

pp

“แม้คุณจะลับหายไปจากสายตาของผม

คุณจะไม่มีวันถูกลืม”

(หน้า 60)

และประโยคหลังปกที่สุดแสนกินใจ

“การที่เราทั้งสองจะได้เป็นคู่รักกันหรือไม่

ไม่มีความสำคัญใดเลย

เพราะผมได้พบกับคุณแล้วในชีวิตนี้

และนั่น เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล…”

=====================================================================

50. The Cats of Roxville Station – Jean Craighead George

“การดำรงชีวิตของบรรดาสัตว์ต่างๆที่น่าทึ่ง น่าเอาใจช่วยสุดหัวใจ”

ระยะเวลาการอ่าน: 26 Sep 16 – 23 Oct 16

รร

=====================================================================

51. ไม่รู้เลยว่ารัก – เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

“สละสลวยร้อยแก้ว เคลิ้มแคล้วพาใจอยู่ในกลอน”

ระยะเวลาการอ่าน: 24 Oct 16

ยย

=====================================================================

52. แก้วจอมแก่น – แว่นแก้ว

“วีรกรรมจอมแก่นในวัยเด็กผุดพรายขึ้นมาทุกครั้งที่ได้อ่านราวกับเจอเพื่อนเก่า”

ระยะเวลาการอ่าน: 24 Oct 16 (เกือบ 2 ชั่วโมง)

แก้วเป็นจุดเริ่มต้นแรกๆเลยที่ทำให้ฉันชอบอ่านหนังสือ

ถ้าจะเปรียบกับการเข้าโรงเรียน แก้วก็เป็นเหมือนเพื่อนคนแรกของฉัน

=====================================================================

53. แครี่ พิลบี้ – Caren Lissner

“ถนนสู่การค้นหาตัวตนย่อมเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่บางครั้งไอคิวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย”

ระยะเวลาการอ่าน: 24 Oct 16 – 25 Oct 16

จริงๆฉันไม่ได้อ่านเร็วขนาดนั้นหรอกกับความหนา 384 หน้าในวันเดียว

จริงๆก็เริ่มอ่านตีอะไรสักอย่างของเช้าตรู่วันที่ 24 แล้วก็อ่านมาเรื่อยๆ

สลับกับการอ่านเล่มอื่นอีก และเมื่อคืนที่ 24 ก็ยิงยาวถึงตีสาม

แล้วก็มาจบตอนสี่โมงกว่าๆของวันที่ 25 นี่เอง

แครี่เป็นคนตลก รักนางเลยเชียวแหละ

นางจะเหมือนส่วนผสมระหว่างมัคก้า สตีน่า จาก มัคก้ามักแก่น

เพียงแต่เป็นในเวอร์ชั่นเด็กที่จบฮาร์วาร์ดในวัยก่อน 19 และอยู่คนละซีกโลก

กับ โอลีฟ ตัวละครวัยรุ่นในหนังคอมเมดี้อเมริกันชื่อดังอย่าง Easy A

เรียกได้ว่านางมีอารมณ์ขันที่เหลือร้าย ตลกอย่างชาญฉลาด และพ่นปรัชญาราวกับเป็นมังกร

ชีวิตเหมือนจะดูยุ่งยากสำหรับนางที่นางรู้สึกเป็นปมด้อยว่าทำไมถึงเข้าสังคมได้ยากนัก

ก็จนเมื่อนางมาค้นพบว่า คนที่เราเคยคิด มันอาจไม่เหมือนที่เห็น

แต่กว่านางจะเข้าใจชีวิตในจุดที่นางเข้าใจได้นี่ก็ใช้เวลาไป 380 กว่าหน้าล่ะนะ

ไม่เบื่อนะที่อ่านเล่มนี้เพราะอ่านไปเหมือนนางบรรยายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา

แน่นอนฉันชอบมากเพราะนางเหมือนฉันในบางจุดแบบซับเซตเลยล่ะ

นางชอบนอน ชอบอ่านหนังสือ มีปัญหาเรื่องการออกเดท คู่เดทคนแรกก็บังคับนางในสิ่งที่นางไม่อยากทำ

แต่นั่นก็คือทำให้นางเเติบโต และเชื่อเถอะว่าถึงแม้มันจะเป็นการเติบโตที่เจ็บปวดทีเดียว

แต่ในบางครั้งนางก็จะสุดโต่งด้านปรัชญาจ๋าไปหน่อย (ช่วยไม่ได้นางจบปรัชญาจาก Harvard) แต่ก็พอรับได้

และบางครั้งนางก็ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันถ้าเป็นฉัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันสนุกและรู้สึกดีเหมือนมีคนที่มีความคิดเหมือนกัน

(แน่นอนว่าฉันไม่ได้ฉลาดเป็นกรดหรือจบมหาลัยก่อนอายุ 20 ก็ตาม)

ส่วนมากของเรื่อง นางก็จะเวิ่นเว้ออยู่คนเดียวไปกับไอเดียตัวเอง

ซึ่งไม่แปลกเพราะคนส่วนใหญ่ที่โสดก็เป็นกันทั้งนั้น

ยิ่งอยู่ในเมืองใหญ่ยิ่งรู้สึกตัวเล็กลง แต่เหงามากขึ้น

(ฉันเข้าใจดี มากกกกกกก)

แต่ฉันก็ชอบเวลานางไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง แม้จะมีผิดศีลธรมอยู่บ้าง

แต่ในท้ายที่สุด นางได้รู้บทเรียนทั้งหลายโดยที่ Harvard ไม่มีสอน

เมื่อมาดูจนจุดสุดท้ายแล้วก็นับได้ว่านางเก่งทีเดียวที่ยังแกร่งอยู่

แม้พายุความคิดจะโหมกระหน่ำจนหัวหมุนแต่นางก็จัดการได้

ปล. ฉันชอบไซ ว่าที่แฟนของนางจัง

ฉันดีใจที่หนังสือเรื่องนี้จะมีการทำเป็นภาพยนตร์เร็วๆนี้

และฉันก็พอใจการแคสต์ของพวกเขาด้วย

อ้อ ในเรื่องนี้ก็มีอะไรที่เกี่ยวโยงกับฉันแบบเล็กๆด้วยเหมือนกันนะ

ตอนที่ไซถามแครี่ว่า คุณรู้จัก ‘บุรุษแห่งลามันชา’

และเพลง ‘ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง’ ไหม

ฉันงี้อึ้งเลย อยากจะตอบกลับไปจริงๆว่า

‘เนี่ย ฉันก็กำลังอ่านอยู่พอดี และก็ชอบเพลงนั้นมากๆด้วย’

ซึ่งเป็นเรื่องจริง ฉันอ่านหลายเล่มในคราวเดียว

เอาล่ะ มาว่ากันด้วยประโยคที่ฉันชอบ จริงๆนางมีไว้เยอะเลย

แต่จดมาได้แค่ 2 อันก็พอ

“แม้ว่าจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม

แต่มนุษย์เราควรจะได้รู้สึกถึงการมีใครสักคนที่ลุ่มหลงในตัวเราอย่างมากมาย

กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเราก็กลายเป็นเรื่องน่าดึงดูดใจได้”

(หน้า 69)

และ

“เมื่อไหร่ที่คุณข้ามเส้นที่ขีดไว้ไปแล้ว มันง่ายเหลือเกินที่จะข้ามอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนกว่าจะไม่มีเส้นอะไรให้ข้ามอีกต่อไป”

(หน้า 145)

ปล.ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องอื่นของ สนพ.นี้

แต่มันทำให้ฉันหงุดหงิดเหลือเกินที่พบคำที่พิมพ์ผิดเยอะมาก

นี่อยากจะส่งเมล์ไปตำหนิเลยล่ะ

=====================================================================

54. ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส – Paul Gallico

“ความฝันที่สวยงามจะผลักดันให้เกิดความงดงามแด่ประสบการณ์ชีวิตเสมอ”

ระยะเวลาการอ่าน: 24 Oct 16 – 27 Oct 16

อ่านหนังสือเล่มนี้นี่ถ้าคลอด้วยเพลง La Vie En Rose ด้วยนะ ช่างเหมาะมากๆ

อ่านไปเรื่อยๆ เจอประโยคนี้นี่จัดว่าเด็ดเลย

“เวลาผู้หญิงเราไปรักเจ้าหนุ่มเข้าละก็ เราต้องบอกให้เขารู้ด้วย คิดว่าฉันหาผัวมาได้ยังไงกันล่ะหือ”

(หน้า 110)

=====================================================================

55. Yellow Cabby แท็กซี่นิวยอร์ก – Smartupid

“ครบทุกรส มีหมดในเล่มนี้ แท็กซี่ไทย ณ แดนศิวิไลซ์อเมริกา”

ระยะเวลาการอ่าน: 25 Oct 16 – 28 Oct 16

ppl

=====================================================================

56. แก้วจอมซน – แว่นแก้ว

“วีรกรรมจอมซนภาคต่อจากแก้วจอมแก่น”

ระยะเวลาการอ่าน: 28 Oct 16 – 29 Oct 16

;

p

=====================================================================

57. คนสวนรัตติกาล – Jonathan Auxier

“น่าขนลุกและสะพรึง หากเต็มไปด้วยกลิ่นอายโกธิคที่ชวนให้ติดตามแบบวางไม่ลง”

ระยะเวลาการอ่าน: 29 Oct 16 – 30 Oct 16

นี่คือการผสมผสานกันระหว่าง ‘Sleepy Hollow’, ‘อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย’,

‘เด็กประหลาดแห่งคฤหาสน์แอชตัน’ และรวมไปถึง ‘ความลับแห่งคฤหาสน์ริเวอร์ตัน’

โอ นี่มันช่างเหมือนเดจาวูซะเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง ‘เด็กประหลาดฯ’

ยังจำตัวละคร เลดี้คอนสแตนซ์ในเรื่องนั้นได้อยู่ไหม

หล่อนเป็นเลดี้คนงามภรรยาของลอร์ดแอชตันและยังเป็นผู้ว่าจ้างเพเนโลพี

ใช่ ในเรื่องนี้เจ้านายสาวที่มีบุคลิกราวเย็นชาแถมยังชื่อนายหญิงคอนสแตนซ์เหมือนกันก็มาปรากฏตัว

หล่อนว่าจ้าง (แบบไม่เต็มใจเช่นกัน) สองเด็กชายหญิงกำพร้า (เหมือนเพเนโลพี) มาทำงานในบ้านหลังใหญ่

เด็กสองคนนั้นชื่อมอลลี่ พี่สาววัย 14 และคิป เด็กชายวัย 11

คุณนายมีลูกชายหญิงชื่อ อลิสแตร์ และเพนนี (เพเนโลพีก็ชื่อเล่นว่าเพนนี)

ประโยคที่ชอบ จากนายหญิงคอนสแตนซ์

“ไม่ว่าฉันจะต้องการเหนี่ยวรั้งอดีตไว้มากขนาดไหน…

ฉันก็พบว่ามันคอยแต่จะหลุดมือไปตลอดเวลา”

(หน้า 151)

และอีกประโยคนึง จากคุณยายเฮสเทอร์

“ความปรารถนานี่มันตลกนะ เราไม่สามารถยึดเหนี่ยวมันไว้ในอุ้งมือ

แต่ถึงอย่างนั้นความปรารถนาแค่อย่างเดียวก็อาจทำให้โลกเปลี่ยนไปได้”

(หน้า 187)

 =====================================================================

58. Austria Sonata: Classic – คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

“เป็นความกวนทีนแบบพี่ต่อที่ไปเกรียนกันไกลถึงบ้านโมสาร์ต”

ระยะเวลาในการอ่าน: 30 Oct 16 – 2 Nov 16

ติดอกติดใจความกวนของพี่ต่อมาตั้งแต่ ‘เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ’

มาคราวนี้ เอาซี่ ขอตามพี่ต่อไปยังดินแดนแสนสวยอย่างออสเตรีย

แล้วพออ่านจบละจะรู้เลยว่า หยุดโลกสวยเถอะ เมิงตื่นเดี๋ยวเน้ ! 555

เพราะออสเตรียก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งที่ผู้คนก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป

บ้างดี บ้างแย่ บ้างกวนโอ๊ย บ้างน่าตบ อย่างที่พี่ต่อบอก…ไบโพลาร์

[[

=====================================================================

59. Small Things Matter – คัจฉกุล แก้วเกต

“ลายเส้นน่ารัก เหมาะแก่การหยิบมาอ่านในยามพักใจ”

ระยะเวลาในการอ่าน: 3 Nov 16

ใช้เวลาอ่านเพียง 40 นาทีก็จบแล้ว ไม่ใช่ว่าอ่านเก่งหรอก

แต่ใครๆก็อ่านจบไวได้มั้ย เพราะมันเป็น Illustration Essay ไงล่ะ

มีคำคมเล็กๆประกอบตามภาพ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง

แต่เอาจริงๆนี่ไม่ใช่วิสัยฉันเลยที่จะซื้อหนังสือแนวนี้

แม้ว่าฉันจะชื่นชอบ Jimmy Liao ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเสียกะตังซื้อ แต่ไหงเป็นเล่มนี้

จริงๆไม่มีอะไรมาก ฉันเปิดผ่านๆแล้วเห็นว่ามันน่ารักดี หลายภาพก็น่าคิด

คำบรรยายบางอันก็ชวนอึ้งดี บางอันก็ตบเข่าฉาดพร้อมประโยคติดปากว่า ‘นี่มันฉันชัดๆ !’

เท่านั้นแหละ พอเห็นราคาถูกด้วยก็เลยเก็บสะสมซะเลย

แต่ประเด็นคือตอนแรกคิดว่าจะไม่เอามารวมเป็นเล่มที่ 59 แต่คิดไปคิดมา

นี่มันก็เป็นหนังสือเล่มนึงที่มีเนื้อหาดีที่ให้ข้อคิด และให้ความเพลิดเพลิน

มันก็ควรจะได้บันทึกไว้เป็นหนึ่งในเล่มที่ได้อ่านปีนี้

ส่วนตัวแล้วฉันชอบหน้าปกที่มีรูปหนังสือที่มีบรรดาเนื้อหาออกมาโลดแล่นด้านนอก

นี่แหละฉันคิดว่ามันคือจินตนาการที่เคลื่อนไหวได้ของจริง

คนวาดน่าจะเป็นคนรักหนังสือคนหนึ่ง และเข้าใจความรู้สึกเวลาได้ละเลียดชิมความคิดของผู้แต่ง

จนเขาวาดภาพในหน้าๆหนึ่งแล้วเขียนรายละเอียดว่า

“หนังสือหนึ่งเล่ม อาจประกอบไปด้วย

ความฝันและความรักของผู้เขียน

และเศษส่วนหนึ่งของหัวใจผู้อ่าน”

(หน้า 24)

[

=====================================================================

60. ขอเป็นลมหายใจสุดท้ายให้เธอ – Elizabeth Berg

“แม้แต่ความตายก็ไม่อาจบดบังความงดงามของรักแรกที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้”

ระยะเวลาในการอ่าน: 4 Nov 16 – 6 Nov 16


=====================================================================

61. คาราวานนางฟ้า – Beatrix Potter

“”

ระยะเวลาในการอ่าน: 25 Oct 16 – 6 Nov 16



 p

=====================================================================

62. คอรัลไลน์ – Neil Gaiman

“ความหลอน นำพาความกล้าหาญ”

ระยะเวลาในการอ่าน: 8 Nov 16 – 9 Nov 16

l

=====================================================================

63. เฮย์-ออน-ไวย / เมือง / รัก / หนังสือ – Paul Collins

“คนเราไม่ได้เหมาะกับหนังสือทุกประเภท เช่นเดียวกับตัวฉันที่ไม่เหมาะกับหนังสือเล่มนี้”

ระยะเวลาในการอ่าน: 6 Nov 16 – 12 Nov 16


p

=====================================================================

64. เมืองกระดาษ – John Green

“ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ โอ้ มาร์โก !”

ระยะเวลาในการอ่าน: 12 Nov 16 – 18 Nov 16

ก่อนหน้านี้ฉันเคยสับสนระหว่าง John Green และ Neil Gaiman

ซึ่งเป็นนักเขียนแห่งยุค (นี้) กันทั้งคู่ บางครั้งฉันสับสนผลงานพวกเขา เช่น จำสลับกัน

แต่แล้วในปีนี้ฉันก็ได้มีโอกาสอ่านงานของทั้งคู่เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนกันอีกต่อไป

และหลังจากที่ได้อ่านจนพอกระจ่างแล้วฉันก็สรุปได้ว่า

ฉันชอบผลงานของ John Green น้อยกว่าของ Neil Gaiman

ฉันคงจะมาสายดาร์ก หลอนสาสอย่างแท้จริง

แต่จะบอกให้นะว่าฉันก็หลงรักงานเล่มนี้ของ Green เหมือนกัน

ฉันหลงรัก plot หลงรักตัวละคร หลงรักสิ่งหลายอย่างที่สอนเราจริงๆ

แต่ถ้าทั้งเรื่องมีแค่มาร์โก รอธ สปีเกลแมน และ เควนติน เจคอบเซนแล้วล่ะก็

ฉันคงขอบายอย่างแน่นอน

โชคดีของพวกเรานักอ่านที่มีตัวละครอื่น เช่น เบ็น เรดาร์ เลซีย์

ซึ่งต้องยอมรับว่าเจ้าพวกนี้คือคณะความบ้าดีเดือดกันแท้ๆเชียว

เควนตินโชคดีนักที่มีพวกเขา

ส่วนมาร์โก

=====================================================================

65. โคะโสะอาโดะ ป่านี้นั้นโน้นไหน ตอน ความลับของแม่มดราตรี – Okada Jun

“เสียดายที่รู้จักกันช้าไป เกือบพลาดความน่ารักชวนอบอุ่นใจแบบนี้ไปซะแล้ว”

ระยะเวลาการอ่าน: 18 Nov 16 – 19 Nov 16

อ่านจบเมื่อเวลาเที่ยงคืนกับอีกไม่ถึงสิบนาทีของวันที่ 19 ด้วยซ้ำไป

ช่วยไม่ได้ ตอนแรกที่เจอในห้องสมุดของที่ทำงานก็กะจะไม่เอากลับมาอ่านแล้ว แต่

=====================================================================

66. 13 บันทึกลับหัวใจสลาย – Jay Asher

“บาดลึก ร้าวราน แท้ที่จริงหัวใจเราก็บางเบายิ่งกว่าสายลมและพร้อมจะปลิดปลิวได้ทุกเมื่อ”

ระยะเวลาการอ่าน: 19 Nov 16 (เริ่มอ่านหลังเล่มที่ 65 จบ ก็เที่ยงคืนนิดๆ จบตอนเย็นวันนั้นแหละ)

Plot เรื่องมันผูกมัดฉันไว้ให้จ่ายเงินซื้ออย่างจำยอม

ในใจก็คิดอยู่ว่าจะต้องอยู่ในอารมณ์ไหนถึงจะหยิบออกมาอ่านได้

และแล้วอารมณ์นั้นก็มาถึง อารมณ์ที่ฉันมืดแปดด้าน อารมณ์ที่ต้องการที่พึ่งบางอย่าง

และทุกครั้ง การอ่านก็ทำให้เกิดข้อคิด

.

เมื่อคืนที่ฉันหยิบเล่มนี้มาอ่าน ไม่ได้ตั้งใจเลยว่าจะติดใจขนาดนี้

ขนาดไหนน่ะหรือ ก็ขนาดที่ว่าอ่านยันตีสามแล้วหลับแล้วตื่นมาก็อ่านต่อน่ะสิ

เอาจริงๆฉันก็หยุดไม่ได้เหมือนเคลย์ เจนเซน ตัวเอกในเรื่อง

ที่ได้รับเทปทั้ง 7 ม้วนของฮันนาห์ เบเกอร์ ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายไปแล้ว

เทปนี้ฮันนาห์ได้อัดไว้เพื่อบอกความนัย (และความจริง) ให้กับบุคคลทั้ง 12 คน

ผู้ซึ่งเข้ามามีส่วนในชีวิตของเธอ และเผลอๆก็นำไปสู่การคิดสั้นของเธอด้วย

เอาล่ะ อ่านจบแล้วก็คันไม้คันมืออยากสปอยล์เหลือเกิน

ณ จุดนี้ไปจะสปอยล์แล้วนะ

เตือนแล้วนะ

จะเริ่มละนะ

.

.

.

ฮันนาห์กล่าวไว้ว่า

เมื่อเธอยุ่งกับช่วงชีวิตหนึ่งของคนอื่น เธอกำลังยุ่งกับทั้งชีวิตของคนคนนั้น

(หน้า 214)

ใช่ แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เธอว่า

จริงๆเธอก็ใจกล้านะที่จะเอาเทปให้คนพวกนั้นฟังแล้วให้พวกเขาส่งต่อ

แต่ถ้ามีใครไม่ส่งต่อก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีชุดสำรองไว้อีกแหน่ะ

สำหรับเทป 7 ม้วน มีทั้งหมด 2 หน้า A และ B ยกเว้นม้วนสุดท้ายไม่มีหน้า B

(แต่มีเซอร์ไพรซ์อย่างอื่น)

ฉันจะชำแหละให้อ่านดังนี้

  • ม้วน 1 หน้า A: เธอกล่าวถึง ‘จัสติน โฟลีย์’ ผู้เป็นจูบแรกของเธอ จริงๆเธอกับเขาควรไปได้ดีถ้าไม่ติดที่ว่าเขาเอาเธอไปโม้ว่าทำอะไรมากกว่าแค่จูบ ตำแหน่งที่เธอกำหนดคือ C-4 ณ สวนสาธารณะไอเซนฮาวร์
  • ม้วน 1 หน้า B: เขาคือ ‘อเล็กซ์ สแตนดอลล์’พวกเขาเคยสนิทกันเพราะเป็นเด็กใหม่เหมือนๆกัน เคยนั่งสนทนากันเป็นกลุ่มด้วยกัน (จริงๆมีสามคน อีกคนเดี๋ยวจะมาตอนต่อไป) แต่เจ้านี่มันดันชั่วไปทำโพลงี่เง่าว่าด้วยเรื่อง ใครเปรี้ยง / ใครแป้ก และให้ฮันนาห์อยู่ในตำแหน่งสาวก้นสวยที่สุดในชั้นม.3 จนเธอโดนไอ้บ้าคนหนึ่งจับก้นที่ร้านๆหนึ่ง ตำแหน่งที่กำหนดคือร้านนั้นล่ะ B-3 ณ ร้านบลูสปอตลิเกอร์
  • ม้วน 2 หน้า A: เธอกล่าวถึง ‘เจสซิกา เดวิส’ เด็กใหม่อีกคนที่เคยสนิทกับเธอ แต่พอหล่อนไปอยู่ในรายชื่อในโพลงี่เง่าของอเล็กซ์ นางก็เริ่มสติแตกและตบหน้าฮันนาห์ และด้วยความที่หล่อนแอบชอบอีตาอเล็กซ์ ก็เลยยิ่งบานปลายใหญ่ ตำแหน่งที่กำหนดคือ E-7 ณ ร้านโมเนต์ส การ์เดนส์คาเฟ & คอฟฟีเฮาส์ ซึ่งเป็นร้านที่ในอดีต พวกเขาสามคนเคยมานั่งสนทนาด้วยสัมพันธ์อันดีต่อกัน
  • ม้วน 2 หน้า B: ‘ไทเลอร์ ดาวน์’ หนุ่มนักถ้ำมองช่างกล้องประจำโรงเรียน เพราะฮีตามแอบถ่ายเธอตอนอยู่บ้านจนเธอหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย นี่มันเข้าข่ายคุกคามอย่างแท้จริงเลยนะ เลวได้อีก ตำแหน่งที่กำหนดคือ A-4 ณ บ้านของไทเลอร์ ฮันนาห์อัดเทปตอนเธอไปแอบถ้ำมองบ้านตานี่บ้าง แสบใช่ย่อยเวลาไทเลอร์ฟังเทป เขาจะได้รู้ไงว่าเธอรู้สึกยังไง เผลอๆก็หลอนว่าเธอมายืนอยู่นอกหน้าต่างนั้น
  • ม้วน 3 หน้า A: ‘คอร์ตนีย์ คริมเซน’ นางงามแสนดีของโรงเรียน จากคดีตาไทเลอร์แอบถ่าย ฮันนาห์ได้บอกใครสักคนเรื่องนี้ (เหมือนระบาย) แต่เสียดายบอกผิดคนไปหน่อยมาบอกนังนี่ แม่คนนี้ก็เลยจัดฉากที่ห้องนอนฮันนาห์ในขณะที่หล่อนอยู่ด้วย และทั้งสองก็ทำเรื่องราวชวนสยิวกิ้วให้คนคิดไปต่างๆนานาจากรูปถ่ายและคำพูด แน่นอนว่ายัยนี่ก็ต้องการให้ระดับความฮอตของนางพุ่งปรี๊ดปรอทแตก นางจึงหาทางใช้ฮันนาห์เป็นเหยื่อสร้างสะพานตะกายดาวให้ตนเองตำแหน่งที่กำหนดคือ D-4 ณ บ้านของคอร์ตนีย์ นางให้ฮันนาห์มารับไปปาร์ตี้โดยที่จริงนางก็มีปัญญาไปเองได้ (จริงๆฮันนาห์ก็รู้ แต่เธอก็เล่นตามเกม ข้อนี้แหละช่างน่าขัดใจนัก)
  • ม้วน 3 หน้า B: ‘มาร์คัส คูลีย์’ คนชอบฉวยโอกาส เขามาอ่อยเธอ ตะล่อมเธอให้ตายใจไปออกเดทด้วย และแถมยังมาช้า ไม่พอ ยังจะมาลวนลามเธอใต้โต๊ะอีก ตำแหน่งที่กำหนดคือ E-5 ณ ร้านโรซี่สไดเนอร์
  • ม้วน 4 หน้า A: ‘แซค เดมป์ซีย์’ เจ้าหนุ่มผู้แสนดีแต่เจ้าคิดเจ้าแค้น เขาถูกฮันนาห์หักหน้าที่ร้านโรซี่หลังจากมาร์คัสทิ้งเธอไป พอช่วงต่อๆมา เขาก็แอบเอาข้อความที่นักเรียนส่งให้กำลังใจกันของเธอไปทิ้ง เธอไม่มีทางได้อ่านข้อความที่เพื่อนส่งถึงเธออีกเลย ไม่เห็นกล่าวถึงตำแหน่งใดๆในหน้านี้
  • ม้วน 4 หน้า B: ‘ไรอัน เชฟเวอร์’ บรรณาธิการหนังสือของโรงเรียน เขาขโมยบทกวีที่ฮันนาห์แต่งเอาไปลงในหนังสือของโรงเรียนเพื่อให้คนอื่นวิจารณ์ตำแหน่งที่กำหนดคือ D-7 ณ ห้องนันทนาการประจำชุมชนที่ห้องสมุดสาธารณะ ที่ซึ่งเธอและไรอันเคยมาเจอกันเพื่อร่วมในคลาสบทกวี
  • ม้วน 5 หน้า A: ในที่สุดก็ถึงตาเขา ‘เคลย์ เจนเซน’ ชายหนุ่มที่ฮันนาห์ยังบอกเองว่าเขาแสนดีและไม่สมควรมีชื่ออยู่ในเทป แต่ดูแล้วเธอน่าจะอยากให้เขารู้สาเหตุที่เธอตัดสินใจทำลงไป พวกเขาชอบพอกันลึกๆ แต่ความที่ปากหนักและใจที่ก่อกำแพง ทำให้พวกเขาเริ่มเข้าไม่ถึงกันไปทุกทีๆ เคลย์พยายามจะช่วนฮันนาห์ แต่เธอเกินเยียวยาไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะจูบกันด้วยความพึงพอใจและสติครบทั้งคู่ แต่ท้ายที่สุดความกลัวในอดีตที่ตามมาหลอกหลอนเธอก็ผลักไสเขาไป มันทำให้เขาเจ็บปวดว่าทำไมถึงไม่ให้เขาช่วยเธอ ความจริงใจของเขาเยียวยาเธอได้ แต่เธอเองนั่นแหละ ที่เป็นคนผลักไสมันออกไป บอกเลยว่าจุดๆนี้ คืออารมณ์พีคมาก สงสารเคลย์ ตำแหน่งที่กำหนดคือ C-6 ณ บ้านเลขที่ 5-12 ถนนคอตตอนวูด สถานที่ที่มีงานเลี้ยง และฮันนาห์ไปเพราะเคลย์คือเหตุผลเดียว และเป็นสถานที่ที่เคลย์ถูกทิ้งไว้ด้านหลังหลังจากฮันนาห์ผลักไสเขาไป
  • ม้วน 5 หน้า B: เธอกลับมาพูดถึง ‘จัสติน โฟลีย์’ อีกครั้ง เพราะเธอเห็นเขานัวเนียกับเจสซิกาที่กำลังเมาปลิ้นที่ปาร์ตี้นัน และจัสตินนี่แหละที่ปล่อยให้ ‘ไบรซ์ วอล์กเกอร์’ เข้ามาข่มขืนเจสซิกาตอนเมาหลับ ฮันนาห์อยู่ตรงนั้นด้วย ในตู้เสื้อผ้าที่เธอเข้าไปแอบ แน่นอนว่าเธอใจสลายไปหมดแล้ว และยิ่งกับภาพที่เห็นมันช่างโหดร้ายเกินรับไหว เธอรู้สึกผิดที่เธอมีส่วนให้เจสซิกาโดนข่มขืน (เธอไม่ได้เอ่ยชื่อเจสซิกาหรอกนะ แต่เคลย์เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน)
  • ม้วน 6 หน้า A: ‘เจนนี เคิร์ตซ์’ เชียร์ลีดเดอร์สาวผู้เคยยุเธอลองคุยกับมาร์คัส ในคราวนี้หลังฮันนาห์พบกับเหตุการณ์แบบที่ว่า เจนนีซึ่งอยู่ในงานนั่นก็อาสาขับรถไปส่งเธอ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุ เธอชนป้ายหยุดบนถนน ฮันนาห์ไม่โอเค เธอบอกให้เจนนีโทรบอกตำรวจ นางไม่ยอมเลยไล่ฮันนาห์ลงรถไป ฮันนาห์ไม่ได้ทำอะไรต่อตอนนั้น แต่เธอและเคลย์รู้เหตุการณ์ต่อจากนั้น นั่นคือมีชายชราคนหนึ่งขับรถประสานงากับรุ่นพี่ม.6 คนหนึ่งจนรุ่นพี่เสียชีวิต เหตุเพราะมาจากป้ายหยุดที่ยัยเจนนีชนแล้วหนี ทำให้ชายชราไม่เห็นเลยไม่หยุดรถที่สวนมาของรุ่นพี่คนนั้น ฮันนาห์รู้สึกผิดเพราะเธอบอกเองว่าเธอมีส่วนหยุดไม่ให้มันเกิดได้แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เป็นอีกครั้งที่เธอไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
  • ม้วน 6 หน้า B: ‘ไบรซ์ วอล์กเกอร์’ ชายโฉดคนชั่วของแท้โผล่มาตรงนี้ เจ้านี่แหละเป็นคนที่จับก้นเธอที่ร้านบลูสปอตลิเกอร์ แล้วมาครั้งนี้มันก็กระทำชำเราเธอขณะที่พวกเขานอนแช่ในน้ำร้อน คือที่บ้านยัยคอร์ตนีย์จัดปาร์ตี้ขึ้น ฮันนาห์ก็บ้าจี้มาหาหล่อน (ตอนนั้นเธอตั้งใจจะจากไปแล้วจริงๆ เหมือนมาเพื่อปลดปล่อยครั้งสุดท้าย) นางคอร์ตนีย์กำลังแช่อ่างน้ำร้อนกับไบรซ์ในสภาพเหลือแค่ชั้นใน พวกเขาชวนฮันนาห์ แล้วเธอก็ตกลง สักพักคอร์ตนีย์ออกไป เหลือไว้เพียงชายหื่นกับสาวใจสลาย แน่นอนว่าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ และมันทำให้ฮันนาห์บอกเลยว่า ‘ฉันจบแล้ว’ ใช่ เธอเตรียมจะจบชีวิตตัวเองแล้วจริงๆ ตำแหน่งที่กำหนดคือ D-4 ณ บ้านยัยคอร์ตนีย์อีกครั้ง
  • ม้วน 7 หน้า A: ‘คุณครูพอร์เตอร์’ ครูหนุ่มวิชาแนะแนวและเป็นที่ปรึกษา ฮันนาห์มาพบเขาในวันสุดท้ายก่อนจะฆ่าตัวตาย เธอมาเพื่อปรึกษาครูเพื่อให้ครูรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรและห้ามเธอซะ แต่ดูเหมือนครูก็ให้คำตอบเธอแบบที่เธอต้องการไม่ได้ เธอจึงจบการสนทนากับครูแล้วเดินออกไป เพื่อจากไปตลอดกาล…
  • ม้วน 7 หน้า B: ………


สรุปก็มี 12 คน กับเทป 13 หน้า ตามชื่อเรื่อง

เอาล่ะ มาวิเคราะห์กันนะ

ตอนที่อ่านไปฉันรู้สึกไหลลื่นไปกับเนื้อเรื่องเลย

เคลย์เป็นตัวดำเนินเรื่องคอยเล่าให้เราฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮันนาห์และเธอพูดอะไรบ้าง

ตัวของฮันนาห์ เธอมีความเปราะบางเหมือนวัยรุ่นทั่วไป

ทุกคนก็ต้องเริ่มจากความเปราะบางก่อนจะเข้มแข็ง

เพียงแต่ฮันนาห์เธอหาจุดที่ทำให้ตัวเองเข้มแข็งไม่เจอ

เธอจะเหมือนตัวละครในหนังเรื่องหนึ่ง

‘โอลีฟ เพนเดอร์กาสต์’ ใน Easy A

(ครั้งล่าสุดที่ฉันยกนางมาก็ตอนที่วิเคราะห์ ‘แครี่ พิลบี้’)

โอลีฟและฮันนาห์อยู่ในวัยมัธยมเหมือนกัน

เพียงแต่พวกเธอมีวิธีรับมือกับความงี่เง่าของสังคมได้ต่างกัน

ในขณะที่ฮันนาห์เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆจากผลกระทบที่มาเป็นลูกโซ่

โอลีฟกลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอันดีที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า

‘เมื่อทุกคนเห็นว่าฉันเป็นนังสกั๊งค์โสโครก ได้เลย! ฉันจะเป็นนังสกั๊งค์ที่โสโครกที่สุดให้ดู !’

แล้วนางก็ปังเว่อร์ เก๋กู้ดไปเลย แต่แค่ภายนอกเท่านั้นนะ

ภายในนางยังมีเสน่ห์และเป็นตัวของตัวเองแบบน่ารักๆอยู่

เห็นไหมว่าจริงถ้าฮันนาห์ใช้วิธีโอลีฟ เธอจะไม่ต้องทำแบบนั้นเลย

จะไปแคร์ใครมากทำไม ในเมื่อคนที่รู้ดีที่สุดคือตัวเราเอง

เข้าใจนะว่าฮันนาห์เจอเรื่องอะไรมาเยอะ แต่เมื่อเธอมีโอกาส

โอกาสที่เธอได้รับจากเคลย์ ทำไมเธอถึงไม่พยายามคว้าไว้ล่ะ

ฮันนาห์หวาดกลัวว่าอดีตจากผู้ชายที่เธอเคยเจอนั่น

จะทำให้เคลย์กลายเป็นแบบนั้นในตอนท้ายอีกคน

เธอเลยเลือกจะปฏิเสธ ทั้งที่จริงแล้วนี่คือจุดเปลี่ยน

อ้อ อีกคนที่ฉันนึกถึงคือ มาร์โก รอธ สปีเกลแมน จาก Paper Town

บางทีถ้าฮันนาห์ไม่คิดเยอะ เธอน่าจะเอาอย่างมาร์โกไปเลย

นั่นคือ การหนี หนีจากทุกอย่าง เพื่อไปทำอะไรนอกกรอบตามใจตัวเอง

เอาจริงๆนะ ตัวละครวัยรุ่นในหลายๆเรื่องนี่ช่างสุดโต่งไปคนละด้านกันเลยจริงๆ

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม

เมื่อฉันอ่านจบและกลับมาเรียบเรียงใหม่

ฉันกลับรู้สึกอึดอัดยังไงไม่รู้

ฉันว่าคนส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบเรื่องนี้คงเป็นเพราะเห็นว่า

การตอบสนอง การปรับตัวของพวกเขาต่างจากฮันนาห์

ฮันนาห์ไม่มองภาพรวมของชีวิต แต่โฟกัสที่บุคคลที่ทำไม่ดีกับเธอมากไป

เรียกง่ายๆว่า เธอไม่ปล่อยวาง

มันเลยทำให้เธออึดอัดและรอวันระเบิดอยู่วันยังค่ำ

แต่สำหรับฉัน ฉันไม่คิดว่าการอ่านเล่มนี้เป็นการเสียเวลา

แม้ว่าฉันจะติดงอมแงม เพราะอินกับเนื้อเรื่องและสนใจใน plot

แต่ฉันก็คิดว่ามันให้แง่คิดอะไรกับชีวิตได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่น เรายิ่งต้องทำความเข้าใจกับพวกเขา

ฉันไม่โทษฮันนาห์ที่มีความคิดแบบนั้นเพราะฉันก็เคยผ่านจุดนั้นมา

แน่นอนฉันเคยเป็นวัยรุ่น และเป็นวัยรุ่นที่ทำตัวมีปัญหาทางอารมณ์ซะด้วย

แต่พอเมื่อเราโตขึ้น เราจะเรียนรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร

เริ่มมองปัญหาห่างจากตัวบุคคล เน้นที่ภาพรวม

ปัญหาในวัยผู้ใหญ่ จริงๆมันหนักหนากว่าที่เราเจอในวัยรุ่นมากนัก

มันทรมานแสนสาหัสมากจริงๆ บอกเลยว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ง่ายเลย

บางครั้งฉันก็อยากจะย้อนเวลาให้ตอนนั้นฉันมีความคิดแบบตอนนี้

ฉันคงมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นนี่ล่ะคือสิ่งที่เราได้จากการอ่านความคิดของวัยรุ่นล่

=====================================================================

67. สวนเที่ยงคืน – Philippa Pearce

“มิตรภาพก่อเกิดได้แม้ในที่ที่เวลาจะไม่มีอีกต่อไป”

ระยะเวลาในการอ่าน: 18 Nov 16 – 21 Nov 16

เอาจริงๆนี่เป็นนิยายโรแมนซ์ฉบับเด็กเลยนะ 555+

ประมาณว่าผู้ชายข้ามเวลาไปเจอกับผู้หญิงในต่างยุคต่างสมัย

ทั้งสองเล่นด้วยกัน รักกัน แต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้

เพราะในปัจจุบัน

=====================================================================

68. ชาววังช่างเล่าเรื่อง (ผี) – จินต์ชญา

“เรียนรู้เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ไทยผ่านประสบการณ์น่าขนลุกจากชาววังตัวจริง”

ระยะเวลาในการอ่าน: 22 Nov 16 – 25 Nov 16

หูยยย นี่ไม่คิดเลยนะว่าคนกลัวผีเป็นที่สุดอย่างฉันจะกล้าอ่านอะไรแบบนี้

เดิมทีก็เห็นวางขายอยู่สักพักตามร้านหนังสือนะ แต่ไม่มีจิตคิดรักใดๆกับแนวนี้เลย ก็เลยไม่สน

แต่พอวันดีคืนดีดันได้มาอ่านเกริ่นนำเรื่องเท่านั้นแหละ

จึงต้องแจ้นไปดูตามร้านขายหนังสือ ก็ปรากฏว่าหมดไปแล้วบ้าง

ทีอย่างงี้ล่ะมาเสียใจ ตอนเขาอยู่ก็ไม่เห็นค่า !

นี่พูดถึงหนังสือนะ ^^

แต่โชคยังพอมีอยู่บ้างที่ไปเจอมาจนได้ แล้วก็ซื้อมาอ่านวันนั้นเลย

ที่บอกว่าเกริ่นเรื่องหนังสือไว้น่ะ ก็เขาบอกไว้ว่า

เป็นหนังสือที่รวมเรื่องเล่าของแม่ซึ่งเป็นชาววังมาก่อน

ชาววังท่านนี้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์มาร่วม 60 ปี

โหย ได้อ่านแค่นี้ก็ขนลุกเกรียวแล้ว แล้วยิ่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระองค์ท่านจะขนาดไหน

และพอได้อ่านจริงๆจังๆก็พบว่าไม่ผิดหวังเลย

ผู้เขียนซึ่งเป็นลูกสาวก็ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของคุณแม่ได้อย่างน่าอ่าน

คุณแม่ท่านเป็นคนมีสัมผัสที่หก เลยพบเจอเรื่องราวจากมิตรต่างภพบ่อยครั้ง

แต่เรื่องนั้นฉันเก็บไว้เป็นเรื่องรอง เพราะประเด็นหลักๆเลยก็คือ

ฉันอยากอ่านเกี่ยวกับในหลวงและพระราชินีของพวกเรา

เพราะเราชาวบ้านธรรมดาย่อมรู้เกี่ยวกับพระองค์ท่านต่างกัน

บางเรื่องก็ชวนให้ระลึกถึงคืนวันเก่าๆ

บางเรื่องนี่ก็ขำก๊ากเลยเหมือนกัน

บางเรื่องนี่ก็เหมือนกับมาเตือนความจำว่าตัวเองก็เคยอ่านเจอมาครั้งหนึ่ง

l

=====================================================================

69. Life is a Journey ชีวิตคือการเดินทาง – รวมนักเขียน

“9 การเดินทาง สรรสร้างแรงบันดาลใจให้อยากท่องโลกตาม”

ระยะเวลาการอ่าน: 23 Dec 16 – 26 Dec 16


=====================================================================

70. Trekking กับหญิงอ้วน – Muzer Dunn

“ขึ้นเขาสูงเท่าไร จะรู้จักรู้ใจตัวเองมากเท่านั้น”

ระยะเวลาการอ่าน: 26 Dec 16 – 27 Dec 16