เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เกือบจะเป็นบทความ--และเกือบจะลามเป็นเพ้อเจ้อ...imonkey7th
“ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร”
  • -1-

    "ไม่เป็นไรนะ" 

    ผมนั่งปลอบโยนให้กำลังใจติ๊กเธอหน้าแดงน้ำตาเอ่อ กัดฟันพยายามระงับอารมณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมมองหน้าเธอขมิบปากเป็นเส้นตรง สูดหายใจแรง ไม่รู้จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้อย่างไร 

    ความเย็นในห้องทำงานของผมมันทะลุเข้าไปถึงกระดูก ผมมองตัวเลขอุณภูมิที่ปรากฏ 25 องศาตามนโยบายบริษัท แต่ทำไม ถึงรู้สึกหนาวขนาดนี้

    การพรั่งพรูของลูกค้าที่ทะลักเข้ามาใช้บริการของร้านอาหารช่วงเทศกาลนั่นเป็นอะไรที่น่าฉงนสงสัยนัก ว่าก่อนหน้านี้กลุ่มมนุษย์เหล่านี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน อยู่ดี ๆ ถึงได้ผุดขึ้นมาจากบรรยากาศของโลก เหมือนราในขนมปังที่สร้างสีเขียวห้อมล้อมก้อนขนมอย่างไม่ทันรู้ตัว

    พวกเราพนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสิบกว่าชีวิต รองรับความต้องการของลูกค้ากว่าแปดร้อยชีวิต ความโกลาหลเกิดขึ้น ไม่มีเวลาให้เราอู้ ไม่มีเวลาให้เราคิด ไม่มีแม้กระทั่งเวลาหายใจ

    การเตรียมการเกิดขึ้นก่อนวันเทศกาลกว่าเดือน แตไม่มีอะไรแน่นอนเมื่อเรายืนอยู่บนความต้องการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ สิ่งที่เราทำได้ก็คงเพียงคาดการณ์ < Forecasting > และก็เหมือนการพยากรณ์ทั่ว ๆ ไปคือ

     ไม่มีทางถูกและกว่าจะรู้ว่าทำนายไม่ถูก 
    คุณก็ถูกโชคชะตาเล่นตลกเสียแล้ว

    -2-

    "รู้มั้ย พี่พาครอบครัวเดินทางมาไกล อุตส่าห์ตั้งใจมากินที่ร้านน้อง สิ่งที่พี่ได้คือการรอกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อที่น้องจะบอกว่าของหมดเหรอ แย่มาก ๆ พี่ว่าเรื่องนี้คงต้องถึงบริษัทน้องแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น" เสียงตะเบงจากสุภาพสตรีที่ตั้งใจมาอุดหนุนและเกื้อกูลเรา

    "ขออภัยค่ะ สินค้ายังไม่มาส่ง รถสินค้าติดแถวโคราช อาจจะเป็นช่วงเย็น ๆ ค่ะ" ติ๊กฉีกยิ้ม พยายามแจ้งเหตุผลด้วยกิริยาที่ของต้นข้าวที่รวงเต็มยอด โค้งต่ำกว่าการไหว้พ่อแม่ในวันกิจกรรมที่โรงเรียนเสียอีก สิ้นคำอธิบายจากเธอ ก็ถึงเวลาแห่งการลงทัณฑ์จากพระเจ้า ลูกค้าคือพระเจ้า?
     
    "แต่พระเจ้าที่หนูรู้มาคือ ผู้อ่อนโยน เข้าใจ และให้ความรักแก่มนุษย์ไม่ใช่เหรอ"ติ๊กเอ่ยกับผมในห้องเย็นเฉียบด้วยวาจาเหล็กแหลมที่พุ่งเข้าเสียบหัวใจ 

    ผมเงียบ เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น คนบางคน ของบางอย่างเกิดมา
    เพื่อกลายเป็นที่รองรับคนบางคนและของบางอย่าง 

    พนักงานร้านอาหารคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นล่างสุดของระบบห่วงโซ่อาหาร 
    ค่าแรงเท่ากับกฏหมายกำหนด 
    แต่สิ่งที่พวกเราต้องกระทำมันมากกว่าที่นายจ้างและลูกค้าต้องการ

    วลีที่เราถูกปลูกฝังตั้งแต่วันแรกที่ทำงานคือ 
    "จงให้บริการเกินความคาดหวังของลูกค้า"

    ทุกอย่างล้วน มีผลกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ เมื่อเราบริการดี ลูกค้ามาใช้บริการ ยอดขายเข้า การจ่ายเงินก็คล่องการขยายสาขาเกิด ตำแหน่งใหม่ ๆ ผุดขึ้นมา ความฝันของพวกเราก็ออกเดิน

    จากจุดเล็ก ๆ ของร้านอาหารระบบเครือข่ายสามารถผลักดันดอกไม้น้อยเติบโตเป็นต้นโพธิ์ต้นไทรได้ด้วยพื้นฐานของการให้บริการ 


    จากการทำงานบนพื้นฐานของแบรนด์ใหญ่ สร้างความคาดหวังสูงแด่ลูกค้า บรรยากาศที่สวยงาม โอบล้อมด้วยมาตรฐานอันสูงส่ง ความโหยหิวไร้ก้นบึ้งของเขาเหล่านั้น จึงยากที่จะสนองออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ 

    หลาย ๆ ครั้งที่เรางมเข็มในสมุทร และสิ่งที่เราค้นเจอคือมีดที่กรีดแทง
    พนักงานหน้าด่านอย่างพวกเราก้มหน้าก้มตา 
    ยิ้มด้วยน้ำตาที่เอ่อไหล กัดกร่อนหัวใจ

    ติ๊กร้องไห้อีกครั้ง ในวันเทศกาลแห่งความสุขของมวลประชา


    -3-

    ติ๊กออกจากห้องผมไป ขอเวลาสักพักเพื่อทำใจและจะกลับไปทำหน้าที่ของเธออีกครั้งมวลมหาประชากรหน้าเคาว์เตอร์ก็หลั่งไหลมาไม่ขาดช่วงตอน ผมออกมายืนดูภาพรวมของการทำงาน สั่งการความเคลื่อนไหวของน้อง ๆเพื่อให้การเคลื่อนไหลของงานเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
     
    ในใจครุ่นคิดเจ็บปวดกับสิ่งที่ติ๊กได้เผชิญ คำกล่าวว่าผรุสวาท ดูหมิ่น 

    สิ่งที่พวกเราทำนั้นไร้ศักดิ์ศรีเยี่ยงไร ทำไมการปะทะและเผชิญหน้าบางครั้งเกิดมาเพื่อแค่สนองอีโก้ของบางคน 

    ไม่สามารถรอได้ ไม่สามารถรับได้ ก็บอกแจ้งแถลงไขให้พวกเราปรับปรุง 

    หรือทุก ๆ อย่างพลาดได้ แต่ไม่ใช่กับพวกเรา พนักงานร้านอาหารฟาสฟู้ด...

     ติ๊กเดินออกมาจากการโทรศัพท์กลับบ้าน เติมแต่งหน้าตาด้วยเครื่องสำอางอย่างง่าย ๆ เดินผ่านผมไป เช็ดน้ำตาครั้งสุดท้าย หลับตาพร้อม ๆ กับสูดลมให้เต็มปอด ราวกับบิดม้วนผ้าหมาด เพื่อรีดเอามวนน้ำออกมาดูดดื่มเพิ่มพลัง

    เธอปล่อยลมหายใจ เดินเข้าไปหน้าเคาว์เตอร์ พร้อมรอยยิ้มจากหัวใจประดุจดังนางเอกละคร เมื่อต้องแสงไฟ รอยยิ้มที่สวย และสดใส เริ่มต้นอีกครั้ง

    The Show Must Go On > > > > >

    -4-

    "ขอบคุณมากนะครับ"

    ผมกล่าวขอบคุณลูกค้าแทนพนักงานที่กำลังทำความสะอาดในครัว 21.34 น. ตัวเลขแจ้งเวลาที่อยู่บนจอเครื่องคิดเงิน เราน่าจะได้ปิดการขายตั้งแต่ 21.00 น. เพื่อจัดการทุกอย่างแล้วเลิกงานกลับไปใช้ชีวิตตอน 22.00 น.

    แต่การบริการของเราจบลงไม่ตรงเวลานักหรอก เมื่อพระเจ้าเดินเข้ามา การก้มหน้าต้อนรับพร้อมรอยยิ้มก็พร้อมผลิขึ้นมาเสมอ 

    พนักงานด้านล่างเลืี่อนประตูร้านปิดลง ผมเดินถือเอกสารเข้าไปในห้องเพื่อตรวจสอบ และนับเงินเก็บเข้าเซฟ ตรวจนับสินค้าคงเหลือไม่ให้ขาดหรือเกิน 

    "เฮ้ย! นับของใหม่ทีมันไม่ตรง"ผมตะโกนแจ้งพ่อครัวตรวจสอบจำนวนสินค้าบางอย่างที่ไม่ครบ
    ไร้เสียงตอบกลับ

    "เฮ้ย! นับของใหม่ทีมันไม่ตรง ได้ยินมั้ยเนี่ย"

    ยังไร้เสียงตอบกลับ ส่องหน้าออกมาดูเห็นติ๊กล้างอุปกรณ์อยู่ สีหน้ายังมีเค้าโศกเศร้า ผมเดินออกมาจากห้องพนักงานกะปิดร้านต้องมี 5 คน แต่เหลือติ๊กคนเดียว 

    "พวกนั้นไปไหน แอบหนีไปไหนอีกละ ไหนว่ารีบกลับว่ะ" ผมจะเดินไปห้องเย็นเพื่อดูสิค้าเอง ติ๊กเหลียวมามองผมด้วยสายตาไร้อารมณ์ ผมไม่พูดอะไรเดินผ่านเธอไป

    ก่อนจะรู้ตัวอีกที ทั้งสี่คนที่หายไปก็มาอุ้มผมโยนลง ซิงค์ล้างจานที่มีน้ำผสมน้ำแข็งเต็มอ่าง ผมลูบหน้าในซิงค์ เปียกปอนไปกับการเล่นของพวกเขา ผมลืมสนใจการนับสินค้าสักัพก ก่อนประกาศเริ่มสงครามแห่งความสุข ยืนจังก้าบนอ่างน้ำ สาดส่ายหม้อตักน้ำระรานไปทั่ว

    ผมหัวเราะ ติ๊กหัวเราะน้องทั้งหมดหัวเราะ

    เราเก็บเศษเสี้ยวเวลาแห่งความสุขหลังภารกิจบริกร ช่วงเวลาห้าทุ่มกว่าเมื่อหมู่มวลลูกค้าได้อิ่มกับความอร่อยที่เรามอบให้ ก็เป็นเวลาที่จะลืมเสียง ก่น ด่า และคราบน้ำตาของพวกเราชนชั้นบริการ
     

    รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สำหรับพวกเรามีเก็บไว้ในการทำงาน
    เหลือไว้ให้กันและกันบ้างเมื่อยามอ่อนล้า

    คงไม่ต้องการบ่นบอกให้ลูกค้าเข้าใจพวกเราหรอก
    เพราะสีหน้าของความสุขที่ทุก ๆ ท่านมีเมื่อมาลิ้มรสอาหารของ
    พวกเราก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราอยากทำงานต่อไป 
    หากแต่เมื่อใดที่ได้รับรอยยิ้มและคำขอบคุณกลับมาบ้าง

    นั่นคือการผลิดอกของดอกไม้อันสวยงาม
    แห่งชนชั้นบริการอย่างพวกเรา 





    ----------------------------------------------------------------

    ระรึกช่วงเวลาอันแสนพิเศษที่เป็นตะกอนตกค้างจากห้วงเวลาที่รู้สึกว่า
    เแสนลำบากแด่ทุกคนที่จับมือกันผ่านช่วงเวลานั้น ด้วยกัน

    ลิง12.4.16
    07.35

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in