เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทราเวลนอวอรอรอตอพอลอ
โตเกียว Again #2 ตอน Lost in Translation
  • ล้อสุ อินนุ โทะลานสุเลชั่ง

    ถ้าคนที่นี่อ่านชื่อหนังเรื่องนี้ มันน่าจะออกมาประมาณนี้

    ไม่หรอก ผมไม่ได้เปิดห้องพักไปเจอก้นงอนกลมของสกาโจ ตรงกันข้าม นี่ผมยังไม่ได้เห็นห้องที่จะให้ผมซุกหัวนอนคืนนี้เลยด้วยซ้ำ

    แต่กระนั้น ผมกลับเข้าใจความรู้สึกของบิลล์เมอร์เรย์ในหนังอย่างชัดเจน

    แฟลชแบ็คแป๊บนึงนะ

    เครื่องบินดีเลย์  กว่าจะแตะพื้นสนามบินนาริตะก็ปาไปเก้าโมงเกือบครึ่งตอนเช้า ผมซึีงควักกล้องมาสะพายสายคล้องคอไว้ตั้งกะเมื่อคืนกะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ แต่สุดท้ายเหลว เพราะตอนจองตั๋วค่ายแบบเบิร์ดๆ ดันไปเลือกนั่งโซน quiet ก็นึกว่าเงียบเฉยๆ แต่กลายเป็นว่าหน้าต่างโซนนี้แกเคลือบฟิล์มหนาราวห้าร้อยกว่ามั้งครับ ตรงไหนแดดออกดอกแอกก็เถอะ โซนนี้หลับกันราวกับยังตีสี่

    เอาเป็นว่า กว่าจะได้ถ่ายนี่ถือแดดจ้ามากแล้ว ฟ้ามีเมฆเล็กน้อยทัศนวิสัยดีครับ



    พอลงเครื่อง เดินตามๆ เขามา แล้วจอดกรอกใบเข้าประเทศที่หน้าตอมอ มีมนุษย์ลุงกะมนุษ์ป้าไฟลท์เดียวกันมายืนเกาะโต๊ะ

    ลืมเล่า ลุงนี่ตอนเช็คอิน แกพยายามแซงคิวผมอย่างหน้าตาเฉย ประมาณลากกระเป๋าเฉียดสีข้างเราไปจ่อคนที่กำลังเช็คอินที่เคาน์เตอร์อยู่ ผมแอบคิด เฮ้ย ไรวะ แล้วปากก็บอกลุงว่า โทษครับ ผมเข้าคิวก่อน แกก็หันกลับมา อ้าวเหรอ ก็เอาสิ แกก็ไม่ได้ถอยอะไรนะ แต่พอฝรั่งคู่นั่นเสร็จกิจตรงเคาน์เตอร์เช็กอิน แกก็ปล่อยให้ผมแซงไปโดยละม่อม

    กลับมาที่นาริตะ ลุงกับป้าพร้อมป้าอีกคนนึงก็มายืนข้าง เห็นผมกรอกอย่างช่ำชองก็เลยถามว่า เอ่อนี่กรอกยังไงเนี่ย ผมก็เลยพยามอธิบาย ช่องนี้คือชื่อครับ ใส่นามสกุลก่อน บลาบลาบลา 

    บอกไปถึงครึ่งใบ แกคงไม่ชอบเวลาคนมาสอนจับปลา เลยสวนขึ้นมาว่า กรอกให้หน่อยสิ ป้าหมายเลขหนึ่งและป้าหมายเลขสองทำสีหน้าวิงวอน ลุงแกก็เสริมมาอีก ภาษาอังกฤษนี่เขียนไม่เป็นเลย

    แกคงไม่เห็นผมทำสีหน้าโอดครวญ ไม่ทันครับลุง ผมต้องรีบไปต่อรถไฟเนี่ยครับ

    ป้าหมายเลขสองเอ่ยปากบ้าง แล้วจะทำยังไงได้?

    ชาติที่แล้วผมคงทำบุญมาเยอะครับ เจ้าหน้าที่ตอมอของยี่ปุ่น (ที่คอยจัดคิว) เดินมาทางเรา แล้วก็พยายามจะบอกอะอาอิอีอุอู ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าลุงแกฟังออกมั้ย แต่ผมน่ะกรอกเสร็จแล้วเลยรีบจรลีไปเข้าเขาวงกต

    ผ่านตอมอมาอย่างง่ายดาย เครื่ิองแสกนลายนิ้วมือก็มีภาษาไทยนะ เริศมาก ลุงกับป้าๆ ถ้ารอดถึงนี่ได้ก็สบายแล้วครับ

    ส่วนผมรีบไปหาที่ขายตั๋วรถไฟ ก่อนมาดูสายไว้แล้ว น่าจะใช้เวลาเดินทางเกือบๆ สามชั่วโมง

    ความรีบ ความเหนื่อย ความนอนไม่พอ ไม่เป็นผลดีกับมนุษย์นะครับ คือเพื่อนๆเขาแนะนำว่าให้ซื้อตั๋วแบบโน้นแบบนี้นี่ลืมหมดครับ ทำไมน่ะเหรอ?

    ฉาก เคาน์เตอร์ตั๋วรถไฟสกายไลน์เนอร์

    น้อต: ไปสถานีมุซาชิเซกิครับ
    ป้า: อุโนะอุนิอุโนะอุนิบุละบุละบุละกูลูกีลี ฯลฯ

    กว่าจะจับความได้ คือมีรถกำลังจะออกในอีกสองนาทีนี้ หรือจะรออีกเที่ยว อีกยี่สิบกว่านาที 

    ต้องตัดสินใจในครึ่งนาทีสินะ เอาครับเอา

    ป้าแกก็ถามบุลาบุลาบุลามา เอาเป็นว่าผมลงท้ายด้วยการซื้อตั๋วนั่งชั้นพิเศษ (มั้ง) ก็รีบพาตัวมาขึ้นรถไฟได้ เดินมาตู้ที่ห้า ตั๋วบอกที่นั่งเราคือ 5 ริมหน้าต่าง 

    เดินเข้าท้ายตู้ อื้อ ห้องน้ำดูดีกว้างใหญ่ไพศาล (ซึ่งไม่ได้ใช้ หาแปรงสีฟันไม่เจอ โกเมนนาไซนะครับชาวนิฮ่อนโนะทั้งหลาย) รถว่างอื๋อ แถวเก้าว่าง แปดก็ว่าง เจ็ดก็ยังว่าง หกก็ว่าง

    แถวห้ามีฝรั่งนั่งอยู่หัวเหลืองเต็มทั้งสองเบาะคู่!!!???

    โทษครับ ตั๋วภาษาญี่ปุ่นนี่อ่านไม่ออกก็เข้าใจครับ แต่เลขเบาะนั่งนี่มันเป็นเลขอารบิคกับตัวภาษาอังกฤษเน่อ เชิญลุกได้ กรูจะนั่งตรงนี้

    พอหย่อนก้นนั่ง ก็เริ่มรื้อกระเป๋า หยิบมือถือ เปิดไวไฟพกพาที่เช่ามาจากดอนเมือง เขียนข้อความหาเจ้าของบ้านที่แบ่งให้เราเช่าผ่าน airbnb

    ดูจากแผนที่อากู๋ ประมาณสักสองชั่วโมงนิดๆ คงไปถึง เขียนบอกไปตามนั้นครับ 

    เจ้าบ้านเงียบ ไม่ตอบ คือชินแล้วว่าเฮียแกตอบช้า ก็เปิดเพลงฟัง ตาก็ดูทิวทัศน์งดงาม บ้านช่องริมทางรถไฟที่นี่เขาเป็นระเบียบสวยงามกันดี ชอบๆ

    ถึงสถานีนิปโปหริ ลงครับ ต่อรถไฟไปสายเจอาร์ยามาโนะเตะ ชิวๆ ชอบรถสายนี้ มีป้ายมีเสียงประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้กะเหรี่ยงอย่างเราเข้าใจได้บ้าง อากู๋แนะให้นั่งไปนิดเดียวแล้วไปต่อสายเซบู-ชินจือกึ เราก็เชื่องครับ เขาว่าไงก็เอาตามนั้น คือเหนื่อย อยากแปรงฟันอยากอาบน้ำเต็มที อากาศที่นี่ก็ไม่ได้หนาวอะไร แบกกระเป๋าหกกิโลสะพายบ่าเดินหารถไฟไม่ยาก แต่มันเริ่มเหนื่อย

    นั่งไปได้สักสองสถานีจากเจ็ดป้ายถ้าอากู๋ไม่หลอกเราและถ้าเราไม่ขึ้นขบวนผิด มีเสียงข้อความเข้า ท่านเจ้าบ้านนั่นเอง ไหนเปิดดูซิ

    "I am out. Will be back at 10pm"

    พระบิดาพระบุตรพระจิต!!!! นี่ทันเพิ่งสิบเอ็ดโมงเช้า! ครือมรึงไม่อ่านใช้มั้ยว่ากรูเครื่องลงเก้าโมงเช้า ไม่บอกกันก่อนวะ จะได้เปลี่ยนแผน

    คุณผู้อ่านครับ วันหลังกรุณาอย่าปล่อยให้ใครเข้าใจอะไรผิดๆ แล้วไปกระทืบความฝันของเขานะครับ ความฝันสลาย น้องหมวยที่นั่งข้างๆ เริ่มทำหน้าทนไม่ไหว ด้วยความสงสาร สมองทำงานอย่างรวดเร็ว

    ลงป้ายถัดไป! นั่งรถย้อนเข้าเมือง เอากระเป๋าหกโลไปฝากตู้หยอดเหรียญ แล้วชิวดีกว่า!

    นั่งย้อนกลับมาถึงสถานนีที่ต่อสายล่าสุด ทาคาดาโนะบาบะ (สาบานได้ นี่คือชื่อรึ? โคตรจะไม่ tourist friendly) หรูหรานะครับ สถานีเล็กๆ แต่มีร้านกาแฟนางเงือก ตู้ล็อกเกอร์เก็บกระเป๋าก็ว่าง แต่เป็นรุ่นเก่าแบบใช้กุญแจ ไม่ได้ใช้กดทัชสกรีน

    ตู้เก่าเราไม่ถือครับ แต่วิธีใช้ตู้มันดันเก่าด้วย มีแต่ภาษาญี่ปุ่นและไม่มีภาพประกอบ เล่นเอาเราต้องเปิดหาข้อแนะนำวิธีใช้ข้ามประเทศจากพันธ์ทิพย์ดอตคอม


    คะแนน tourism friendly หล่นหายอีกหนึ่งแต้ม

    เก็บกระเป๋าเสร็จ เดินตัวเบาเข้าห้องน้ำ มีความหนักหน่วงอีกหนึ่งประการที่ต้องไปผ่องถ่ายออก

    เปิดประตูมา โหย เรโทรว่ะ โถยองๆ อึแบบบ้านโนบิตะ! 

    ปลดทุกขลาภเสร็จ หันซ้ายหันขวา เวรละกรู มันกดน้ำยังไงวะ?

    งมอยู่พักใหญ่กว่าจะหาเจอครับ คือห้องน้ำที่นี่ใช้ระบบอินฟราเรดติดข้างฝา แต่ต้องเอามือลูบนะครับ 

    วิธีใช้เป็นภาษาญี่ปุ่นอีกแล้ว ทำราวกับคนต่างชาติไม่ปวดอึ

    ถ้าใครที่มาอ่านบังเอิญมีญาติทำงานที่สถานีนี้ ทาคาดาเนะบาบะ ฝากบอกด้วยว่าช่วยเติมวิธีใช้ภาษาอิงกิชด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

    เหตุการณ์ ล้อสุ อินนุ โทะลานสุเลชั่ง ของวันนี้ก็จบลงด้วยประการฉะนี้

    จะนอนละ พรุ่งนี้ต้องเตรียมพลังขาไปยืนดูคอนเสิร์ตสามชั่วโมง

    ถ้ามีอะไรน่าสนใจจะกลับมาเล่าต่อครับ

    ราตรีสวัสดิ์



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in