เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Unexpected JourneyVaSiMo
Life Below Zero (1) : ตามรอย Silver Spoon ที่ Obihiro Hokkaido Part 1
  • เรามีโอกาสได้ไปอบรมกับองค์กรระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ที่เมือง Obihiro ในกิ่งจังหวัด Tokachi
    ซึ่งอยู่ในจังหวัด Hokkaido อีกที รวมทั้งหมด 18 วัน ในช่วงปลายเดือนมกรา - ต้นเดือนกุมภา
    ซึ่ง.... อากาศอุ่นที่สุดก็อยู่ไม่เกิน 0 องศา ต่ำสุด -18 องศา ชีวิตที่พระอาทิตย์ขึ้น 6 โมงเช้า และตก 
    4 โมงเย็น เลคเชอร์และดูไซต์งานเลิกเร็วสุด 3 โมงครึ่ง มีวันหยุดให้ 4 วันถ้วน ในเมืองเล็กๆ
    ซึ่งดังเรื่องการเกษตรบ้านเกิด อ. Hiromu Arakawa ผู้เขียน Fullmetal Alchemist หนึี่งในการ์ตูน
    ที่เราชอบมากๆ และ Silver Spoon การ์ตูนชีวิตนักเรียนวิทยาลัยเกษตร ซึ่งมารู้ทีหลังว่าแกเขียนอ้างอิงจากชีวิตตัวเองที่จบวิทยาลัยเกษตรที่เมืองนี้ และเอามาเป็นจุดขายของเมืองได้ดีมากๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมแกถึงใช้รูปวาดในการ์ตูนแทนตัวเองเป็นวัว เนื่องจากเมืองนี้มีฟาร์มวัวเยอะมากๆ ดังเรื่องชีส 
    เหมือนที่ในการ์ตูนบอก (จริงๆก็พึ่งไปตามดูอนิเมะเพราะรู้ว่าจะต้องไปเมืองนี้นี่แหละ 5555)
    มีฟาร์มวัวเยอะจนเมืองมีการส่งเสริมให้นำขี้วัวมาผลิตพลังไฟฟ้าใช้จากไบโอแมสเลย 

    อาจารย์วัว

                    เอาล่ะ ทีนี้เมืองนี้มีอะไรน่าไปเที่ยวบ้าง เราเริ่มต้นจากการดูสิ่งที่นำเสนอในอนิเมะก่อน
    และพยายามดูว่าในฤดูหนาว ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง แต่ในอนิเมะยังทำไม่ถึงเนื้อเรื่องในฤดูหนาว
    แม้แต่ในซีซั่น 2 55555 ทีนี้เลยนึกภาพไม่ออกเลยว่าที่นั่นจะเป็นยังไง ก่อนไปก็หาข้อมูลว่าที่ไหน
    น่าจะไป นอกจากวิทยาลัยเกษตรที่ไม่แน่ใจว่าไปแล้วจะไปทำอะไร เพราะไม่ได้ไปอบรมสาขาเกษตร
    ซึ่งอาจจะได้ไปเยือนแบบมีนัยสำคัญ และไม่รู้ว่าที่พักจะอยู่ไกลจากสถานีรถไฟแค่ไหน เพราะสุดท้าย
    ก็ได้นอนหอจริงๆ ซึ่งการจะไปถึงสถานีได้ สามารถไปได้ด้วยรถเมล์ ซึ่งไม่ได้มีบ่อยเหมือนสาย 8
    หรือนั่งแท็กซี่ซึ่งถ้านั่งคนเดียวก็จะแพงมาก แต่ไหนๆก็มีวันว่างแล้วยังไงก็อยากลองเที่ยวในเมืองบ้าง 
    แบบที่ไม่ใช่เที่ยวเอาฤดูหนาวหิมะขาวโพลนไปหมด เราเน้นเที่ยวแบบโลคอล ไม่ไปสกีรีสอร์ท
    ไม่ไปแช่ออนเซ็น เราสาย zoo!

    เริ่มต้นวันแรกในการเที่ยวเมือง Obihiro เราออกจากหอเพื่ิอไปขึ้นรถเมล์ คือรอบนี้นั่งรถเมล์โปรเหอะ
    บอกเลย ลองได้ขึ้นแล้วเราก็จะรู้ระบบการขึ้นรถเมล์ในญี่ปุ่น ซึ่งเบสิกมาก เมื่อเทียบกับเมล์นรกใน กทม.

    ขอรีวิวระบบรถเมล์ที่นี่ซักหน่อย 
    • รถเมล์จะเป็นระบบขึ้นรถด้วยประตูกลาง แล้วลงพร้อมจ่ายค่ารถที่ประตูข้างคนขับ 
    • มีจอและ GPS คอยบอกตลอดว่าถึงป้ายไหนแล้ว ป้ายหน้าคือป้ายอะไร พร้อมค่าโดยสาร
      แต่ไม่มีภาษาอังกฤษนะ
    • มีเสียงเตือนตลอดเหมือนบนรถไฟฟ้าว่าต่อไปป้ายไหน ใครจะลงให้กดแล้วก็เตือนว่าอย่าลืมของ 
    • ต้องจ่ายเงินด้วยเหรียญเล็ก 100 ลงมา มีเครื่องให้แลกเหรียญข้างๆ ซึ่งก็แลกได้แค่เหรียญ
      500 เยน เป็นเหรียญ 100 เยนแหละ เครื่องจ่ายเงินจะนับเหรียญอัตโนมัติ แล้วตอนหลังก็พึ่งรู้ว่าขึ้นรถแล้วต้องรับตั๋วที่ประตูด้วย 55555
    • คนขับรถ ขับดีตามมาตรฐานประเทศนี้อยู่แล้ว แต่วันที่กลับดึกก็เจอขับเร็ว/กระชากเหมือนกัน ไม่รู้ลุงรีบทำเวลาเพราะการขับรถช่วงนี้เจอหิมะตกเยอะ หรือเพราะมันขับยากเพราะผิวถนน
      มันเป็นน้ำแข็งกันแน่ (มันอันตรายจริงๆนะ)
    แล้วเราก็ผ่านการนั่งรถเมล์กันครั้งแรกไปได้ ซึ่งขออภัยคนท้องถิ่นด้วยที่พวกเราช้าตอนจ่ายค่ารถ เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกของทุกคน แต่เขาน่าจะเข้าใจ เพราะป้ายรถเมล์ที่พวกเราขึ้น
    มันก็เป็นศูนย์ International นี่นะ เขาน่าจะทำใจได้ที่เจอพวกต่างด้าวเด๋อๆแบบเราอยู่บ้างเหมือนกัน
    ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราก็ไปตั้งต้นกันที่สถานี Obihiro
    เริ่มต้นด้วยการขึ้นไปหารายละเอียดการเดินทางในเมือง ซึ่งไม่ค่อยจะมีรายละเอียดมากนักจากการค้นด้วยอินเตอร์เน็ต เพราะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ เริ่มต้นที่ Information ชั้น 2
    นี่อยู่ข้าง Information เลย 
    บนสถานีรถไฟ เจอเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ ดีใจมาก เพราะเขาเป็นคนต่างชาติจริงๆที่แต่งงาน
    มาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนแบบสอบถามจะเป็นอะไรที่สำคัญในหลายๆที่ที่ให้บริการต่างๆที่นี่
    พอเจอพี่ที่ไปด้วยกันทำแบบสอบถามแล้วได้ของแจก จะรออะไรล่ะ 555 รีบไปเขียนเร็ว
    นี่ไงของแจก 
    ถามที่ทางกันเรียบร้อยแล้ว แยกกลุ่มกัน เที่ยวตามอัธยาศัย ตามแผนเราคือไปกินเค้กก่อน เพราะเมืองนี้มีร้านเค้กที่ดังมากร้านนึงของฮอกไกโด ซึ่งก็คือร้าน Rokkaitei ที่มีร้านสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองนี้
    ดีใจที่มีคนอยากไปด้วยจะได้ลองกินเค้กหลายๆแบบ ดีใจมากที่ไปกันหลายคน เพราะเค้กถูกมาก
    สั่งกันมากมายจนกินเกือบไม่หมดเริ่มต้นที่ขนมขึ้นชื่อของร้าน มารุเซย์บัตเตอร์ซันโดะ
    คุกกี้เนยเนื้อนุ่มสอดใส้ครีมชีสผสมรัมย์เรซิน 

    โคนครีมและช็อกโกแลตคุกกี้ใส้ครีมชีส พร้อมกาแฟฟรีเติมได้ไม่อั้นสำหรับทานที่เคาน์เตอร์ชั้น 1

      (ปล. นมเติมกาแฟอร่อยมากกกก)
    และเค้กมากมายหลายแบบ อร่อยหมด ราคาถูกด้วย แต่เราชอบมงบลังค์กับมอซซาเรล่าชีสที่สุด
    จบภารกิจอ้วน เกือบจะกินกันไม่หมดเพราะสั่งเค้กกันแทบจะทุกชนิดที่มีจนกินข้าวเที่ยงกันไม่ลง
    เลยตกลงเดินกลับไปที่สถานีเพื่อหารถเมล์ไปศาลเจ้า Obihiro กัน แต่เนื่องจากข้อมูลที่ค้นจากอินเตอร์เน็ตไม่ละเอียด เราเลยต้องขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่ Information อีกครั้ง เพื่อถามสายรถเมล์
    แต่พบว่า วันเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีรถเมล์ไปศาลเจ้าจ้า มีแต่วันธรรมดา โถ ก็นี่บ้านนอกคนมันน้อย
    วิธีที่เราจะไปศาลเจ้าในวันนี้ได้ คือ เดินหรือนั่งแท็กซี่ ซึ่งเราก็อยากทำเวลาเพราะ 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว
    เราเลยกะว่านั่งแท็กซี่หารกันรอบนึงขาไป แล้วเดินกลับมาสถานีแล้วกัน เพราะขากลับจะขอให้แท็กซี่
    มาวนรับก็ลำบาก จะได้ใช้เวลาได้สบายๆ และขากลับน่าจะเรียกแท็กซี่ยาก แต่ปัญหาคือมีกันอยู่ 5 คน มันเกินแท็กซี่ปกติที่นั่งกันได้แค่ 4 คนมากสุด คุณเจ้าหน้าที่ก็ใจดี พยายามลงมาหาแท็กซี่คนใหญ่
    ที่นั่งได้ 5 คนได้ เราจะได้ไปพร้อมกันได้หมด และหาอยู่นานมากก็หาไม่ได้ 
    แล้วเขาก็ไม่ได้หยิบโค้ทลงมา สงสารเลย ถึงจะแดดดี แต่วันนั้นก็น่าจะประมาณ -3 องศา
    สุดท้ายเลยแยกกันไป 2 คัน 

    แท็กซี่ที่นี่ก็ตามมาตรฐาน พยายามหาเส้นทางที่ไวที่สุด รถติดน้อยสุด 
    ถึงศาลเจ้าในราคาไม่ถึง 1 พันเยน
    มาแล้วตามรอยการ์ตูน ได้ม้าไม้ขอพร 1000 เยนมาเขียนตามระเบียบ
    ตามในการ์ตูนเป๊ะ
    ที่ชอบก็คือ ปกติถ้าเราไปญี่ปุ่นในเมืองใหญ่เวลาเข้าไปศาลเจ้าก็เหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆ คนจอแจเต็มไปหมดแต่ที่นี่สงบเงียบจริงๆ (ก็มันเมืองเล็กๆ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวนี่ 55) คนที่มาคือคนพื้นที่ที่มาวัดจริงๆ
    ต้นไม้เยอะ ได้เจอน้องกระรอกเอโสะตัวจริง อ้วนกลมขนฟูดูน่ารักมากๆ เสียดายกล้องมือถือกาก 
    คือคืนก่อนออกมาเที่ยวคือมีคนไปกดสัญญาณไฟไหม้ ตื่นตี 3 กันทั้งหอ เราก็กวาดทุกอย่างใส่กระเป๋า พอออกมาเที่ยวก็หาแบตกล้องไม่เจอ เลยใช้มือถือ 
    แต่พอกลับถึงห้องพบว่าแบตกล้องอยู่ในกระเป๋านั่นแหละ เจ็บใจจริงๆ
    ที่นี่กระรอกเยอะ ขนาดมีป้ายระวังกระรอกข้ามถนนเลย
    อีกอย่างที่เราตั้งใจจะมาดูมากๆ ตามที่หาข้อมูลมา คือ แม่น้ำข้างๆศาลเจ้า ที่เฉพาะในฤดูหนาวจะมีหงส์อพยพมาอยู่กัน บรรยากาศดีมาก คุ้มค่ากับการต้องค่อยๆไต่บันไดที่มีแต่หิมะลื่นๆลงไปริมตลิ่ง
    น้ำใสสะอาดมาก คงเพราะน้ำมาจากหิมะบนภูเขา สมกับเป็นเมืองที่แคร์เรื่องน้ำในแม่น้ำจนได้รางวัล และผลิตน้ำประปา(ดื่มได้)จากแม่น้ำด้วย วันนั้นก็มีพ่อแม่พาเด็กๆมาให้อาหารหงส์กับเป็ดเพราะงั้น
    มันเลยตีกันเล็กน้อยพอให้ดูมีชีวิตชีวาเพราะว่าแย่งข้าวกัน 
    ชมนกชมเป็ดกันแล้ว ก็เดินกลับเข้าเมือง กลับไปกินข้าวที่แถวๆหน้าสถานีกัน
    ตลอดทางที่เดินก็เป็นแบบนี้ ในทุกๆวัน วันแรกที่ไปถึงไม่ชินเลย เดินไปหน้าชา น้ำมูกไหลตลอดทาง
    ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเพื่อกันลมก็ยากเพราะเราใส่แว่น แว่นก็เป็นฝ้าเดินลำบากเข้าไปอีก 
    นอกจากนั้นความลื่นก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน ใช่ว่าคนข้างหน้าเราไม่ลื่น แปลว่าเราจะไม่ลื่นด้วย
    ต้องใช้เวลาศึกษาและล้มเพื่อเป็นประสบการณ์ซักครั้งสองครั้ง ถึงจะรู้ว่าควรจะเลือกเดินบนหิมะปุยๆ แล้วเลี่ยงหิมะที่ละลายจนเป็นน้ำแข็งเรียบๆ แต่จะลำบากมาก เมื่ออยู่ในกรณีที่คุณต้องข้ามถนนให้ทัน
    และเดินข้ามบนถนนที่เป็นน้ำแข็งไปด้วย อันตรายมากๆทีเดียว

    มาถึงหน้าสถานีแล้วก็หิวพอดี เค้กที่กินไปเมื่อเที่ยงสลายไปแล้วเพราะเดินมาจากศาลเจ้านี่แหละ
    เพราะเป็นร้านที่ Information แนะนำมา เราก็คิดกันว่าน่าจะสั่งข้าวไม่ยาก แต่!!! ที่ไหนได้ 
    เมนูไม่มีรูปเลยจ้า แถมฟ้อนท์ในเมนูนั้น เป็นฟ้อนท์ลายมือแบบเขียนพู่กัน
    กูเกิ้ลทรานสเลทก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายป้าเจ้าของร้านก็ต้องมาใช้ภาษาอังกฤษพยายามคุยกับเรา

    แต่ไม่มีปัญหาอะไร ก็ได้เมนูเด็ดของเมืองนี้ "ข้าวหน้าหมู" ( Buta Don) มากินกันจนได้

    ข้าวหน้าหมู ร้าน Buta Don Poncho 

    ชุดนี้ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 1200 เยน รสชาติเหมือนกินข้าวกับหมูปิ้ง กับซุปมิโสะใส่เห็ดนาเมโกะลื่นๆ

    แต่ก็อร่อยแหละ  กินข้าวเสร็จก็ไปเดินเล่นในเมืองซักพัก เพื่อรอดู Illumination 

    ในเมืองมีลานสเก็ตเล็กๆด้วย เด็กๆเล่นกันอย่างโปร ดูเป็นกีฬาบ้านๆ ยังกับเราเตะตะกร้อ โดดยาง

    พอค่ำทุกร้านก็รีบปิดอย่างรวดเร็ว รีบซื้อของฝากให้เรียบร้อยแล้วก็นั่งรถเมล์กลับหอที่อยู่นอกเมือง
    ---------------------------
    ยาวมากๆ ถ้ามีคนอ่านถึงนี่ก็ขอบคุณมากนะคะ
    แต่นี่แค่วันหยุดแรก ยังเหลืออีก 3 วันนะ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in