เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
kidultminnie2540
-
  • Kidult


    มันดีอยู่แล้ว โลกของเธอน่ะ

    เพราะเธอที่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เป็นในตอนนี้

    ทั้งแสนสำคัญและล้ำค่า

    อยู่ตรงนี้ด้วยกันกับฉันเถอะ


    หลังจากที่หัวเราะอย่างเป็นผู้ใหญ่

    หรือจะตอนที่ร้องไห้ราวกับเป็นเด็กน้อยก็ด้วย

    พวกเรานั้นช่างเหมือนกันเหลือเกิน อยู่ด้วยกันนะ

    ตัวเธอที่เป็นแบบนั้น

    เป็นเหมือนกับเด็กที่โตแล้ว


    Kidult – SEVENTEEN




    ตอนเป็นเด็ก เราอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ เพื่อที่จะได้ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง แต่เมื่อโตขึ้นแล้ว เราถึงได้รู้ว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นยากมากแค่ไหน



    หลังกลับมาถึงห้อง สิ่งแรกที่จินทำก็คือโถมตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่ม หลับตาซุกหน้าลงกับหมอนใบโตพร้อมทั้งระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

    วันนี้ก็เป็นวันที่เหนื่อยอีกวัน

    ตื่นแต่เช้าไปสตูดิโอ ทำงานทั้งวันจนไม่มีเวลากินข้าว ตกเย็นเลิกงานก็ไปตามนัดสังสรรค์กับเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน มหา’ ลัยเดียวกันที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ร้านประจำ

    เขาชอบเวลาที่อยู่กับเพื่อน เพราะมันทำให้เขาได้รีแล็กซ์และปลดอะไรหนักๆ ที่ซ้อนทับบนไหล่ลง ทว่าวันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น

    ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เพื่อนของเขาดูโตและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งการแต่งตัวที่ดูดีเรียบหรู การวางตัวสงบเสงี่ยม ไม่มีการเอะอะโวยวายเสียงดังอย่างเมื่อก่อน กระทั่งหัวข้อที่ยกมาพูดคุยก็ล้วนเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว หรืออนาคต ในขณะที่ตัวเขายังใส่แค่เสื้อเชิ้ตไร้ราคา กางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ใช้ชีวิตตามใจฉัน อยากได้อะไรก็รูดบัตรซื้อแบบไม่คิดมาก เรื่องการวางแผนอนาคตไม่มีอยู่ในหัวด้วยซ้ำไป

    ได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว เพื่อนคนหนึ่งถึงกับพูดว่า

    ‘น่าอิจฉามึงนะที่ยังทำอะไรตามใจชอบได้’

    มันเหมือนจะเป็นคำชม แต่ไม่ จินไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด ตรงกันข้ามแล้วคำพูดนั้นดันความอายให้ตีตื้นขึ้นมาจนต้องเสไปหยิบแก้วเบียร์มาจิบเสียด้วยซ้ำ

    แม่งโคตรแย่

    เขาพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย เอามือก่ายหน้าผาก หัวคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องเดิมวนไปวนมาซ้ำหลายครั้ง

    ควรจะเปลี่ยนตัวเองดีไหม แล้วจะเปลี่ยนไปในทางไหน ทำแบบไหนถึงจะดี

    นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขาเครียดจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลงในตอนนี้

    จินนอนนิ่งมองเพดานห้องอยู่นานสองนาน ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ปลดล็อกหน้าจอ กดเข้าไปยังแอปพลิเคชั่นสีเขียว ตามมาด้วยแชตที่ถูกพินไว้ให้อยู่ด้านบนสุด แชตที่เขายกให้เป็นแชตสำคัญเพียงแชตเดียว

    แชตของฮาว

    ครั้งล่าสุดที่ได้คุยกันคือเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ก่อนที่ฮาวจะเงียบหายไป ปล่อยแชตให้ค้างเอาไว้ที่เขา ซึ่งก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ อีกฝ่ายงานยุ่งหัวฟู แค่เจียดเวลามาตอบกลับข้อความของเขาบ้างก็ขอบคุณมากแล้ว แต่ครั้งนี้เขาไม่แน่ใจเลย

    ไม่แน่ใจว่าถ้าส่งข้อความไปแล้วฮาวจะตอบกลับมาหรือเปล่า

    จินกัดริมฝีปากล่างด้วยความอึดอัดใจ พยายามจะพิมพ์ให้ดีแล้ว แต่แก้ๆ ลบๆ ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายก็ถอดใจ คิดว่าไม่ต้องส่งอะไรไปเลยน่าจะดีกว่า

    เขาวางโทรศัพท์ลงข้างตัว จังหวะนั้นเองที่มือดันพลาดไปกดโดนปุ่มส่งข้อความเข้า และระบบแก้ไขคำผิดอัตโนมัติได้เปลี่ยนตัว ‘ค’ ที่ค้างอยู่ในช่องข้อความเป็นคำว่า ‘คิดถึง’ โดยที่เขาเองก็ไม่ทันมอง กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอส่งอะไรไปก็ตอนได้รับข้อความตอบกลับมาแล้ว


    ‘แมวพิมพ์เหรอวะ 555555’


    เลื่อนสายตามองข้อความฝั่งตัวเองแล้วก็หลุดสบถคำว่าเชี่ยออกมา จินกำลังจะพิมพ์ไปว่าไม่ได้ตั้งใจจะส่งไปแบบนั้น ทว่าฮาวพิมพ์ต่อมาก่อน


    ‘แต่กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน

    กูบังเอิญได้วันหยุดมาพรุ่งนี้

    มาเจอกันหน่อยไหม

    ถ้ามึงว่างนะ


    เขารีบลบข้อความก่อนหน้าออกและตอบตกลงก่อนที่สมองจะประมวลผลเสียอีก


    สถานที่ที่ฮาวนัดมาเจอคือคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่แถวละแวกบ้านของพวกเขา จินมาถึงก่อนเวลานัดเล็กน้อย จึงเข้าไปสั่งเครื่องดื่มและหาโต๊ะนั่ง รอไม่นาน เพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตก็มาถึง

    หน้าตาแบบนั้น รอยยิ้มแป้นแล้นแบบนั้นคือฮาวตัวจริงไม่ผิดแน่ ถ้าจะมีอะไรผิด ก็คงมีแค่บรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไป

    บรรยากาศแบบเดียวกับที่เขาเห็นได้จากเพื่อนกลุ่มเมื่อวาน

    “แม้แต่มึงเองก็เหมือนกันเหรอ...”

    ฮาวเลิกคิ้ว “ว่าไงนะ”

    “เปล่า” จินส่ายหน้า “มึงสบายดีหรือเปล่า”

    “อย่างที่เห็นนั่นแหละ มึงอ่ะจิน”

    “อย่างที่เห็นนั่นแหละ”

    “กวนตีน”

    มันหัวเราะ ก่อนยื่นมือมายีหัวที่ยุ่งอยู่แล้วของเขาให้ยุ่งมากเพิ่มขึ้นไปอีก พอโดนเขาถลึงตาใส่ถึงได้ชักมือกลับ ร้องโอเคๆ พร้อมยกสองมือขึ้นระดับไหล่เป็นการประกาศยอมแพ้ จากนั้นจึงลุกไปสั่งเครื่องดื่มกับขนมที่เคานท์เตอร์ด้านหน้า ทิ้งเขาให้เฝ้าของของตัวเอง

    จินถอนหายใจ ความเครียดส่งผลให้มือไม้เขาอยู่ไม่สุข กรีนทีเฟรปปูชิโน่ที่เหลือเกินครึ่งแก้วถูกคนจนเละ เขาเอาแต่ก้มหน้าลงเหม่อมองของในแก้วเลยไม่รู้ว่าฮาวกลับมาที่โต๊ะแล้ว

    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”

    เงยหน้ามองคนที่เอ่ยทัก

    “กูทำหน้ายังไง”

    “เหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ” มันก้มลงดูดชาพีชไปอึกใหญ่ ก่อนเลื่อนแก้วไปด้านข้าง เท้าคางลงกับโต๊ะ ดวงตาจับจ้องมองมาอย่างจริงจัง “มีอะไรอยากจะเล่าให้กูฟังหรือเปล่า”

    เขาเงียบ

    ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง มันก็แค่...มองฮาวแล้วหัวใจเขามันเย็นเหยียบ รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลัวฮาวจะเป็นเหมือนพวกนั้น กลัวฮาวไม่เหมือนเดิม กลัวฮาวเปลี่ยนไปกลายเป็นคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก กลัวจะถูกฮาวทิ้งไว้ข้างหลัง ที่สำคัญที่สุดคือเขาเกลียดความไม่รู้จักโตของตัวเอง

    คนอื่นไปไกลตั้งขนาดนั้นแล้ว เขาเหมือนยังย่ำอยู่ที่เดิมอยู่เลย

    แล้วเขาควรบอกฮาวเหรอว่าเขากำลังรู้สึกอย่างนี้อยู่

    “มึงโตขึ้นนะ”

    ฮาวพูดทั้งที่ยิ้มขำ เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    “ตรงไหน”

    “ตรงที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนมึงคงเล่าให้กูฟังง่ายๆ แล้วดูตอนนี้ดิ”

    “ตอนนี้ทำไม”

    “กล้าพูดไหมล่ะว่าไม่ได้ชั่งใจว่าจะเล่าให้กูฟังดีหรือเปล่า”

    ตรงเผง

    หลอกตัวเองได้ หลอกคนอื่นได้แล้วไง เขาก็หลอกฮาวไม่ได้อยู่ดี มันเป็นคนที่รู้จักเขาดีที่สุดในโลกแล้ว

    “เนี่ย มึงคิดมากขึ้น”

    “มึงว่ากูโตขึ้นเหรอ”

    “อืม เท่าที่ดูก็เป็นอย่างนั้น”

    “ทำไมกูไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลยวะ”

    “แล้วแบบไหนที่เรียกว่าโต”

    จินปิดปากเงียบ ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่ไม่อยากตอบ เพราะคำตอบที่อยู่ในใจเขาไม่ใช่คำตอบที่ฮาวต้องการได้ยินอย่างแน่นอน

    คนตรงหน้าทอดถอนใจ “เล่าให้กูฟังหน่อยได้ไหมว่าไปเจออะไรมา”

    เขาลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง ฮาวนั่งหลังตรงฟังเขาเล่าอย่างตั้งใจ พอเขาเล่าจบมันก็ส่ายหน้าไปมา

    “มึงเนี่ยน้าจิน โง่จริงๆ”

    จากที่เครียดๆ ได้ยินคำว่าโง่ก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา

    “ว่าใครโง่นะ”

    “มึงนั่นแหละจิน”

    มันดีดหน้าผากเขาดังแปะ เขายกมือลูบหน้าผากที่โดนประทุษร้ายป้อยๆ พร้อมทำปากคว่ำตาขวางใส่ ว่าคนอื่นเขาโง่ไม่พอ ยังจะมาทำร้ายร่างกายกันอีก จิตใจทำด้วยอะไรวะนั่น

    “มึงรู้อะไรไหม” ฮาวว่าขึ้นมา “การโตเป็นผู้ใหญ่มันยากก็จริง แต่การโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบของตัวเองยากกว่านั้นอีก ที่มันยากก็เพราะว่าไอ้คำว่าโตแล้วมักจะบีบให้หลายคนต้องกลายเป็นใครอีกคนที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้จัก ไม่คิดเหรอว่าแบบนั้นมันน่าเศร้า เพราะงั้นมึงเลยเก่งมากๆ ที่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้”

    “แต่การที่กูเป็นอย่างนี้มันทำให้กูดูเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต”

    “อย่างนี้ที่ว่าคือ?”

    “ติดเกมติดอนิเมะ อ่านการ์ตูน ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบไม่วางแผนอนาคต ไม่รู้ว่ะ กูก็แค่...ไม่ชอบ”

    “มึงอายที่เป็นแบบนั้นเหรอ”

    “ใช่ กูอาย”

    สิ้นเสียงตอบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมระหว่างเขากับฮาวชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮาวจะถามขึ้น

    “เคยได้ยินคำว่า Kidult มาก่อนหรือเปล่า”

    “ไม่เคย”

    “มันมาจากคำว่า Kid บวกกับคำว่า Adult เป็น Kidult แปลว่าผู้ใหญ่ที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเด็กที่โตแล้วนั่นแหละ” มันอธิบายเสียงเรียบเรื่อย “ที่กูต้องการจะสื่อก็คือ มึงสามารถเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกับที่ยังคงความเป็นเด็กเอาไว้ได้นะ”

    จินแสดงสีหน้าสับสนให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง เหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่หลงทางในเขาวงกตแล้วหาทางออกไม่เจอก็ไม่ปาน

    “จิน จิน”

    “ว่า”

    “มึงมองตากูแล้วฟังที่กูจะพูดนะ”

    เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันมันก็วางมือตัวเองลงบนมือของเขา ก่อนจะลูบไปมาเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน

    “จะตอนที่เก็บความรู้สึกเอาไว้แล้วยิ้มหรือหัวเราะอย่างคนโตๆ หรือตอนที่ร้องไห้เป็นเด็กๆ จะติดเกมติดอนิเมะติดการ์ตูนอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ทุกอย่างก็คือตัวตนของมึงเองทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายสักนิด จริงอยู่ที่ถ้ามองแค่อายุ พวกเราอาจจะไม่ใช่เด็กอีกต่อไป แต่หากมองลึกลงไปกว่านั้นมึงจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เพราะความเป็นเด็กของเราไม่เคยหายไป มันแค่ถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในใจเรา อยู่ที่ว่ามึงจะเลือกอยู่ด้วยกันหรือเก็บซ่อนมันไปตลอดชีวิต”

    ฮาวค่อยๆ ระบายรอยยิ้มบนใบหน้า “นิยามของการโตเป็นผู้ใหญ่ไม่มีคำตอบตายตัวหรอก ดังนั้นอย่าให้นิยามของคนอื่นมาทำให้มึงต้องฝืนเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเองเลย กูชอบมึงที่เป็นแบบนี้มากกว่า”

    ทุกครั้งเลย

    เป็นฮาวทุกครั้งที่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากสำนักไหนถึงได้เก่งนัก ขนาดตัวเขายังฮีลตัวเองได้ไม่เก่งเท่า

    จู่ๆ จินก็นึกถึงช่วงก่อนเข้ามหา’ ลัย คืนที่ฮาวมานอนที่บ้านเขา ตอนนั้นฮาวเองก็ช่วยปลอบเขาที่กลัวกับการเลือกให้คลายความกังวลลง เขายังจำคำพูดที่อีกฝ่ายให้ไว้ได้อย่างแม่นยำ

    ‘ไม่ว่ามึงจะเลือกอะไร ผลของการเลือกจะเป็นยังไง ให้มึงจำไว้ว่ากูอยู่ข้างมึงเสมอ’

    ‘เราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน’

    ที่ผ่านมาฮาวไม่เคยผิดคำพูดสักครั้ง ต่อให้ตัวจะอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ แต่ฮาวทำให้แน่ใจว่าใจของพวกเขายังอยู่ใกล้กันเสมอ

    จินดันมือฮาวที่วางทับบนมือเขาขึ้น ก่อนจะจงใจสอดประสานนิ้วมือทั้งห้าเข้าไปตามช่องว่างระหว่างนิ้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังจับแน่นกว่าเดิมอีก

    “ฮาว”

    เขาส่งเสียงเรียก ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งที่อยากจะบอกให้เจ้าของชื่อรู้มานานแล้ว

    “ขอบคุณที่อยู่ข้างกูมาตลอด กูดีใจนะที่ชีวิตนี้ของกูมีมึงอยู่ข้างๆ”



    เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกสับสนขอให้จำไว้ให้ขึ้นใจว่า เราไม่ใช่คนเดียวที่หลงอยู่ในเส้นทางที่ถูกเรียกว่าการโตเป็นผู้ใหญ่





    fin.

    twitter : @memxnnxe





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in