เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Micellaneouspreenbanana
Dasa Book Cafe กับวันที่มีโชคด้านการอ่านของเรา
  • จู่ๆเพื่อนนักอ่านก็ชักชวนไปร้านหนังสือภาษาอังกฤษมือสองใกล้ๆกับห้างเอ็มควอเทียร์ ด้วยความที่เรายังไม่เคยย่างกรายไปย่านนั้นเท่าไหร่ เลยตอบตกลงไปในทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด เพราะอย่างน้อยการได้เข้าร้านหนังสือสักหน่อยน่าจะทำให้ความรู้สึกเครียดๆหน่วงๆที่มีอยู่ตอนนี้ลดลงบ้าง ไม่ว่าจะได้หนังสือติดไม่ติดมือกลับมาหรือไม่ ซึ่งผลก็คือ ไม่ผิดหวังที่ได้มาที่น่ี่ - ร้านหนังสือดาสะ

    หน้าร้านดาสะกับกระบะหนังสือราคาตั้งแต่ 29 - 99 บาทเอง ค้นๆรื้อๆดูอาจจะมีหนังสือที่ชอบรออยู่ก็เป็นได้

    สิ่งที่คิดว่าจะได้เห็นในร้านนี้จากภาพจำของร้านหนังสือมือสองที่เราเคยไปมา คือ ความเก่าและฝุ่น 
    แต่ไม่ใช่กับที่นี่ ทันทีที่เดินเข้าไปในร้าน กลิ่นกาแฟหอมๆก็ลอยเข้ามาแตะจมูกเป็นอย่างแรก ตามมาด้วยรอยยิ้มเป็นกันเองจากพี่พนักงานที่ต้อนรับผู้มาเยือนหน้าใหม่ทั้งสองเข้าสู่สถานที่ที่นักอ่านเรียกว่า 



    "สวรรค์" 


    วันที่ไปเจอคุณโดนัลด์ กิลลิแลนด์ หรือคุณดอน หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านหนังสือดาสะประจำการอยู่ด้วย
    พอปราดสายตาไปรอบๆร้านก็เจอแต่หนังสือมากมายนับไม่ถ้วนวางเรียงรายเต็มชั้นหนังสือทุกอัน จำนวนหนังสือมีเยอะจนไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะดูจนครบทุกเล่ม ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าเข้าไปแวะร้านหนังสือแปปเดียวก็คงเสร็จ ไม่น่านานมาก แต่ก็คิดผิดถนัด เรากับเพื่อนอดไม่ได้ที่จะร้องว่า "โอ้โห" ออกมา ถ้าไม่เรียกว่าสวรรค์ก็ไม่รู้จะหาคำจำกัดความไหนมาใช้กับที่นี่ดี เมื่อความอบอวลของกาแฟหายไป กลิ่นที่ควรจะเป็นของร้านหนังสือก็เข้ามาแทนที่ กลิ่นของกระดาษและน้ำหมึก ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะที่ติดมากับหนังสือแต่ละเล่ม 


    ถึงเวลาออกตามล่าหาสมบัติที่รอคอยการค้นพบอยู่ในร้านหนังสือดาสะได้แล้ว

    ส่วนหนึ่งของหนังสือ ส่วนใหญ่มีสภาพดี เก่า-ใหม่ปนกันไป
    เราเดินดูหนังสือในแต่ละชั้นอย่างคร่าวๆก่อนสองสามครั้งเพื่อดูว่ามีหนังสือที่คุ้นตาของนักเขียนที่ติดตามอยู่ตรงไหน ก่อนจะเจาะลึกไปดูแต่ละชั้นที่ละเล่มๆ สำหรับเราแค่ชั้นแรกของร้านก็ว่ามีหนังสือเยอะแล้ว แต่พี่พนักงานก็บอกว่ายังมีชั้นข้างบนให้ขึ้นไปได้อีก ท่าทางคงต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่นี่ที่เดียวซะแล้ว 


    ด้วยความที่เป็นหนังสือมือสอง แน่นอนว่าราคาต้องย่อมเยาว์กว่าที่ขายทั่วไป ลองเปิดดูราคาของหนังสือสภาพดีบางเล่มบนชั้นก็อดไม่ได้ที่่จะหันไปกรี๊ดกร๊าดใส่เพื่อน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ปริ่มอกปริ่มใจ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แค่ได้เห็นจำนวนของหนังสือภาษาอังกฤษตรงหน้า เป็นที่รู้กันว่าหนังสือภาษาอังกฤษที่ขายอยู่ตามร้านหนังสือต่างประเทศราคาแพงแสนจะแพง บางเล่มราคาโหดมาก แต่ก็ต้องกัดฟันซื้อเพราะเป็นผลงานของนักเขียนที่ชื่นชอบหรือเป็นเล่มที่นิยมกันอย่างมากในหมู่นักอ่านเจ้าของภาษา ด้วยความที่อยากจะสัมผัสกับความดีงามเหล่างั้นโดยตรงด้วยตัวเองก็เลยต้องยอมเสียทรัพย์ไปพอสมควรเพื่อแลกกับประสบการณ์การอ่าน แต่ตอนนี้ราคาหนังสือภาษาอังกฤษภายในร้านมีมูลค่าพอๆกับหนังสือภาษาไทยปกติในราคาที่เอื้อมถึงได้โดยไม่ต้องอดขนม เป็นมิตรกับจำนวนเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าเงินแห้งเหี่ยวเสียเหลือเกิน


    หนังสือในชั้น 1 ส่วนใหญ่เป็น General Fiction ไม่จำกัดประเภท หนังสือที่มีผู้แต่งคนเดียวกันจะจัดวางอยู่ด้วยกัน ทำให้ง่ายต่อการหามากขึ้น ในกรณีที่มีนักเขียนในดวงใจมาอยู่แล้ว นอกจากนี้ก็มีหนังสือท่องเที่ยว การครัว งานฝีมือและหนังสือสอนภาษาต่างประเทศบ้าง

    รอดมาจากชั้นแรกได้ ก็เดินขึ้นมาชั้นสองเพื่อมาจดจ้องไปตามสันหนังสือแต่ละเล่มต่อว่าจะมีเล่มที่เรารอคอยอยู่ไหม พื้นของร้านดาสะเป็นไม้ที่ค่อนข้างจะมีอายุ อาจจะมีการลั่นได้ตอนลงฝีเท้าลงไป แต่เรากลับชอบ เพราะมันดูคลาสสิคไปอีกแบบ พื้นไม้เก่ากับหนังสือมากมาย
    ถัดมาบนชั้นที่ 2 จะเป็นหนังสือแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน คอหนังสือแนวสายลับน่าจะชอบ มีเยอะมาก มีงานของ Vince Flynn อยู่พอสมควรเลย แอบเสียใจตอนนี้ไม่มี American Assassin แล้วอยากอ่านก่อนไปติ่งยัยแล่นในโรงหนัง นอกจากนี้ก็จะมีหนังสือแนวชีวประวัติ บันทึกความทรงจำของบุคคลดังๆ หนังสือธุรกิจ หนังสือ How to แนวเบ็ดเตล็ดมีอยู่ส่วนหนึ่งและหนังสือแนวไซไฟ แฟนตาซีก็จะอยู่ในชั้นนี้เหมือนกัน

    สวรรค์ชั้นน้อยๆของเรา เห็นนางฟ้าที่นั่งอยู่ขวาสุดนั่นไหม น้องมากับครอบครัว ได้หนังสือกันไปคนละเล่มสองเล่ม ครอบครัวนักอ่านจริงๆ 
    แต่มุมที่เราชอบมากที่สุดอยู่บนชั้น 2 เพราะบรรดาหนังสือ YA จะเรียงรายติดกับฝั่งหนังสือเด็กน้อย ฮา ส่วนใหญ่จะเป็นแฟนตาซี รวมไปถึงแนวดิสโทเปียอย่าง Hunger Games, The Maze Runner หรือ Divergent ก็มี แต่สำหรับสาย YA Contemporary อย่างเราอาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่นัก มีอีกทีก็จะกลายเป็นแนว Chick-lit กับ Romance แบบผู้ใหญ่ๆแทน


    อีกอย่างคือต้องทำใจว่าในร้านไม่มีหนังสือครบเซ็ตทุกเล่ม ต้องไปตามหากันอีกเพื่อจะได้เก็บให้ครบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และจะได้เจอเล่มที่เราตามหาหรือเปล่า แต่ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งของการเข้าร้านหนังสือมือสอง เราจะไม่มีวันรู้ว่ามีหนังสือรอเราให้ไปเจออยู่ไหม จนกว่าจะได้เข้าไปค้นหา 


    ในกรณีของเรา ดวงชะตาก็หนุนนำให้ได้มาเจอกับหนังสือที่เราตามหามาเป็นปี ดูเป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะสะดุดตาเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มสำรวจชั้นหนังสือ หนังสือที่เราได้พบ คือ Leviathan ของ
    Scott Westerfeld แนวไซไฟ สตีมพังค์ในบริบทสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นที่ร่ำรือของบรรดานักอ่าน โดยเล่มนี้เป็นเล่มแรกของ Leviathan Trilogy (ก่อนหน้านี้ตอนไปงานหนังสือคุณหมาป่า Big Bad Wolf Books เจอแต่ Goliath เล่ม 3 แต่มาคราวนี้ก็หาเล่ม 1 เจอแล้ว ไว้เดือนหน้าจะไปสอยต่อในงานแน่นอน) สภาพหนังสือถือว่าโอเคเลยทีเดียว มีรอยยับตรงปกบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าแค่ 150 บาทแล้ว ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามได้ สิ่งสำคัญคือเนื้อหาในเล่มที่รอคอยให้เราออกไปผจญภัย 
     
    ได้เจอกันแล้วนะ ดีใจเหลือเกิน
    ตัวอย่างของชั้นหนังสือภาษาเยอรมัน ชั้นแต่ละชั้นหนังสืออัดแน่นมาก

    ส่วนร้านหนังสือในชั้นที่ 3 ก็มีหนังสือประเภท Graphic Novel มี TWD ด้วย แนวสยองขวัญ หนังสือเกี่ยวกับบทละคร ภาพยนตร์ หนังสือกีฬา และหนังสือประเภทตลกขบขัน เบาสมอง ไฮไลท์ของชั้นนี้ก็คือหนังสือภาษาต่างประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาดัตซ์ ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น ดูกันเพลินๆ แปลกตาไปอีกแบบ แถมยังมีกองหนังสือแบบขายถูกอยู่ริมหน้าต่างให้ได้ไปรื้อค้นหนังสือกันได้ตามใจชอบ


    หลังจากวนเวียนอยู่บนชั้นหนังสือแต่ละชั้น แต่ละประเภทกันจนจุใจ เมื่อสองเกลอแน่ใจว่าคงไม่มีหนังสือที่อยากได้เล่มเล็ดลอดสายตาไป ก็ตัดสินใจไปจ่ายเงิน แต่ก็เป็นการเดินออกจากร้านด้วยความอ้อยอิ่งเหลือเกิน ไว้จะกลับมาหาอีกแน่นอน อยากรู้แล้วว่าครั้งหน้าจะได้เล่มไหนติดมือกลับบ้าน =]


    วิธีเดินทางไป Dasa Book Cafe ลงรถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ ทางออกฝั่งเดียวกันกับห้าง
    เอ็มโพเรี่ยม เดินสวนทางกับถนนขึ้นไปเรื่อยๆ ร้านจะตั้งอยู่ก่อนถึงซอยสุขุมวิท 28 สังเกตได้จากป้ายที่ห้อยอยู่ด้านบนและกระบะหนังสือขนาดย่อมๆหน้าร้าน


    หลังจากหมดเวลาไปกับร้านหนังสือดาสะ ก็ขอไปเยือนร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ สาขาเอ็มควอเทียร์สักหน่อยจะได้ไม่เสียเที่ยววันเดย์ทริปฉบับนักอ่าน ชอบในความอลังและการจัดวางหนังสือของสาขานี้มาก เป็นระเบียบ ละเอียดและหนังสือเยอะจริงๆ เหมือนวันนี้แต้มบุญเหลือ คิโนะกำลังลดราคาหนังสือที่ร่วมรายการอยู่ รีบตรงดิ่งเข้าไปดู แล้วเพื่อนก็ชูหนังสือเล่มนึงขึ้นมาให้ดู

    HOLY MOLY!! อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ  
    Kingsman ฉบับคอมมิค ลดราคากระหน่ำสุดๆ จากสี่ร้อยกว่าบาทเหลือเพียงร้อยเดียว แถมหน้าปกเป็นรูปโปสเตอร์จากเวอร์ชั่นหนังด้วย อ้อยจ๋าาาา ทำไมจะไม่ซื้อล่ะคะ ไม่ต้องคิดอะไรใดๆแล้ว สอยมาเลย กำลังอยากอ่านเวอร์ชั่นการ์ตูนอยู่พอดี เพราะเพิ่งดูคลิป #TBT to That Time Archer Met Kingsman ที่ฟ๊อกซ์ปล่อยออกมาไปเมื่อหลายวันก่อน ความแฟนเกิร์ลทำงานรัวๆ
    เจอขุ่นแม่ริปลี่ย์เข้าให้อีก คราวนี้จะได้ด่ำดิ่งไปกับลูกเรือยานนอสโตรโมจากการอ่านแล้ว
    พอเดินไปอีกนิดก็เจอกับ Alien (1979) ฉบับนิยาย ลดราคาเหลือเพียง 50 บาท ถือเป็นการปิดฉาก
    ทริปนักอ่านไปอย่างสวยงาม ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เสพหนังสือภาษาอังกฤษในราคาถูกแบบนี้ เหมือนวันนี้ รู้สึกดีใจมากที่ได้หนังสือดีๆกลับมาอ่านในราคาสบายกระเป๋าและได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพกับเพื่อนนักอ่านในสวรรค์บนดินของหนอนหนังสือ 


    ขอบใจมากนะที่ชวน



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Lucreazia (@Lucreazia)
ขอบคุณที่มารีวิวค่ะ^^ พออ่านแล้วคิดถึงกลิ่นหนังสือบวกกับกาแฟ แค่นี้ก็มีความสุขเเล้วล่ะค่ะ ไว้จะลองไปตามรอยจขบค่ะ น่าสนใจมากค่ะ
preenbanana (@preenbanana)
@Lucreazia ด้วยความยินดีเลยค่ะ <3 ไม่นึกว่ามีร้านหนังสือมือสองแบบนี้ในเมืองด้วย จนกระทั่งเพื่อนลากไปเปิดหูเปิดตา ถ้ามีเวลาต้องไปให้ได้เลยนะคะ บรรยากาศดีมากๆค่ะ
Sirikorn Kaivikai (@fb1015591372834)
อีกเรื่องคะ the moon stone
Sirikorn Kaivikai (@fb1015591372834)
มีหนังสือเรื่อง chick lit read : Sophie Kinsella และหนังสือ can you keep a secret , the boy next door ไหมคะ
preenbanana (@preenbanana)
@fb1015591372834 รบกวนลองเช็คในเว็บไซต์ของทางร้านดูนะคะ เผื่อจะมีหนังสือที่ตามหาอยู่ค่า
yangmeso (@yangmeso)
น่าไปมากๆเลยค่ะ ฮือออ ขอบคุณนะคะ
preenbanana (@preenbanana)
@yangmeso ไว้ว่างๆลองหาเวลาไปแวะเวียนที่นี่ให้ได้เลยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า > <