เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
mini storageslacrimaererum
canvas that is you
  • เจอคุณครั้งแรกที่ร้านขายของมือสองแถวอีสต์วิลเลจ ตัวสูงชะลูดกว่าใครในที่นั้น ห่มกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดและกางเกงสแล็กทรงคุณลุง ตอนนั้นคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าคุณแค่เชยหรือคิดนำหน้าคนอื่นด้วยการหวนคืนสู่อดีต คุณอ้อยอิ่งอยู่ตรงเครื่องพิมพ์ดีดสีเขียวมินต์น่ารัก ทดลองพรมนิ้วไปบนแป้นพิมพ์อย่างเงียบเชียบราวกับโลกรอบตัวไม่มีความหมาย แม้จะถูกคนแปลกหน้าลอบมองเป็นรอบที่ยี่สิบ คุณก็ยังไม่รู้ตัวและตั้งอกตั้งใจพิมพ์ตัวหนังสือล่องหนไปบนอากาศ ริมฝีปากที่ผมไม่เคยเห็นบนใบหน้าใดในนิวยอร์กหรือตลอดชีวิตนี้ขยับขานถ้อยคำไร้เสียง หากตอนนั้นคุณไม่เงยหน้าขึ้นมาปุบปับเหมือนร่วงหล่นจากภวังค์สูงลิบ ผมอาจกลายเป็นคนบ้าที่ทำให้ลูกค้าคนอื่นหลอนเพราะยืนจ้องคุณนานเกินไป อยากวาดรูปคุณเหลือเกิน ผมคิด ยื่นมือข้ามโต๊ะวางสินค้าไปหาคุณแล้วเอ่ยคำว่า “สวัสดี” อย่างกับเซลส์แมน ไม่ก็นายเอจากหนังสือสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น คุณสัมผัสมือตอบ ปลายนิ้วเย็นเฉียบเหมือนอากาศปลายฤดูใบไม้ร่วง 




    “พาร์สันส์” ผมตอบคำถามคุณ “วิจิตรศิลป์”
    “จูลิยาร์ด” คุณตอบกลับ “เปียโน”

    เราแลกเปลี่ยนคำว่า ว้าว ให้กันและกันสั้นๆ ที่เหลือคือความเงียบและข้อสงสัยว่าความกล้าของผมหายไปไหนจนหมดสิ้น และเหตุใดคุณจึงยอมตามมาดื่มกาแฟกับผม ทั้งที่ปล่อยให้มันเย็นชืดและเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นั่น เมื่อรู้สึกว่าจุดสิ้นสุดใกล้เข้ามาทุกขณะ ผมคือคนวิ่งเข้าหาดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลก “คืองี้นะ” ผมเอ่ย “ผมอยากให้คุณมาเป็นแบบวาดรูปให้” — ใครจะไปรู้ว่าคุณจะตอบว่า “เอาสิ” ง่ายดายขนาดนั้น




    กว่าจะได้วาดภาพคุณครั้งแรกก็ในเช้าวันต่อมา ตอนที่คุณซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนาเหมือนนอนหลับอยู่บนปุยเมฆ เผยเพียงเรือนผมสีดำหนา ดวงตาพริ้ม และปลายจมูกแสนน่ารักออกมาให้เห็น ผมไม่เสียเวลาร่างแบบ แต่ละเลงสีและลากแปรงไปบนผืนผ้าใบรวดเร็วเสียจนตัวเองเกือบลืมหายใจ กลัวว่ามนตร์วิเศษจะหายวับไปเมื่อคุณลืมตาขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ผมนึกถึงบทสนทนา สัมผัส สุ้มเสียง และรสเบียร์กระป๋องราคาถูกจากเมื่อคืน พยายามขบคิดหาวิธีแปรเปลี่ยนตะกอนของสิ่งเหล่านั้นให้เป็นรูปร่างและสีสัน รู้ตัวอีกทีก็เห็นคุณผุดลุกขึ้นนั่ง ท่าทางยังไม่ตื่นดีจากสีหน้า แต่มีสติมากพอจะถามผมว่ากำลังทำอะไร แน่นอนอยู่แล้วว่าคุณคงไม่ค่อยเข้าใจนักเมื่อได้ยินคำตอบ ผมไม่ได้วาดรูปคุณเสียทีเดียว ผมยอมรับ ผมวาดความรู้สึกเมื่อได้อยู่กับคุณ




    “มือผมเหมือนช่างไม้มากกว่านักเปียโนอีก” คุณเอ่ยเป็นภาษาบ้านเกิดของผมเมื่อเรายกมือขึ้นมาเทียบกัน ปล่อยให้แสงแดดอุ่นๆ ลอดผ่านนิ้วขณะนอนเหยียดตัวอย่างเกียจคร้านบนพื้นหญ้า มือของคุณใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และสะอาดสะอ้านกว่ามือที่เปื้อนคราบสีน้ำมันของผมนัก คุณบอกว่าในวันที่เราพบกัน คุณกำลังคิดจะลาออกจากสถาบันอันทรงเกียรติที่เรียนอยู่ “ผมไม่มีพรสวรรค์“ คุณกล่าว พิจารณานิ้วมือของตัวเองที่ยกค้างไว้กลางอากาศอยู่นาน นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้เศร้าๆ ทำให้ผมนึกถึงรสขมของกาแฟที่คุณชื่นชอบ มันเป็นเฉดสีที่อยากบันทึกมันไว้บนผืนผ้าใบใจจะขาด ผมคว้ามือคุณมากุมไว้ บอกว่าอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ผมยังไม่ทันได้ฟังคุณเล่นสักครั้งเลย




    เราจูบกันเหมือนเด็กหิวโหยหลังจากคุณเล่นเพลงของใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก แม้ห้องพักของคุณจะกว้างขวางกว่าของนักเรียนทุนอย่างผมมาก เราสองคนกลับลงเอยที่โซฟาสีเบจอย่างเร่งร้อนอย่างกับนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรทำก่อนโลกจะแตก คุณกระซิบคำสองคำที่เพิ่งสบถไปเมื่อครู่ตอนเล่นพลาดที่ข้างหูของผม เพียงแต่คราวนี้พวกมันฟังดูเป็นคำร้องขอ ก่อนที่อีกเดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นคำสั่งเมื่อผมชักช้าไม่ทันใจ จนแล้วจนรอดเมื่อเราเกือบตายและฟื้นกลับมาบนพื้นไม้เย็นๆ ผมที่ยันกายขึ้นมามองดูคุณหายใจเข้าออกกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเรือแตกที่เพิ่งได้ขึ้นแพกลางทะเล แพที่ดูแข็งแรงแต่ก็ร่อแร่  คุณบอกเองแต่แรกว่าความสัมพันธ์ของเราคงไม่ต่างจากตัวเราทั้งคู่ ไม่มีอะไรเหมือนที่ตาเห็น ผมเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ส่วนคุณนั้นเป็นเจ้าหญิงบนหอคอย




    เรื่องของเรื่องคือผมไม่ได้แกร่งขนาดนั้น ไม่ใช่คนที่ยื่นมือหาคนแปลกหน้าในร้านขายของและเชื้อเชิญเข้ามาในห้องพักรูหนูอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเชื้อชาติที่ปรากฏหราบนใบหน้าของคุณ ภาษาของพ่อแม่ที่คุณพูดด้วยสำเนียงแปร่งๆ หรือว่าความโดดเดี่ยวของผมดำเนินมาถึงจุดวิกฤติแล้วกันแน่ คุณถึงได้เป็นข้อยกเว้นในวันนั้นและวันต่อๆ มา เราแบ่งปันความเศร้าสร้อยผ่านเนื้อหนังประหนึ่งใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันในหน้าหนาว (การเหยียดเชื้อชาติ ความไกลบ้าน ความข้องใจในความสามารถของตัวเอง เงินที่ไม่ค่อยจะพอ และคำถามที่ว่าตกลงเราเป็นอะไรกันแน่) แต่ละวันจบลงตรงที่ผมจะสัมผัสทุกตารางนิ้วของคุณใต้ฝ่ามือ อ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากนานกว่าที่อื่น และจุมพิตมือทั้งสองข้างของคุณเหมือนเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นค่อยเดินข้ามสะพานกลับไปที่ห้องเพื่อวาดรูปคุณ (ไม่สิ วาดความรู้สึกเมื่อได้อยู่กับคุณ)




    เพราะคุณตัดสินใจกลับไปเรียนในฤดูใบไม้ร่วง ผมถึงได้ฟังเพลงที่ไม่รู้จักชื่อหรือว่าคนแต่งอีกหน ครั้งนี้คุณเล่นที่ลินคอล์นเซนเตอร์กับแกรนด์เปียโนหลังใหญ่เงาวับ มีผู้ชมที่รู้เรื่องรู้ราวและเสียงปรบมือกึกก้องอย่างที่คุณสมควรจะได้รับ แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็เปลื้องความปีติออกยามถอดแจ็กเก็ตชุดทักซิโด้พาดเก้าอี้ สิบนิ้วพรมไปบนคีย์ขาวดำของเปียโนอัพไรท์หลังเก่าในห้องตอนตีสอง บทเพลงเรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อเหมือนตื่นเช้ามาทอดแพนเค้กกับเบคอน ผมยืนมองตาไม่กะพริบ เมื่อถามว่าเพลงนี้ชื่ออะไรและเป็นของใคร — คุณเอ่ยชื่อผมกลับมา




    สีหน้าของผมในวันนั้นคือสีหน้าตอนที่คุณเห็นชื่อตัวเอง (พิมพ์ด้วยแบบอักษร Helvetica ขนาด 24pt) อยู่บนกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างๆ กรอบรูป 48 x 24 นิ้วในนิทรรศการประจำปี คุณยังคงบอกว่าไม่เข้าใจตามเคย “นั่นคือความรู้สึกที่มีต่อผมจริงๆ เหรอ“ คุณถาม ได้เห็นแววตาแบบนั้น ผมถึงได้ตระหนักว่าตัวเองยังห่างไกลจากการคว้าจับประกายและสีอำพันในดวงตาของคุณอีกหลายล้านปีแสง 




    เราพูดคำว่ารักแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี้ ไม่ได้ทำให้หัวใจเต้นแรงเท่าตอนคุณซื้อชีสเค้กมาฝากในวันเกิด หรือตอนเราไปเลือกดูลูกหมาที่สถานรับเลี้ยงและกลับออกมามือเปล่า หรือตอนที่คุณพยายามปลูกดอกทานตะวันที่ระเบียง ไม่เท่าตอนเราทะเลาะกันเพราะผมปิดกั้นคุณออกไปและคุณยังคงกลับมา ไม่เท่าตอนคุณเป็นฝ่ายกอดผมและบอกว่าไม่เป็นไร และไม่เท่าตอนที่คุณเอ่ยคำสองคำนั้นที่ข้างหูผมเหมือนเดิมเมื่อเราคืนดีกัน “ผมรักคุณนะ จอห์น” ผมพูดออกไปเหมือนรายงานสภาพฟ้าฝน ก่อนจะถามย้ำว่าคุณไม่ลืมหนังสือเดินทางหรือเอกสารสำคัญไว้ที่ไหนใช่หรือไม่ 

    “ผมก็รักคุณ” คุณตอบอย่างบื้อๆ เดินโบกมือถอยหลังจนชนคนโน้นคนนี้




    ทุกครั้งที่ไปสนามบิน ผมจะภาวนาให้คุณกลับมา ผืนผ้าใบว่างเปล่าที่ผมกลับไปหาไม่เพียงพออีกแล้ว ความรู้สึกเมื่อมีคุณอยู่ในรูปอดีตกาลก็ด้วย ต้องเป็นคุณ ต้องเป็นคุณเท่านั้น




    จนกระทั่งวันหนึ่งคุณไม่ได้กลับมา 




    ด้วยเหตุนี้ผมจึงซื้อเครื่องพิมพ์ดีดสีเขียวมิ้นต์เครื่องนั้นและใช้มันเขียนหาคุณ ไม่มีประโยชน์เท่าไรเพราะผมไม่ใช่ทั้งนักเขียนและพ่อมดหมอผี ถ้อยคำธรรมดาๆ ไม่ใช่เวทมนตร์คาถา อย่างมากก็แค่นำใครบางคนกลับมาได้แต่บนหน้ากระดาษ ผมจนตรอกจนต้องหวนกลับไปหาผืนผ้าใบเพียงเพื่อพบว่าตัวเองวาดรูปไม่ได้อีกแล้ว ระหว่างที่นั่งบื้อใบ้ตรงหน้าความว่างเปล่าสีขาวโพลน ผมนึกย้อนกลับไปยังคืนหนึ่งที่เผลอลากนิ้วไปบนแผ่นหลังกว้างของคุณ คุณงัวเงีย ถามว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม 

    ผมเกรงว่าคำตอบยังคงเดิมเสมอมาและเสมอไป — คุณไม่ใช่แค่รูปร่าง สีสัน หรืออารมณ์ความรู้สึก

    คุณมาก่อนสิ่งอื่นใด

    คุณคือผืนผ้าใบของผม 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Chulita Malinee (@fb8944494678024)
ให้คุณเค้ามาก่อนสิ่งไหนเลย ให้เป็นผืนผ้าใบ
Nutnicha Ramasut (@fb2902595433133)
สมองเราโล่งมากเลยตอนนี้ มันว่างเปล่ามากๆ ความรู้สึกที่ไม่มีเค้าแล้ว อะไรทำนองนี้
pan. (@opacity_jeelet)
ตอนที่ศิลปินบอกรักนักเปียโนทำไมรู้เราน้ำตาซึมออกมาก มันน่าเศร้ามากเลยนะคะที่เจอ muse ของตัวเองแล้วเขาก็บินจากไป (อีกฝ่ายก็ตามความฝันของตัวเองเหมือนกันนิเนาะ) ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือเขาไม่สามารถกับไปหาผืนผ้าใบเดิมไม่ได้ เรื่องนี้เป็นจอห์นที่ี่ดูแปลกตามากเลยค่ะแต่น่าค้นหาและน่ารักเหมือนเดิม แทยงชวนกริ๊ดมากเลยค่ะ นึกภาพเขากำลังลงสีภาพชิ้นเอกแล้วต้องเป็นภาพที่สวยมากเเน่ๆเลย
slacrimaererum (@slacrimaererum)
@opacity_jeelet เราอยากเขียนคนอ่อนไหวสองคนที่รู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของที่ที่อยู่จนพวกเขามีแต่กันและกันมากเลยค่ะ ;-; เพราะงั้นเลยเสนอด้านทีี่หม่นๆ ของทั้งคู่ออกมา ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากเลยนะคะ :)