เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ทีมขี้เกียจSALMONBOOKS
01 เหตุและผลของคนขี้เกียจ










  • “Progress isn’t made by early risers. It’s made by lazy men trying to find easier ways to do something.
                                                                                                           — Robert Heinlein

    “ความก้าวหน้าไม่ได้เกิดขึ้นจากพวกตื่นเช้าหรอก มันเกิดจากคนขี้เกียจ
    ที่หาวิธีทำอะไรง่ายๆ ต่างหาก” 
                                                                                           — โรเบิร์ต ไฮน์ไลน์




             รู้ไหมว่าก่อนที่ผมจะเริ่มต้นเขียนประโยคนี้ได้ ผมเปิดเช็กอีเมลสิบแปดครั้ง เปิดเช็กโนติฟิเคชั่นในเฟซบุ๊กอีกสองสามร้อยครั้ง วาดรูปเล่นเป็นสิบๆ รูปทบทวนสิ่งที่อยู่ใน To-Do List ครั้งแล้วครั้งเล่า (แต่ไม่ได้ทำอะไรในนั้นสักอย่างหรอกนะ) พลิกหนังสือเรื่อยเปื่อยห้าหกหน้า เดินไปเดินมา จัดโต๊ะให้ตรงรดน้ำต้นไม้ ให้อาหารแมว ทำทั้งหมดเพื่อรวบรวมพลังที่จะเริ่มต้นเขียนอะไรสักทีฮึบแล้วฮึบเล่า เขียนแล้วลบบ้าง เขียนไปสองสามประโยคก็เดินไปดื่มน้ำบ้างไปรับแสงแดดบ้าง กว่าจะเขียนมาถึงตรงนี้ก็ใช้เวลามากกว่าที่คุณคิดหลายเท่า
             คุณเคยเป็นอย่างนี้ไหม เป็นคนแบบนี้บ้างหรือเปล่า
             ถึงภายนอกจะดูเหมือนว่าเราเป็นคนที่ทำอะไรได้เยอะพอควร งานนั้นก็เหมือนจะทำงานนี้ก็เหมือนจะมีส่วนร่วม แต่จิตใจภายในกลับว้าวุ่น เต็มไปด้วยความไม่อยากทำ ไม่อยากเริ่มต้น เต็มไปด้วยความอืดและเกียจคร้านเต็มไปด้วยความอยากดูซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์ก่อนสักตอนหนึ่ง (ซึ่งก็มักจะกลายเป็นห้าหกตอนทุกที)
             ทำไมเราถึงขี้เกียจกันได้ขนาดนี้?
             หากประโยคทั้งหมดทำให้คุณพยักหน้าหงึกหงัก ผมก็ขอต้อนรับสู่การเป็นสมาชิก #ทีมขี้เกียจ อย่างเป็นทางการ
             คุณรู้ไหม ความขี้เกียจอยู่กับผมมาตั้งแต่จำความได้ บางครั้งผมก็เอามันอยู่หมัด ทำลืมๆ และแสร้งสวมบทบาทคนขยันกับเขาบ้าง แต่พอเผลอทีไรได้นั่งนิ่งๆ สักครู่ ตัวขี้เกียจในใจก็จะคอยกระซิบบอกว่า “นายๆ นายพักได้นะ นายไม่ต้องทำงานหนักหรอก” หรือ “นายๆ นายจะเริ่มทำได้ยังไง นายยังคิดไม่จบเลย เดี๋ยวทำแล้วออกมาไม่ดีนะ นายจะเอาอย่างนั้นเหรอ” 
             ดูเหมือนว่าตัวขี้เกียจของผมจะมีหลายเล่ห์หลายกลเหลือเกิน มันรู้จักวิธีพูดให้ผมวางงานตรงหน้า หรือยอมแพ้ก่อนเริ่มต้นเสียทุกครั้ง มันร้ายกาจมากค่ะคุณผู้ชม  
             ผมรู้สึกว่า ถ้าจะเอามันให้อยู่หมัด ชะงัด และได้ผล ผมต้องรู้จักตัวขี้เกียจให้ดีกว่านี้
             เป็นไปได้ไหมว่าหากเรารู้จักมัน รู้วิธีพูดและเหตุผลที่มันใช้ แบ่งประเภทออกมา แล้วเราจะดีลกับมันได้ดีขึ้น
             แน่ล่ะ เราอาจไม่กลายร่างเป็นคนขยันในทันที แต่เราก็คงพอหาวิธีรับมือกับมันได้บ้าง
             จากการตัดสินใจอย่างนั้น ผมลองทดเหตุผลที่ตัวขี้เกียจใช้ชักจูงผม (ซึ่งตัวขี้เกียจของคุณก็อาจจะใช้คำพูดแบบเดียวกันนี้) รวบรวม และแบ่งประเภทได้คร่าวๆ ดังนี้






  •           ประเภทที่ 1: “ขี้เกียจเถอะ เธอเหนื่อยมามากแล้ว” หรือ “วันนี้ทำอะไรตั้งเยอะแล้ว ไม่ต้องทำงานนี้หรอกเธอ เหนื่อยยยย” เป็นความขี้เกียจแบบหาข้ออ้าง ประมาณว่าดูสิ ที่ผ่านมาช่างตรากตรำเหลือเกิน ในวันนี้ เธอ ‘ควรค่า’ที่จะได้รับการพักผ่อนดุจราชา เธอ ‘สมควร’ ที่จะได้รับสิทธิในการนอนสบายๆ ตีพุงและอ่านการ์ตูนบ้าใบ้ไม่ต้องใช้ความคิด เธอ ‘เหนื่อย’ เกินกว่าที่จะทำอะไร ‘ไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็แล้วกัน’ ตัวขี้เกียจที่ใช้เล่ห์แบบนี้จะชอบใช้เหตุผลทำนองว่าความขี้เกียจนั้นเป็นสิ่งสมควร เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่สมดุลดีแล้วกับความพยายามที่ได้ลงแรงไป
              ประเภทที่ 2: ตัวขี้เกียจที่ให้เหตุผลเป็นความสบาย พวกนี้อาจจะไม่ได้ใช้เหตุผลว่าคุณสมควรหรือไม่สมควรได้รับอะไร แต่จะชี้ไปที่กิเลสและกิจกรรมอืดต่างๆ อย่างภาคภูมิใจ เช่น “ดูสิ ที่นอนนุ่มมากเลยนะ ถ้าล้มตัวลงนอนตอนนี้จะต้องสบายมากแน่ๆ เลย” “การ์ตูนเรื่องนี้เหมือนจะสนุกมากเลยนะ อ่านแป๊บเดียวไม่เป็นไรหรอก สนุกดี จะได้มีแรงทำงานต่อไง” “วันนี้ซีรีส์เรื่องใหม่ลงเน็ตฟลิกซ์ ดูก่อนมั้ยเดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง” “นั่งเฉยๆ รวมสติก่อนมั้ยแก พักแป๊บพักแป๊บ” พวกนี้จะเชิดชูคุณค่าของกิจกรรมแสนสบาย ว่ามันช่างสนุกสุข ไม่ต้องใช้ความพยายาม ปล่อยกาลเวลาให้ไหลผ่านไป และเชื้อเชิญคุณให้เป็นพวก
              ประเภทที่ 3: ข้ออ้างแบบที่สามของตัวขี้เกียจคือการขู่ ว่าถ้าทำตอนนี้จะล้มเหลวนะ ขู่ว่าคุณยังไม่ดีพอในตอนนี้ (และทำเหมือนกับว่าในอีกห้าวันคุณจะดีพออย่างนั้นแหละ!) ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องทำงานเขียนคอลัมน์ส่งในวันนี้หนึ่งชิ้น ความยาวสองพันคำ ตัวขี้เกียจก็อาจจะพูดว่า “แก แกยังหาข้อมูลไม่ดีเลยนะ แกทำตอนนี้จะเวิร์กเหรอ จะไหวเหรอ เดี๋ยวเขียนไปครึ่งทางแล้วไม่เวิร์กก็เสียแรงเปล่าๆ ปลี้ๆ คิดให้ดีก่อนที่จะพิมพ์ลงไปเถอะ” หรือหากต้องเตรียมสไลด์ ตัวขี้เกียจพวกนี้ก็จะกันไม่ให้คุณลงไปทำงานได้จริงๆ แต่มันจะบอกว่า “แกหารูปที่ต้องใช้ให้ครบก่อนสิ เซฟเก็บไว้ รูปที่มียังดูไม่สวยนะ คัดก่อนไหม”พอรู้ตัวอีกที คุณก็ไม่ได้ทำสไลด์ หรือไม่แม้กระทั่งหารูปแล้ว คุณกลับไปหลงอยู่ในวังวนรูปสวยบนอินเทอร์เน็ตพร้อมเวลาสามชั่วโมงที่เสียไป นี่คือข้ออ้างแบบ ‘ขู่ให้กลัวล้มเหลว’




  •          ประเภทที่ 4: ตัวขี้เกียจอาจใช้เหตุผลทางพันธุกรรมหรือชีวภาพมาอ้างอันนี้อาจจะดูตลกนะ แต่ก็มีการทดลองที่สนับสนุนอยู่เหมือนกัน เป็นข้ออ้างแบบที่คุณปฏิเสธได้ยาก “ก็พ่อแม่เราขี้เกียจ เราเลยออกมาขี้เกียจ แล้วเราก็คงต้องขี้เกียจไปแบบนี้แหละ” มันอาจให้เหตุผลที่ดูข้างๆ คูๆ แบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าคุณจะ
    ปฏิเสธมันได้ง่าย
             ประเภทที่ 5: ข้ออ้างที่ผมคิดว่าร้ายแรงที่สุด และหาทางแก้ยากที่สุดคือการที่ตัวขี้เกียจมักตั้งคำถามถึงเป้าหมายกับเรา ก่อนจะเริ่มงานชิ้นหนึ่ง จู่ๆมันอาจกระซิบว่า “เฮ้ย นาย... นายเคยสงสัยมั้ย ว่าเราจะทำงานนี้ไปทำไม” “ทำงานนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาเหรอ ในภาพใหญ่น่ะ” หรือถ้าตัวขี้เกียจของคุณ เป็นนักปรัชญา คิดลึกขึ้นหน่อย มันก็อาจตั้งคำถามที่ตอบได้ยากขึ้น เช่น “นายเคยคิดไหม ว่าคนเราทำงานไปเพื่ออะไร” “คนเราทำงานเพื่อเป็นหน่วยผลิตในระบอบทุนนิยมเท่านั้นน่ะหรือ นายเคยคิดไหมว่ารายงานที่นายต้องปั่นในวันนี้แท้จริงแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลยในโลกกว้าง แท้จริงแล้ว มนุษย์เรานั้นเล็กจ้อย เป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาล วันหนึ่ง โลกก็ต้องสูญสลาย แล้วนายจะคิดว่ารายงานของนายมีความสลักสำคัญอะไรได้หรือ” แต่กูต้องส่งรายงานพรุ่งนี้ไง!!! นั่นคือความสำคัญ คุณอาจอยากตะโกนกลับไปดังๆ แต่คุณก็พบตัวเองอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและรู้สึกไร้แรงจูงใจขึ้นมาเฉยๆ

             ทั้งห้าข้อคือเหตุผลที่ตัวขี้เกียจของผมมักจะยกอ้างสร้างเรื่องให้ผมอืดอยู่บ่อยๆ—ตัวขี้เกียจของคุณใช้เหตุผลแบบนี้เหมือนกันไหม?
             หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปสำรวจข้ออ้างแต่ละแบบของตัวขี้เกียจ แล้วเราจะลองทัดทานข้ออ้างเหล่านั้นเท่าที่ทำได้ ก่อนจะร่วมกันค้นหาวิธีอยู่กับตัวขี้เกียจฉันมิตร ไม่ให้ตัวขี้เกียจทำร้ายเราจนเกินไป ในขณะที่ยังเหลือพื้นที่ให้มันได้นอนอืดอย่างสุขสบายบ้าง
             ชีวิตที่ดี ต้องทั้งอึด และทั้งอืด
             นี่คือปณิธานของ #ทีมขี้เกียจ!













Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in