เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
INDIGO,BLUElomtula
Blue things
  • ผมอิจฉาแม้กระทั่งไอควันบุหรี่จางๆ ที่ได้คลอเคลียจุดเล็กๆ ใต้ริมฝีปากของคุณ

     



    เขานั่งแกร่วในร้านกาแฟแถวหน้าโรงพยาบาล เป็นแบบนี้เกือบทุกวันจนเคยชิน ด้วยความสัตย์จริง เขาเป็นประเภทพวกที่ดื่มอะไรขมๆ เก่ง แต่แค่คิดว่ากาแฟกับช่วงเวลาหกโมงเย็นไม่เข้ากัน โดยเฉพาะหกโมงเย็นในวันที่ฝนตก ฝนโปรยลงมาพร้อมกับที่อีกฝากถนนปรากฏร่มสีเขียวหม่น เหมือนกับเมื่อห้าปีที่แล้ว ที่เขาก็เคยมานั่งในร้านกาแฟแห่งนี้ รอใครบางคนเดินออกมาจากหน้าโรงพยาบาลเพื่อแกล้งเดินเข้าไปชนและทำความรู้จัก ร่มสีเหลืองอ่อนในตอนนั้นถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาคลี่ยิ้ม

    “ไง วันนี้งานหนักไหมครับ”

    อีกฝ่ายไม่ตอบ ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เจ้าของร่มสีเขียวหม่นก็เดินผ่านเขาไปสาวเท้าก้าวฉับๆ ราวกับต้องการจะไปถึงรถให้เร็วที่สุด แผ่นหลังเล็กค่อยๆ เพิ่มระยะห่าง ปะปนไปกับกลุ่มคนหลังเลิกงาน ทว่าก่อนที่เจ้าของแผ่นหลังจะหายไปจากสายตา ก่อนที่เขาจะได้กลายเป็นมนุษย์ล่องหนถาวรไปแล้วจริงๆ เสื้อช้อปสีแดงก็ถูกใช้มาเป็นเครื่องกำบังสายฝนชั่วคราว เขาวิ่งเหยาะๆ สองสามก้าวและคว้ากุญแจรถในมือของอีกฝ่ายได้สำเร็จ

    “คราม ผมเหนื่อยแล้ว เลิกวุ่นวายกับผมสักที”
    “เดี๋ยวผมขับให้”
    “ไม่ต้อง”
    “เหนื่อยไม่ใช่หรอ เดี๋ยวผมขับให้ ฟ้าจะได้นอนพัก”

    เสียงประตูรถปิดดังปังพร้อมกับเด็กเสื้อสีแดงที่หายเข้าไปในรถของเขา ภาพฟ้า ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินไปยังฝั่งด้านข้างคนขับอย่างไร้ทางเลือก เสียงสายฝนที่โปรยปรายด้านนอกเบาลงนิดหน่อยภายในรถสปอร์ตที่เริ่มออกตัวสู่ท้องถนน ความเงียบไม่ได้ทำให้ภาพฟ้าอึดอัด แต่การมีอยู่ของอีกคนต่างหากที่ทำให้เขาต้องคอยเบนสายตาออกไปด้านนอกรถ ราวกับการจราจรติดขัดมีอะไรดึงดูดใจให้ชวนมอง

    “ฟ้าฟังเพลงมั๊ย”
    “ไม่”

    ตอบปฏิเสธแทบจะทันที และการที่เด็กข้างๆ เอาแต่เรียกชื่อเขาโดยไม่มีคำนำหน้าก็ชวนให้หงุดหงิดใจทุกครั้งที่ได้ยิน แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงยังไงคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอย่างคราม ก็ไม่มีวันเปลี่ยน

    “หิวรึเปล่า เย็นนี้อยากกินอะไร”

    ไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถาม เขาเอนศีรษะพิงเบาะรถและหลับตา นั่นอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลีกหนีเรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่อยากรับรู้ หรือรู้อยู่แล้วแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเก็บเอามาคิด




    ภาพฟ้าเวลาอยู่กับคราม ประหยัดถ้อยคำเป็นเรื่องปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนราวกับไม่มีคำๆ ไหนบนโลกถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อบัญญัติสิ่งที่พวกเขาเป็นเอาไว้ ครามก็แค่เด็กที่อาศัยบ้านของคุณหมอภาพฟ้าอยู่ ในขณะเดียวกันคนอายุมากกว่าก็ไม่ใช่คนส่งเสียเลี้ยงดูหรือเป็นผู้ปกครองของเขา ครามไม่อยากจะคิดว่าถ้าหากจุดเริ่มต้นของพวกเขามันไม่ได้บิดเบี้ยว เรื่องราวระหว่างกันมันจะดำเนินไปในรูปแบบไหน เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้เริ่มต้นเลยก็ได้ โลกอาจจะไม่มีวันเหวี่ยงเขาให้มาเจอกับคนอย่างภาพฟ้า คุณหมอผู้เฉยชาที่เปลี่ยนเด็กเกเรอย่างเขาไปตลอดกาล

    ในที่สุดครามก็เห็นถึงสาเหตุว่าทำไมวันนี้คุณหมอของเขาถึงได้เงียบผิดปกติ การ์ดใบหนึ่งร่วงหล่นลงจากแฟ้มในตอนที่เขากำลังแย่งภาพฟ้าถือของเข้าบ้าน การ์ดสีขาวสะอาดตาตกแต่งด้วยลวดลายเรียบง่าย พร้อมถ้อยคำที่ถูกเรียบเรียงอย่างสั้น กระชับ ได้ใจความว่าเป็นการเชิญเพื่อมาร่วมงานแต่งงาน

    “ผ้าใบฝากมาให้คุณใบนึง”

    ภาพฟ้ายื่นการ์ดมาให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป ทันได้เห็นเพียงแผ่นหลังบางๆ ของคนโตกว่าที่หายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง




    “ไม่คิดจะโทรมาบอกกันหน่อยหรอ”
    นั่นเป็นประโยคแรกที่ครามพูดเมื่อปลายสายรับโทรศัพท์
    “ก็ฝากแพรวาเอาการ์ดไปให้พี่หมอฟ้าแล้วไง ขอโทษนะที่เรากับเดี่ยวไม่ได้เอาไปให้ด้วยตัวเอง”
    “เรื่องสำคัญแบบนี้ คิดจะฝากแค่การ์ดหรอ”
    “ก็เรากลัวโทรไปกวนคราม”
    “เคยบอกหรอว่ากวน” สวนทันควันใส่คนขี้เกรงใจ
    “ปีสี่เรียนหนักไหม” ผ้าใบเปลี่ยนเรื่อง ครามคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไม่มีศิลปะในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาเสียเลย
    “ไม่ได้แย่” เขาตอบ “ซิดนีย์เป็นไง”
    “ก็ร้อนน้อยกว่าที่ไทย”
    “แต่งแล้วจะอยู่กับมันที่นู่นเลยหรอ”
    “อาฮะ เดี่ยวเปิดโรงเรียนสอนเปียโนให้ที่นี่ โคตรเว่อร์เลย” เด็ดเดี่ยวคือชื่อคนรักของผ้าใบ “แล้วก็ขออีกหลายๆ ทีเลยนะคราม ห้ามเรียกเดี่ยวว่ามัน”
    “สวย แตะไม่ได้เลย”
    ปลายสายหัวเราะคิกคัก “แล้วครามล่ะ กับพี่หมอ”
    “ยุ่ง” ครามห้ามปากตัวเองไม่ทัน แต่เขาเองก็ลืมไปเหมือนกันว่าผ้าใบไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่าเคยชินกับการทำเหมือนผ้าใบเป็นแก้วที่เปราะบาง ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นตัวเขาเองทั้งนั้นที่เขวี้ยงแก้วใบนี้ใส่กำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    “ครามชอบพี่หมอ”
    “อย่ามาทำเป็นรู้ดี”
    “ครามช่วยเราวันนั้น ให้ตัวเองถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน จะได้เป็นเด็กมีปัญหาแล้วก็ไปวอแวพี่หมอให้เขาช่วย”
    “ดูออกจัดๆ เลยดิ”
    “ครามไม่ได้ห่วงเราขนาดนั้นอยู่แล้ว ออกตัวช่วยเราจนโดนพ่อต่อยหน้ายับต้องมีแผนอะไรแน่ๆ”
    คนหัวหมอแค่นหัวเราะ “ทำไมกลับมาแต่งที่ไทย” วกเข้าเรื่อง “แต่ก็ดี ถ้าแต่งที่นู่นคงไม่มีปัญญาไป” แล้วก็พบว่าตัวเองก็ดันเป็นพวกไม่มีศิลปะในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเหมือนกับปลายสายอย่างเห็นได้ชัด
    “ส่วนใหญ่คนที่เรารู้จัก เพื่อนๆ ของเดี่ยวอยู่ไทย แต่งที่ไทยก็ดีแล้ว แล้วค่อยมาจดทะเบียนที่นี่เอา”
    “นี่ต้องเป็นคนเดินส่งตัวนายด้วยป้ะ”
    “แล้วเป็นครามได้ไหม” 

    เขาทิ้งสายตาไปข้างหน้า ท้าวแขนกับขอบระเบียง ปล่อยให้ลมพัดพาความชื้นจากไอฝนที่เพิ่งหยุดตกผ่านตัวเขา ผ่านความคิดของเขา ผ่านความรู้สึกของเขา ห้าปีที่เริ่มต้นและเรื่องราวหลังจากนั้น พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าไม่เหลือใครอีกแล้ว ผ้าใบไม่เหลือใครทั้งพ่อทั้งแม่ ส่วนตัวเขาถึงแม้จะเหลือพ่อ แต่ก็เหมือนไม่มี ระหว่างพวกเขาไม่ใช่ทั้งเพื่อนหรือพี่น้อง แต่จะเป็นคนแปลกหน้า ก็ดันผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะเกินไป ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือครามพยายามทำลายชีวิตของผ้าใบ ลูกติดของผู้หญิงที่พ่อเขาแต่งงานด้วย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ใจไม่แข็งพอที่จะทำลายผ้าใบให้ย่อยยับสมบูรณ์ เพราะดันมีจิตสำนึกส่วนดีมาค้านทุกอย่างเอาไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะคุณหมอภาพฟ้า หมอเจ้าของไข้ของผ้าใบคนนี้ที่ทำให้เขาสำนึกได้ว่ากำลังทำอะไรลงไป ครามเหยียดยิ้มหยัน แม้แต่ตัวเขายังไม่ให้อภัยตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ดันมีเรื่องตลกร้ายอย่างการที่ผ้าใบไม่ถือโทษโกรธความอะไรเลยจนหัวเราะไม่ออก

    “อืม”
    เขาตอบรับ ได้ยินเสียงผ้าใบกระโดดโลดเต้น
    “เจอกันวันแต่งนะ”
    “อือ”
    “งั้นเราไปแล้วนะ”
    “นี่” ครามเหนี่ยวรั้ง “ไม่ได้ห่วงไม่ได้รัก ไม่เป็นเพื่อน ไม่เป็นพี่น้อง แต่หวังดีกับนายมากๆ นะรู้ใช่ไหม”
    “คราม เราจะร้องไห้แล้ว”
    “บ้าบอ แค่นี้แหละ”เขากดวางสาย ก่อนที่ตัวเองจะเผลอพูดอะไรไปมากกว่านี้ 

    หนึ่งทุ่มกว่าๆ กับอากาศที่ฝนเพิ่งหยุดตกทำให้ครามคิดถึงรสชาติของบุหรี่ เขาพยายามสูบมันให้น้อยลงและวันนี้ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ครามพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย เขาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากนิโคติน





    มื้อเย็นผ่านพ้นไปด้วยเส้นบะหมี่ที่ถูกทิ้งไว้จนขึ้นอืด ครามยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามที่เงียบสนิทไปตั้งแต่เมื่อเย็น ใจหนึ่งอยากจะเคาะประตูแต่ดันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรหากอีกฝ่ายเปิดประตูออกมา เขาไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณหมอต้องโมโหหรืออารมณ์เสียมากกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นครามก็ยังอยากเห็นหน้า
    ที่สุดแล้วสิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็แค่เพียงกลั้นใจและเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง…




    ก๊อกๆ
    สองครั้งแรก ครามคิดว่าตัวเองหูเพี้ยน
    ก๊อกๆ
    ทว่าสองครั้งถัดมาได้ยืนยันกับเขาว่ามีใครบางคนยืนรอเขาอยู่หน้าห้องจริงๆ

    “มีบุหรี่ไหม”
    ราวกับเป็นประโยคที่ใช้ทดสอบความเป็นเด็กดีของเขา ครามลอบกลืนน้ำลาย
    “ผมเลิกสูบไปนานแล้ว”
    เขารู้ดีว่าการโกหกจิตแพทย์ดูเป็นเรื่องไม่เข้าท่า แต่ครามเองก็เคยแอบอ่านหนังสือที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะท่าทางมนุษย์หรือพวกภาษกายของอีกฝ่ายมาบ้าง เขาพยายามหลีกเลี่ยงลักษณะท่าทางที่คนกำลังโกหกส่วนใหญ่จะเป็น เพื่อพบว่า…
    “ผมขอสักมวนได้ไหม”
    ทั้งหมดนั่นใช้ไม่ได้กับภาพฟ้า ครามปล่อยให้คนโตกว่าเดินเข้ามาในห้อง ภาพฟ้าที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ภาพฟ้าในชุดนอนลายทาง ครามมองแผ่นหลังบางที่เดินไปท้าวแขนกับระเบียงห้องของเขา ก่อนจะเปิดลิ้นชักของตัวเองและหยิบสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอออกมา
    “ไม่ยักรู้ว่าฟ้าสูบ”
    “ก็...นานมาแล้วหน่ะ” คนโตกว่าตอบทั้งที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปาก ครามจุดไฟแช็กให้คนตรงหน้า บอกตามตรงว่าเขาไม่ได้อยากจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายจนทำให้ทุกอย่างอึดอัด แต่ก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่ามันทำได้ยาก ไม่มีสรรพสิ่งใดรอบตัวเขาจะน่ามองไปมากกว่านี้
    “ผม..โทรคุยกับผ้า”
    ประโยคนั้นเรียกความสนใจจากคุณหมอได้สำเร็จ ครามรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องของผ้าใบ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนคุณหมอภาพฟ้าก็สนใจเสมอ
    “พูดดีๆ กับเขาใช่ไหม”
    เสียงนุ่มเอ่ยถาม และครามพยักหน้า
    “ผมคุยกับผ้าใบดีๆ มาตั้งนานแล้ว ฟ้าไม่ต้องห่วง” นั่นอาจหมายถึงว่า ผมเปลี่ยนไปแล้ว ฟ้าไม่ต้องห่วง หรือไม่ก็ ผมเปลี่ยนไปแล้ว ฟ้าไม่สังเกตบ้างหรอ แต่ครามก็ไม่ได้พูดอะไรที่มากกว่านั้นออกมา เขาไม่อยากทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังเรียกร้องอะไรสักอย่างจากคุณหมอภาพฟ้า ครามไม่อยากเป็นแค่เด็กเกเรในสายตาอีกฝ่ายอีกแล้ว
    “ผ้าสบายดี เหมือนจะร่าเริงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วในวันแต่ง ผมจะได้เป็นคนเดินส่งตัวผ้า”
    “ก็ดีแล้ว”

    ภาพฟ้าปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอีกครั้ง เขาดูดมวลสารในมือให้ลึกสุดปอด ในแบบที่ริมฝีปากเปียกชื้นของเขาห่อตัวโอบอุ้มมวนบุหรี่เอาไว้ เกิดริ้วยับย่นบนริมฝีปากสีเรื่อ ไอควันขาวค่อยๆ พวยพุ่งไหลผ่านออกมาพร้อมกับลมหายใจ เคล้าเคลียปลายจมูกและจุดเล็กๆ ใต้ริมฝีปากของเขา ภาพทั้งหมดราวกับฉากในหนังเรื่องหนึ่งที่ถูกบันทึกผ่านสายตาของเด็กที่ยืนข้างกัน หากจะมีอะไรสักอย่างบนโลกใบนี้ที่เย้ายวนดึงดูดใจมากที่สุด ครามคิดว่ามันคงจะเป็นจุดเล็กๆ ใต้กลีบปากบางของคุณหมอภาพฟ้า เขามองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ห่อกระชับมวนบุหรี่อีกครั้ง คราวนี้...ครามรู้สึกว่าภาพตรงหน้าทำให้เขาคอแห้งมากกว่าเดิม


    ปลายนิ้วเรียวเคาะซองบุหรี่ ไม่ทันได้ปล่อยให้คนโตกว่าตั้งตัว ครามก็ต่อบุหรี่กับส่วนปลายที่ยังไม่มอดไฟดีของภาพฟ้า คุณหมอในชุดนอนลายทางหนีไม่ได้เพราะโดนแขนทั้งสองข้างของเขากักเอาไว้ ทุกครั้งที่ภาพฟ้าพยายามเบี่ยงตัวหลบครามจะกดน้ำหนักลงไปมากขึ้น นั่นหมายถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาที่ลดลงไปด้วย อากัปกิริยาที่เหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบทำให้ครามใจเต้นเป็นลิงโลด ก่อนจะดิ่งสู่ก้นเหวเมื่อภาพฟ้าขยับตัวลงน้ำหนักเบียดปลายบุหรี่ของตัวเองกับปลายบุหรี่ของเขา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันกระตุกจนเผลอปล่อยบุหรี่ร่วงหล่นจากปาก ให้ความรู้สึกราวกับเด็กอ่อนหัดที่ไม่ทันชั้นเชิงของคนโตกว่า และเพราะแบบนั้น ปลายบุหรี่ที่ยังไม่มอดไฟดีของภาพฟ้าเลยจี้เข้าที่ใต้ริมฝีปากของเขา
    ครามกุมคางตัวเองร้องโอดโอยคล้ายลูกหมาตัวใหญ่ที่กำลังครางหงิง

    “เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”

    และคนที่ถูกยัดเยียดให้ว่าเป็นเจ้าของก็ไม่ได้คิดที่จะดูดำดูดี เพราะเจ้าตัวมัวแต่สนใจข้อความที่เพิ่งเด้งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ เด็กเกเรอย่างครามที่แสร้งทำว่ากำลังเจ็บตัวอยู่สอดส่ายสายตาอย่างถือดี และพบว่าข้อความที่ว่าไม่มีอะไรนอกจากการกำหนดวาระการประชุมอะไรสักอย่าง อย่างน้อยคุณหมอภาพฟ้าก็ไม่ได้กำลังมีใครหรือคนที่กำลังคุยอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ครามก็รู้ดีว่านั่นไม่ได้ทำให้เขามีโอกาส...
    “ผมจะไปนอนแล้ว” ภาพฟ้าขยี้บุหรี่ที่หมดมวนลงกับขอบระเบียง ก่อนกำชับ “อย่าลืมทายาล่ะ”
    เพราะภาพของผ้าใบที่ถูกตั้งเป็นล็อคสกรีนของคุณหมอภาพฟ้า ตัดโอกาสเขาแล้วทุกทาง…





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in