เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
001 : ลาออกซะ ถ้าอยากรวย?
  • สวัสดีครับ ...


    ผมชื่อ “เก่า” ครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง จะว่าไปแล้วชีวิตผมก็ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป มันเป็นอะไรที่แสนจะธรรมดาเหมือนยาสามัญประจำบ้านนั่นล่ะครับ


    ช่วงชีวิตที่ผ่านมาก่อนหน้านี้... ผมเลือกใช้ชีวิตตามแบบที่สังคมบอกว่าดี เรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่เขาว่ากันว่าหางานได้ง่าย หลังจากรับปริญญาเสร็จเรียบร้อยก็ขวนขวายหาทางเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครต่อใครไม่รู้บอกว่ามั่นคง เป็นพนักงานชายหนุ่มที่เดินห้อยไปห้อยมา (หมายถึง ป้ายพนักงานนะครับ ... อย่าคิดมาก)


    ผมรู้ดีครับว่า… อีกไม่นานผมคงจะต้องต้องแต่งงาน มีลูก ตามครรลองของสังคมที่เขาแนะนำกัน และท้ายที่สุดคือการรอเวลาที่จะจมลงผืนดินเพื่อลาจากโลกใบนี้ไป


    ชีวิตคุณเป็นเหมือนผมไหมครับ?
    ชีวิตที่ “ดี” อย่างที่ “ใคร” ว่าไว้
    (เพราะแม่มไม่มีเชี่ยยอะไรเลยยยยย)


    แต่แล้ว... ผมดันค้นพบความจริงว่า... ผมไม่อยากมีชีวิตซ้ำซากแบบนั้นอีกต่อไป มันผลักดันให้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้กลายเป็นคนใหม่ที่มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ คิดดูแล้วก็คงเหมือนกับนีโอในเรื่องเมทริกซ์ที่ค้นพบวิถีชีวิตใหม่ภายใต้สังคมที่แสนจะหลอกลวงยังไงอย่างนั้นเลยล่ะครับ


    “ผมขอลาออกครับ”
    ผมพูดเสียงดัง พร้อมกับยื่นซองจดหมายสีขาวที่อยู่ตรงหน้า


    ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าผม คือ คุณชัชวาลล์  (ตัวจริงต้องมี ล ลิงการันต์) ประธานบริษัทที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะได้เจออยู่ 2 วัน นั่นคือ วันอบรมต้อนรับพนักงานใหม่ กับ วันที่ตัดสินใจลาออกนี่แหละครับ


    คุณชัชวาลล์ ส่งยิ้ม ทำเสียงทุ้มนุ่มลึก ถามผมกลับมาว่า
    “ทำไมคุณถึงตัดสินใจลาออกล่ะ?”


    นั่นสิครับ!!! คุณคงสงสัยใช่ไหมว่า ทำไมอยู่ๆ ผมถึงตัดสินใจลาออกจากงาน และกระสันครั่นคร้ามอยากจะมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตอะไรขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับคำถามนี้ ผมถือว่าทั้งคุณและคุณชัชวาลล์เป็นผู้ที่ตั้งคำถามได้ดี (เอ่อ.. ไม่ใช่แล้วมึง เขาถามเป็นพิธีเฉยๆ)


    เอาล่ะครับ... ผมจะเล่าเหตุผลทั้งหมดที่ผมตัดสินใจเดินออกจากกรอบของสังคม เรื่องทั้งหมดนี้ มันเกิดจากเหตุการณ์หนึ่งทีทำให้ผม “ตาสว่าง” กับโลกแห่งความเป็นจริง


    เรื่องของพี่กานต์ หัวหน้าผู้ใจดีของผม, เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แม่ของพี่กานต์ล้มในห้องน้ำหัวฟาดพื้น เข้าโรงพยาบาลอาการสาหัสอยู่ไม่น้อย แต่พี่กานต์ไม่สามารถไปดูแลแม่ได้ เพราะตอนนั้นแกต้องปิดโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ของบริษัทให้เสร็จ


    สิ่งทีพี่กานต์ทำได้
    คือ การเลือกโรงพยาบาลและคุณหมอดีที่สุดให้กับแม่ของแก


    แต่หลังจากพี่กานต์ปิดโปรเจ็กต์ที่ว่านี้เสร็จ แม่พี่กานต์ก็ถูกคุณหมอผ่าตัดไปแล้ว 2 ครั้ง และจากไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันแม้แต่คำเดียว เอาจริงๆ ผมเห็นว่าตั้งแต่วันที่แม่ของพี่กานต์ล้มลง แกยังไม่มีแม้แต่โอกาสได้พูดคุยกับแม่เสียด้วยซ้ำ


    พี่กานต์พูดกับผมสั้นๆ ในวันรดน้ำศพคุณแม่ของแก
    “จำไว้นะเก่า ความสำเร็จในหน้าที่การงานมันไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อไม่มีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง”


    เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่กานต์ ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับชีวิตผมบ้าง ผมจะแบกรับความจริงได้อย่างพี่กานต์หรือเปล่า? หรือมันจะกลายเป็นปมชีวิตที่ติดตัวผมไปตลอดกันแน่ ?


    ภาพตัดกลับมาที่ห้องกระจกเย็นยะเยือก...

    คุณชัชวาลล์ ยังคงรอคำตอบจากผม เสียงแอร์หึ่งๆ บ่งบอกถึงความเงียบงัน เราสองคนจ้องตากันต่ออีกประมาณ 5 วินาที ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปว่า “ผมอยากมีเวลาดูแลคนที่ผมรักครับ”


    “คุณทำงานแบบนี้แล้วดูแลคนที่คุณรักไม่ได้เหรอ”
    “อาจจะได้ครับ แต่ถ้าผมได้ทำงานที่ผมรัก ผมเชื่อว่าจะสามารถดูแลคนที่ผมรักได้ดีกว่านี้”


    เชี่ยยย… เท่สัส กูตอบอะไรไปวะเนี่ย

    ผมสังเกตเห็นแววตาสงสัยขึ้นมาในสายตาของคุณชัชวาลล์
    และแล้วคำถามที่ตามมา... มันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ
    “แล้วงานที่คุณรักคืออะไรล่ะ ?”


    หลังจากวางดอกไม้จันทน์ในงานศพแม่พี่กานต์ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าหากผมไม่อยากเป็นอย่างพี่กานต์ ผมควรทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี? ผมไม่ชอบชีวิตแบบนั้น ชีวิตที่ไม่มีเวลาดูแลคนที่เรารักและคนที่รักเรา ชีวิตที่ต้องทนอยู่กับชีวิตที่สังคมทั้งหลายกำหนดให้ โดยที่เราไม่สามารถรู้จักความหมายที่แท้จริงของชีวิต #เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆเหรอ

    ผมลองสำรวจตัวเองดูก็พบความจริงอันแสนเศร้าว่า ความถนัดเฉพาะด้านกูก็ไม่มี ฝีมือกับชื่อเสียงก็ไม่ปรากฎ นิสัยก็ไม่ใช่คนอดทนสักเท่าไร คิดไปคิดมาก็เริ่มจะเจอทางตันในชีวิต หรือเราจะต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ วะ!

    แต่เมื่อหันไปมองชั้นหนังสือที่หัวเตียง ผมค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองขึ้นมาซะงั้น!! ใช่ครับ ใช่ครับ! ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ How-To มากๆ ทุกสำนักพิมพ์ ทุกนักเขียน ทุกที่ทุกแนวหนังสือ ผมอ่านมาหมดตั้งแต่ในประเทศไทย เมืองนอก นอกเมือง ขอเพียงให้คุณบอกชื่อมา รับรองว่าผมรู้จักทุกคน #เราคือแฟนพันธุ์แท้หนังสือประสบความสำเร็จสินะ


    ว่าแต่.. มีเพื่อนผมเคยทักเหมือนกันครับนะว่า
    มึงอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้ ทำไมมึงยังไม่ประสบความสำเร็จอีกวะ


    เอ้อ ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่า ผมค้นพบเคล็ดลับข้อหนึ่งจากกองหนังสือเหล่านั้น นั่นคือ กูรูทุกคนมักจะพูดเหมือนๆ กันอยู่คำนึงว่า “จงทำงานที่รัก เดินตามความฝัน ทำสิ่งที่มีประโยชน์กับผู้คน หลังจากนั้นผลของความสำเร็จจะมาเอง” ไอ้คำพูดทำนองนี้แหละที่จุดประกายความฝันของผมขึ้นมา


    มันทำให้ผมรู้ว่า จุดเริ่มต้นของชีวิตนั้น
    เราต้องหางานที่รักของตัวเองให้ได้ก่อน


    แต่เอ๊ะ...
    แล้วงานที่รักของผมมันคืออะไรกันล่ะ?


    ผมไปนั่งค้นหนังสือ How-To ทั้งหลายเพื่อทบทวนอีกที อ้อ นี่ไง.. คำตอบมันก็คือ “เราต้องใช้เวลาทุ่มเทเพื่อค้นหาสิ่งที่เรารัก” กูรูบางคนบอกให้ขีดเขียนสิ่งทีชอบ - ไม่ชอบออกมา บางคนบอกให้ไปนั่งนิ่งๆ ค้นหาคำตอบ บางคนออกคอร์สมาให้ผมเรียนอีกด้วยความหวังดี (แต่ผมซื้อไม่ไหวหรอกครับ เพราะราคามันแพงบรรลัยเสียเหลือเกิน)


    หลังจากที่ตั้งสติกับตัวเองสักพัก ผมจึงได้คำตอบให้กับตัวเองว่า “สิ่งแรกที่เราต้องมี คือ เวลา” แต่ถ้าหากเลือกทำงานแบบนี้ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เติบโตตามหน้าที่ไปเรื่อยๆ ผมคงถูกระบบและสังคมในการทำงานกลืนกินความเป็นตัวเองไปจนหมดแน่ๆ ดังนั้น “การลาออกเพือค้นหาสิ่งที่รัก มันควรจะเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับผม” เพราะมันจะทำให้ผมได้ “เวลา” กลับคืนมา


    มาถึง ณ จุดนี้
    ผมรู้สึกภูมิใจจริงๆ กับความฉลาดของตัวเอง


    “ว่ายังไง... งานที่คุณรัก คืออะไร เปิดร้านกาแฟ, เปิดแบรนด์เสื้อผ้า เล่นหุ้น หรือว่าจะไปทำ Startup” กลับมาที่ผมที่ยังคงประจันอยู่กับคุณชัชวาลล์ ผมคิดว่า เขาคงตั้งคำถามแบบขำๆ หลังจากที่ผมสังเกตเห็นว่าหน้าตาและแววตาของเขามีความรู้สึกดูถูกนิดๆ เจือปนอยู่ (สัส กวนตีนนะมึง... ไอ้แก่)


    “เอ้อ..ผมว่าจะไป..” ผมอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้ (ที่กูจะลาออกก็เพราะจะไปหางานที่รักนี่แหละมึง) จะบอกมั่วๆไปก็คงโดนตอกหน้ากลับให้เสียหน้า (เดี๋ยวแม่มก็ต้องด่าว่าเด็กสมัยนี้คิดไม่เป็น) เอาไงดีวะๆๆๆๆๆ


    แอ็ดดดดดดดด… โชคดีที่มีระฆังช่วยชีวิตเข้ามา พี่เลขาคนงามเดินเปิดประตูเข้ามาบอกคุณชัชวาลล์ว่า “ท่านคะ อีก 5 นาทีจะมี Conference Call จากเมืองนอกนะคะ”


    คุณชัชวาลล์พยักหน้ารับหนึ่งที ก่อนที่จะหันมายิ้มแล้วบอกผมว่า “ไม่เป็นไร ยังไงผมขอให้คุณโชคดีละกัน” ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเซ็นจดหมายลาออกของผมให้อย่างว่าง่าย ไม่มียื้อ ไม่มีคำถาม ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ สำหรับพนักงานหน้าใหม่อย่างผม


    ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณชัชวาลล์ และก้าวเท้าเดินออกจากห้องทำงานของเขาด้วยความภูมิใจก่อนที่จะได้ยินเสียงไล่หลังมาเบาๆ ว่า


    “ลดา ต่อไปดูด้วยนะว่า คนที่จะมายื่นลาออกน่ะ เขาทำงานผ่านโปรฯแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ผ่าน วันหลังไม่ต้องให้มาพบผม แจ้งฝ่ายบุคคลให้ออกและจ่ายเงินได้เลยนะ ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคุย”

    “ค่ะ หนูก็ลืมคิดไปเลย พอดีเห็นน้องเขาถือซองขาวมา เลยนึกว่าเขาจะชวนท่านใส่ซองผ้าป่าน่ะค่ะ อิอิ”


    นี่พวกมึงทำให้การลาออกครั้งสุดท้ายของกู
    กลายเป็นตลกคาเฟ่สินะ สัส!


    ผมยืนหงุดหงิดสักพัก ก่อนที่จะกดลิฟท์ลงไปเก็บของที่แผนกด้านล่าง กล่าวคำร่ำลาเพื่อนร่วมงานตามมารยาท บางคนอวยพรให้ผมโชคดี บางคนก็บ่นแกมอิจฉา บางคนทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันคงเป็นธรรมดาของการลาออกจากงานที่ใครๆก็เป็นกัน แต่สำหรับผมแล้ว การลาออกครั้งนี้มันคือ "การลาออกครั้งสุดท้าย" ในชีวิตของผม


    การได้รับคำอวยพรจากพวกเขาเหล่านั้น สร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นในใจของผม นี่มันอาจจะเป็นแรงดึงดูดแห่งความสำเร็จก็ได้ ใครจะไปรู้...


    ---


    “ต่อไปนี้เราจะมารับแฟร์หลังเลิกงานทุกวันนะ”

    หญิงสาวตรงหน้าผม เธอชื่อแฟร์ แฟนสาวสุดที่รักของผมเองครับ เราตัดสินใจคบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เธอเป็นสาวสวยดาวคณะบัญชี ดอกฟ้าที่มองเห็นความดีและคุณค่าของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเก่า .. ผู้ชายงี่เง่าที่มีเพียงแต่หัวใจ


    “หืม...อยู่ดีๆ ก็มาเอาใจ วันนี้มีอะไรเหรอคะ”

    ผมตอบกลับเธออย่างว่องไว “มีข่าวดีมาฝากจ๊ะ” แน่นอนล่ะครับ ข่าวดีที่ผมเตรียมมาบอกคนรักนั้น มันมาพร้อมกับอิสระที่ผมจะมีเวลาที่ได้ดูแลเขาอย่างเต็มที่ รับรองว่าเธอต้องดีใจมาก ๆอย่างแน่นอน


    “ว่ามาจิ”
    “เก่าลาออกจากงานแล้วนะ เพิ่งยื่นไปเมื่อเช้าเอง”


    “หา...อะไรนะเก่า ทำไมถึงลาออกล่ะ” แฟร์วางช้อนตรงหน้าลง คำถามที่ตอบกลับมาอย่างห้วนๆ ตรงๆ ทำให้ผมประหลาดใจ ทำไมเธอถึงไม่ดีใจกับข่าวของผมเลย


    “เก่า...เราคบกันมากี่ปีแล้วนะ”
    “5 ปีแล้วนะเก่า”
    “แฟร์ก็อายุ 23 แล้วนะ”
    “ทำไมเก่าไม่คิดถึงอนาคตเราบ้าง”
    “อย่าทำให้เราคิดผิดได้ไหมที่เลือกเก่ามาเป็นแฟน”
    “เก่าเป็นผู้ชาย ทำไมไม่มีความเป็นผู้นำ”
    ฯลฯ


    นี่มันคนหรือปืนกลกันแน่วะ!! หลังจากได้ยิน “ข่าวดี” ของผมไป ทำไมมันถึงมีแต่ถ้อยคำพรั่งพรูออกจากปากเธอ ส่วนผมน่ะเหรอครับ ทำได้แต่นิ่งเงียบ ทำไมวันดีๆ ที่ผมคิดเริ่มต้นกับอิสระในการใช้ชีวิต กลับไม่ทำให้เธอคิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อยล่ะ?


    “แฟร์ ฟังเก่าก่อนนะ เหตุผลที่เก่าตัดสินใจลาออก เพราะเก่าต้องการจะค้นหาตัวเองให้เจอ และหลังจากที่เก่าเจองานนั้น เราทั้งคู่ก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะอยู่ด้วยกัน เก่าจะมีเวลามากินข้าวเย็นกับแฟร์ มาส่งแฟร์กลับบ้าน ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขยังไงล่ะคะ”


    “นี่ประสาทกลับหรือไง ไปโดนขายตรงเจ้าไหนล้างสมองมา”
    “ไม่ทำมาหากิน แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้”
    “เหตุผลไร้สาระแบบนี้น่ะหรอ ที่บอกว่าให้เราเชื่อใจ”

    “ฯลฯ”


    เย็นวันนั้น เราสองคนแยกย้ายกันกลับบ้าน แน่นอน ผมคงไม่ได้ไปหาแฟร์อีกนาน เพราะเธอขอร้องให้ผมช่วย“รักษาระยะห่าง” กับเธอไว้สักพัก จนกว่าผมจะกลับมาเป็นคนปกติ


    เช้าวันรุ่งขึ้น ผมหยิบมือถือ เปิด Facebook ดู ไม่มีรูปของผมใน Profile เธออีกต่อไป พร้อมกับสถานะ In relationship ที่เลือนหายไปเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า และ Status ล่าสุดของเธอสั้นๆ ที่ทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่เธอคิดกับผม



    ผู้ชายดีๆ มีแต่ในนิยาย
    แต่ผู้ชายควายๆอยู่ในชีวิตกู



    ครับ…
    ผมกลายเป็นผู้ชายตกงานและอกหักโดยสมบูรณ์


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Khon Phoot (@littleegg89.y)
สนุกค่ะติดตามอ่านนะคะ
Doungjun Roongruang (@onemoonphoto)
เขียนดี...ชอบ