เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้น--ความรู้สึกimonkey7th
"หนังสือที่กูจะเขียน เมื่อถึงเวลากูก็แค่เขียน"



  • -1- 

    แววตากลวงเปล่าไร้ภาษาสื่อ ถูกส่งออกมาพร้อมควันสีเทาทึม ไร้ซุ่มเสียงใด ๆขัดขวางจินตนาการของเราทั้งคู่ ผมไม่สูบบุหรี่ และไม่ได้มีความสุขกับควันบุหรี่ แต่ผมมีความสุขกับการมองเพื่อนเป็นสุข 

    "เป้ ถ้ามึงเขียนหนังสือได้เล่มนึงในชีวิตนี้ มึงจะเขียนอะไรว่ะ"เสียงแทรกขึ้นระหว่างการล่องลอยของความคิด ผมถามแทรกก่อนที่เราจะลืมว่ามีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ 

    ปลายมวนแดงวาบ"ไม่รู้สิ" ควันคำพูดกรุ่นท่วมกาย "ไม่รู้จะเขียนอะไร คนส่วนใหญ่คงอยากเขียนเรื่องตัวเอง แต่กูคงไม่ว่ะ"
    "ทำไมวะ" 

    "มึงคิดว่าหนังสือที่มึงเขียนมันจะมีประโยชน์เหรอ กูว่าเปลืองทรัพยากรโลกเฉย ๆ"ถ้อยคำที่มีความหมายว่า ไม่มีความหมาย ถูกเปล่งออกมา ดวงตาที่ลอยไปไกลยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาเช่นกัน 

    "แต่กูอยากเขียนวะ มันเป็นความฝัน ถ้ามึงไม่อยากเขียนมึงมีความฝันอะไรไหมวะ"
    "กูไม่แน่ใจว่าอะไรที่เป็นความฝันว่ะ มันเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในหัว หรือสิ่งที่มึงลงมือทำได้วะ ไอ้ความฝันหน่ะ" 

    "สิ่งที่ทำได้สิวะ..." ผมสวนทันควัน
    "ถ้างั้นมันเป็นความฝันได้ไง ถ้ามันเป็นจริง นิยามคำว่าฝันของมึงให้ฟังสิ" เป้พูดพร้อมบดบุหรี่ลงพื้น
     
    "ฝันมีสี่อย่างว่ะในความคิดกู ฝันอยากเป็น ฝันอยากมี ฝันอยากได้ และได้แค่ฝัน มึงมีสักฝันไหมละ"
    "กูไม่มี ความฝันสำหรับกูคือสิ่งที่วิ่งอยู่ในหัว ชุ่มชื่น ขื่นขมเมื่อนึกถึงมัน"

    "ไม่มีสิ่งที่อยากมี อยากเป็น อยากได้บ้างเหรอ"ผมถามต่อ 
    " แมสซี่ตอนเก้าขวบ ว่ามีความฝันอะไร มันบอกว่ามันฝันอยากได้ บัลลงดอร์(นักเตะยอดเยี่ยมของโลก) นักข่าวแม่งก็ถามต่อว่า แล้วทำไงถึงได้ ห่า มันบอกว่าไงรู้ไหม มันบอกว่า ผมต้องซ้อมทุกวันและเตะให้เข้าประตู เหี้ย มันง่ายเกิ้น! กูนิขำมาก ๆ คนแม่งอัจริยะมันทำห่าอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ และแม่งก็ทำได้" เป้เล่าไปขำไป
    "ก็ถูกของมันไง" 

    "ก็ใช่อะสิ แม่งอัจริยะไง""เปล่าหรอก กูว่ามันรู้ว่ามันต้องทำอะไรต่างหาก" 
    "กูก็รู้""แล้วไมมึงไม่ทำ?" 

    "ห่ามันไม่ง่ายอย่างที่พูดหรอก โลกนี้มีกี่คนที่รู้ว่าต้องทำอะไรแล้วแม่งทำได้อ่ะ""มันก็ไม่ง่ายไง ทำห่าอะไรก็ไม่ง่ายหรอกใคร ๆแม่งก็รู้ว่าไม่มีอะไรง่ายแต่คนที่ทำได้มันไม่เลิกทำไง" 

    "ช่างเถอะ ไปกินหมูกระทะกันดีกว่าเลิกพูดเถอะ ไร้สาระว่ะ"เป้ตัดบท 
     
     

     
    -2- 

     
    ผมจ้องมองหนังสือในมือ เล่มสีขาวล้วนตัวหนังสือสีดำฟ้อนท์ PJ-Standard ขนาด 45 เขียนอย่างเรียบง่าย 
     "เขียนชีวิต" สีดำแสดงหราอยู่บนหน้าปก 


    ผมค่อยเปิดบรรจงอ่าน กระดาษสีนวลตา ผมค่อย ๆ ละเลียดอ่านอย่างลุ่มหลง ปากยิ้มตามทุกตัวอักษร อิ่มเอิ่บใจ เนื้อหาในหนังสือผมรู้ก่อนแล้วละ ผมตรวจตรามันทุกอณูอย่างรอบคอบ บรรจงจับอักษรเหล่านั้นจากอากาศธาตุลงสู่หน้ากระดาษทีละคำ ๆ อย่างทะนุถนอม รักเหมือนพ่อมองลูกค่อย ๆ เกิด คลาน ยืน แล้ววิ่งไปไกลสุดตา โหยหาเมื่อไม่เห็น เจ็บปวดเมื่อสะดุดล้ม ประคบประหงมจนเติบใหญ่ 

    หน้าสุดท้ายถูกอ่านจบ และปิด จ้องมองดูปกหลังสะอาดตาอย่างภาคภูมิหนังสือเล่มแรก... ของผม 

    เป้ผมเดินมาแตะไหล่ ยิ้มให้ปากกว้างให้ โอบกอดผมจนคล้ายดินน้ำมันที่ถูกบี้รวมกันผมกอดรัด 

    รู้สึกเช่นเดียวกัน 
     


     
    -3- 

    "เรื่องความฝัน เขียนหนังสืออะไรของมึง เมื่อไหร่มึงจะทำได้ว่ะ" เป้ถามผมขณะนั่งประจันหน้าคีบหมูกระทะอย่างอร่อยปาก "หออออออ" ผมเป่าระบายความร้อนจากหมูที่รีบคีบเข้าปากประสมกับความตกใจที่เป้ถามถึงความฝัน 

    "กูก็พยายามอยู่ว่ะ" ผมตอบหลังจากเคี้ยวหมูไปได้สามสี่ครั้ง
    "มึงต้องทำไงมึงรู้หรือยัง" 

    "รู้สิ ขั้นแรกก็อ่านเยอะ ๆ อ่านทุกอย่างที่สนใจ แม้จะไม่ใช่สายงานที่เราเขียนก็ตามแล้วสักวันมันจะได้ใช้ หนังสือที่กูจะเขียน เมื่อถึงเวลากูก็แค่เขียน"
    "มึงอ่านเยอะมาก ๆ เลยเหรอ""ช่ายยย"ผมตอบอู้อี้ ๆ เพราะปลาหมึกที่ต้มใหม่ ๆ 

    "กูเคยอ่านบทสัมภาษณ์สิงโต  นำโชค นะเว้ยเด็กบุรีรัมย์จบ ป.6 แล้วเข้ากรุงเทพฯทำงานโรงกลึง ดูทีวีแล้วอยากเป็นนักร้อง เลยไปนั่งคิดว่าจะทำยังไง เขาคิดว่าเขาต้องหัดร้องเพลง นึกได้ว่าตัวเองไม่หล่อเลยต้องไปหัดกีตาร์ แล้วไปซื้อเทปเพื่อจดที่อยู่ค่ายเพลง แล้วนั่งฝึกคนเดียว แล้ววันนึงก็มีคนไปชวนออกเทปในฐานะนักกีต้าร์ จนกระทั่งได้เป็นนักร้อง" ผมเล่าอย่างตื่นเต้น
    "แม่ง ง่ายยังงั้นเลยเหรอวะ" เป้ก็ตื่นเต้น 

    "เออสิ ความฝันมันเรียบง่าย แม่งไม่ได้ซับซ้อน มึงเชื่อกู ทางเดินไปสู่ฝันก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงแต่ใจมึงนิ่งพอที่จะไปหยิบฝันมาแบกไว้หรือเปล่า"
    "กูก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่ะ ว่าแค่รู้วิธีการแล้วทำซ้ำแล้วมันจะสำเร็จ" 

    "กูก็ไม่เชื่อ"
    "อ้าว แล้วมึงจะทำทำไมละถ้าไม่เชื่อ" 

    "กูไม่รู้ว่ามันมีทางอื่นอีกไหม กูต้องลองทำเว้ย สุดท้ายจะได้ไม่ได้ก็เหมือนได้อยู่ดี....อย่างน้อยก็ได้ทำและยิ้มกับมันเมื่อนึกย้อนกลับมา"เป้นิ่งตะเกียบไม่ขยับตั้งแต่ที่เริ่มถาม ปล่อยผมจัดการถาดเนื้อถาดแรกที่ยกมาส่งอย่างเมามัน 

    "หนังสือที่มึงอ่านแล้ว กูยืมได้ไหมวะ เอาที่น่าอ่านนะอยากลองอ่านดู กูก็อยากรู้ว่ากูจะมีความฝันกับคนอื่นหรือเปล่า ถ้ากูยังไม่เจอความฝันอย่างน้อยกูก็คงได้ความรู้บ้างล่ะ"
    "เออ... เหอ เหอ" ผมตอบรับพร้อมกับหัวเราะ และร้อนแสบกับหมูที่ร้อนบนลิ้นที่กระหายของผม 
     


    -4- 

    เป้กอดรัดผมอย่างเพื่อนที่พร้อมตายไปด้วยกัน 
    "เออ ขอบใจมากนะ"คำพูดแทรกออกมาระหว่างอ้อมกอดของเรา น้ำตาผมเอ่อไหลจากความตื้นตันในผลงานและมิตรภาพที่ผมได้รับ 

    "มึงทำหน้าที่ของมึงดีที่สุดเลยว่ะ หนังสือนี้เป็นของมึงนะ"เป้พูดกับผมอย่างสั่นเครือ ผมยิ้มรับก่อนยื่นหนังสือให้เป้ 
     
    "กูดีใจกับมึงนะโว้ย ที่มึงเขียนหนังสือได้ตามที่มึงฝัน กูไม่มีอะไรจะทำให้มึงได้มากไปกว่านี้แล้ว กูถีบจนมึงทำสำเร็จ ได้สั่งสอน แนะนำมึงให้เห็นคุณค่าของความฝัน และมึงก็ทำสำเร็จ กูดีใจเหมือนมันเป็นหนังสือกูเลย" ผมพูดตบไหล่เป้ ก่อนเดินคู่กันไปหาร้านหมูกระทะร้านเดิม 
    เรายิ้มหัวเราะกับเนื้อหาหนังสือที่มีเราสองคนสถิตย์อยู่ข้างใน 


    เป้เป็นคนเขียน ผมเป็น บรรณธิการ

     
    "เฮ้ย หนังสือเล่มนี้เป็นของมึงวะ"เป้ย้ำกับผมอีกครั้ง 
     
     
     
    มันน่าชิงชังกับโชคชะตาที่เล่นกับความฝัน 
    แต่ก็อย่างที่เป้ว่าใช่ว่าทุกคนที่แค่รู้ว่าต้องทำอะไรแล้วจะสำเร็จ
    แต่บางความสำเร็จมันเกิดมาเพื่อสักคน
    ผมไม่เสียใจนะ ที่ปกหนังสือไม่มีชื่อผมเป็นคนเขียน
    ความฝันนั้นสวยงาม บางทีเราไม่ต้องทำความฝันให้สำเร็จ
    เก็บมันไว้ในหัว ชื่นชมและขมขื่นกับมันก็พอ
    สุดท้ายก็เดินลากจูงฝันอันนั้นไปกับชีวิต ควบคู่กับสิ่งที่ต้องทำ
    จนตายไปพร้อมกับมันก็พอ
    ..............................

    แค่มีฝัน ก็มีความสุขแล้ว
    ........................

     
     
    ลิง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in