เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
bemine x seriesบีไมนฟอร์อะไวล
Black Mirror (season 5, 2019)
  • กลับมาอีกครั้งกับซีรีส์จบในตอน 
    ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับด้านมืดของเทคโนโลยี 
    โดยซีซั่นห้ามีเพียงสามเรื่องราว 
    ที่ทั้งสามเรื่องราวนี้อาจจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของคนดูไปจากเดิม


    ดูที่นี่ได้ที่ Netflix: https://www.netflix.com/title/70264888 

    ขอพูดถึงความเห็นของตัวเองเมื่อดูทั้งสามตอนจบแล้ว ก่อนที่จะพูดถึงในแต่ละตอนก็แล้วกัน

    Black Mirror ซีซั่น 5 นี้ ความสนุกและความพีคมันดรอปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย แต่ก็ยังมีตอนที่เราชอบที่สุดอยู่นะ นั่นก็คือ Smithereens แม้ประเด็นจะค่อนข้างซ้ำซาก แต่ตอนนี้มัน impact กับชีวิตเราจริงๆเลยล่ะ การเล่นมือถือตลอดเวลา เหลือบมองแจ้งเตือนตอนที่ขับรถอยู่ บลาๆๆ เราว่าเป็นประเด็นที่ดีเลย ส่วนอีกสองตอนนั้นเราไม่ได้ถึงกับไม่ชอบ ถือว่าเฉยๆที่ค่อนข้างมาทางชอบละกัน มันไม่ได้พีคแบบตอนอื่นๆเลย

  • Black Mirror (Striking Vipers, 2019), B+

    แดนนี่ได้สไตรกิ้งไวเปอร์สเอกซ์เป็นของขวัญวันเกิด ซึ่งเกมนี้เป็นเกมต่อสู้เสมือนจริง ที่ผู้เล่นสามารถเข้าไปสวมบทบาทในเกมได้เลย ซึ่งเขาก็หารู้ไม่ว่าการเล่นเกมนี้มันอาจจะส่งผลกระทบกับชีวิตจริง


    การเอาเกม VR ที่ตอนนี้โลกปัจจุบันจับต้องได้แล้วมาเป็นประเด็นนี่ดีนะ ไม่มีอะไรซับซ้อนดี เพราะทุกๆคนในยุคนี้ก็อาจจะเข้าถึงได้ง่าย เพราะเกมแบบนี้มันก็เริ่มๆแมสและเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น แต่ด้วยความไม่ซับซ้อนนี่แหละ มันเลยทำให้ตอนนี้มันดูไม่มีอะไรนอกจากประเด็นอย่างว่าเลย ไม่พีคแบบตอนอื่นๆก็ว่าได้

    เราชอบประเด็นการเล่นเกม แล้วมันกระทบกับชีวิตจริง เราว่าเกมทุกเกมนั่นแหละที่มันกระทบ เราเล่นเดอะซิมส์ เราชอบสร้างบ้าน มันเลยทำให้เราชอบเดินงานบ้านและสวน ชอบเดินดูของตกแต่งบ้าน เราเล่น pubg เวลาไปไหนมาไหนเรามักจะหาจุดบอดของบริเวณนั้น หาที่ซุ่ม บลาๆๆ ใครบอกเล่นเกมแล้วไม่กระทบกับการใช้ชีวิตจริง เราเถียงขาดใจเลยนะ แต่ยังไงเราก็ต้องแยกแยะให้ได้

    อีกหนึ่งส่วนที่ดีของตอนนี้คือ Ludi Lin ที่แสดงเป็นเป็น Lance ตัวละครในเกม หล่อจนอยากให้ซีนเล่นเกมมีอีกเยอะๆเลย



    Black Mirror (Smithereens, 2019), A+

    คริสโตเฟอร์คนขับรถตัดสินใจลักพาตัวเจย์เดน ซึ่งพนักงานของบริษัทสมิเธอรีนผู้ผลิตโซเชียลรายใหญ่ที่ผู้คนติดกันงอมแงม ข้อเรียกร้องของเขาก็คือเพียงแค่ต้องการพูดสายกับบิลลี่บาวเออร์ผู้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้!


    เป็นตอนที่เราชอบมากๆในซีซั่นนี้ ตอนนี้ทำออกมาดีเลย ทำให้เราตระหนักถึงภัยร้ายจากการเล่นโซเชียลที่จะกระทบชีวิต ซึ่งมันชัดเจนมาก แม้จะเป็นประเด็นเก่าๆที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าให้ถึงผลกระทบใในหลายๆเรื่องแล้ว แต่เราว่า Black Mirror ตอนนี้นี่แหละที่ทำประเด็นนี้ให้กลายเป็นเรื่องที่ impact กับเรามากที่สุด ก็อยากให้คนอื่นรู้สึกเหมือนเราด้วยนะ

    เชื่อว่าทุกคนเข้าถึงประเด็นนี้ได้ การก้มหน้ารูดๆไถๆมือถือตลอดเวลา ไม่เงยหน้ามามองท้องฟ้า แม้กระทั่งขับรถเมื่อเห็นแจ้งเตือนก็ยังเหลือบไปมอง บลาๆๆ สิ่งเหล่านี้ตัวเราเองทำหมดเลย แล้วซีรีส์มันก็เล่าผลกระทบของการกระทำเหล่านี้ได้เห็นภาพยิ่งขึ้น พอดูจบเราก็เหมือนกับโดนตบหน้าไปหนึ่งฉาดหนักๆเลย


    เราดูสมิเธอรีน 2-3 รอบ ก็คือเกลียดดดการใช้เพลง Can't Take My Eyes off You ในตอนท้ายเรื่องอ่ะ ความทรงจำของเราคือเพลงนี้ประกอบหนังเรื่อง 10 Things I Hate About You (1999) ที่เรารัก แต่สมิเธอรีนคือดาร์กไป แต่เพลงมันก็สื่อถึงซีรีส์นะ can't take my eyes from you ซึ่ง you ก็คือมือถือเลยจ่ะ

    ตรงนี้มีสปอยล์ ขอพูดถึงการยิงในรถและการเข้าระบบ Persona ของแม่คริสเทน แล้วซีนต่อไปก็น่าจะมีข่าวว่ามีคนยิงตาย แต่คนก็ไม่ได้ give a shit อะไรมาก แค้เปิดแจ้งเตือนขึ้นมาดู แล้วก็มูฟออน ใช้ชีวิตของตัวเองต่อๆไป ผู้เป็นแม่ของคริสเทนก็เหมือนกันไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนร้องขอให้ส่งพาสเวิดของลูกให้เธอ เมื่อเธอได้พาสเวิดลูกมา ก็เข้าระบบ เพียงเพื่อต้องการรู้ว่าลูกตัวเองฆ่าตัวตายทำไม ก็คือคนเราอ่ะต่างใช้ชีวิต เรื่องที่เกิดขึ้นในโซเชียลก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เปิดแจ้งเตือนขึ้นมาดู เท่านั้นแหละจบ แต่มันก็พีคตรงนี้คริสโตเฟอร์เปิดแจ้งเตือนขึ้นมาดูระหว่างขับรถ แล้วดันทำให้รถชน ทั้งเมียตัวเองและคนขับรถอีกคันที่เมาตายทั้งคู่ ทุกคนโทษคนเมา แต่ไม่โทษคริสโตเฟอร์ที่ดูมือถือตอนขับรถ มันเลยเป็นความรู้สึกผิดติดตัวเขามาตลอด นั่นแหละ แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็เกิดขึ้น


    Black Mirror (Rachel, Jack and Ashley Too, 2019), B+

    เรเชลชื่นชอบแอชลี่ย์ที่เป็นนักร้องป๊อบสตาร์ จนวันหนึ่งเธอได้หุ่นแอชลี่ย์ทูที่เป็นเหมือนตัวแทนของนักร้องสาวคนนี้มา ซึ่งเบื้องหลังชีวิตของแอชลี่ย์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย


    นี่คือเมจเซจถึงวงการบันเทิงที่แสวงหาผลประโยชน์จากตัวศิลปิน โดยที่พวกเขาละทิ้งความเป็นตัวตนที่แท้จริงของศิลปินนั้นๆไป ว่าง่ายๆเราว่ามันคิดการละเมิดสิทธิอีกแบบหนึ่งนะ ศิลปินถูกปิดกั้นความเป็นของตัวเอง เพียงเพราะมีใครบางคนต้องการกระแสนิยมและทุกอย่างก็เป็นเรื่องของธุรกิจ

    แล้วยิ่งการที่ไมลี่ย์มาแสดงเอง ก็ยิ่งดูเหมือนมีอะไรที่จะเป็นแบบในซีรีส์จริงๆ
  • อ่านในเฟซบุ๊ก: http://bit.ly/2WnUtVd
    อ่านใน Minimore: http://bit.ly/2ZeFwGG
    อ่านใน Twitter: 
    http://bit.ly/2WjtBpi



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in