เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพื่อนสนิทจากจิตใจxiaosorn
โรคซึมเศร้า เอ๊ะ!! จริงหรือเล่นกันนะ
  • สวัสดีค่ะ
    เราคือ ลอศอ คนที่เคยเขียนบันทึก'เพื่อนสนิทจากจิตใจ'หรือบันทึกเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า 'โรคหรือเพื่อน'ที่เราเป็นอยู่
    และเนื่องจากบันทึกของเรื่องเพื่อนสนิทจากจิตใจ เราได้ลบทิ้งเกืือบหมดแล้ว วันนี้31/12/2559 เราจะเริ่มเขียนกันใหม่ จะมาแนะนำตัว และชื่อเล่นจริงๆของลอศอกันค่ะ

    ชื่อเล่นจริงๆว่าลูกศรค่ะ เพื่อนๆเรียกศร อายุ17ปี ตอนนี้เรียนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่จังหวัดๆหนึ่งค่ะ เป็นคนชอบวาดรูป ขีดเขียนโน่นนี่ และที่สำคัญเมื่อ1ปีที่แล้ว เราได้กลายเป็นผู้ป่วยMDD (Major Depression Disorder) อย่างเต็มตัว โรคนี้หรือที่คนไทยเรียกว่า โรคซึมเศร้านั่นเอง

    "โรคซึมเศร้า เอ๊ะ!! จริงหรือเล่นกันนะ"
    รู้ไหมคะ? ตอนเราป่วยใหม่ๆ เราบอกเพื่อนที่เราไว้ใจทุกคนเลยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เพื่อนบางคนก็เชื่อค่ะ แต่สัมผัสได้ว่าเชื่อไม่หมดใจ บางคนก็คิดว่าเราล้อเล่น โรคซึมเศร้าไม่มีจริงหรอก ในส่วนนี้เราก็ไม่ตอบอะไร แต่ที่โชคดีที่สุดคือเพื่อนที่เราบอกทุกคนไม่มีใครแสดงท่าทีรังเกียจเราเลยค่ะ

    คงเป็นเพราะว่าก่อนจะป่วยและไปหาหมอ เราเป็นคนที่ขี้เหวี่ยง ขี้วีน เจ้าอารมณ์ เศร้าง่าย และพยายามหัวเราะบ่อยๆ แต่บางทีก็พยายามแสดงออกให้เห็นว่าเป็นคนเฟรนลี่ ตลก ทั้งๆที่ข้างในหนะไม่ใช่เลย เราเป็นคนที่ขี้น้อยใจ เจ้าอารมณ์เอามากๆ แถมยังกลัวการเข้าสังคมกับคนแปลกหน้าอีกต่างหาก

    อ่า ออกทะเลไปแล้ว กลับมาที่เรื่องโรคซึมเศร้า เอ๊ะ มันมีจริงๆหรือมีเล่นๆกันนะ? คำตอบคือมีจริงค่ะ ไม่ได้ป่วยอำๆ ไม่ได้ป่วยขำๆ สำหรับเรามันเป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ทางเลือกที่ใครเลือกที่จะเป็นก็ได้ และที่เป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่คือ ถ้าคุณเป็น คุณต้องทรมานกับอาการของโรคเกือบทุกลมหายใจที่มี ตั้งแต่นอนฝันร้าย นอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาด้วยความหดหู่ ผลข้างเคียงของยา เช่นง่วงซึม ไม่อยากอาหาร ยาบางตัวทำให้ซึมเศร้า จนไปถึงการสู้กับความคิดอยากตายหรือหายไปทุกวินาที

    แล้วจะรู้ได้ยังว่าตัวเองป่วยหรือมีอาการของโรคนี้รึเปล่า? คำแนะนำของเราคือ อยากให้ไปพบจิตแพทย์เลยค่ะ เพราะแค่เครียดเราก็สามารถไปขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ได้แล้วค่ะ แล้วอีกอย่างคนที่พบจิตแพทย์หรือหมอโรคจิตเนี่ยไม่หมายความเขาบ้า สติไม่ดีหรืออะไรทั้งสิ้น คือเขาป่วยค่ะ เหมือนเป็นไข้ก็ต้องไปหาหมอไงหละ ต้องกินยา ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิต ถ้าถามว่าแล้วคนเป็นไข้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมยังไงแค่กินยาแล้วก็หายไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เลยค่ะ คนเป็นไข้ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น หมั่นกินยาให้สม่ำเสมอ มันเป็นพื้นฐานของพื้นฐานเลย ถ้าอยากจะหายหรือดีขึ้นจากโรคสักโรค

    การไปพบหรือปรึกษาจิตแพทย์เป็นอย่างไร? ให้นึกถึงหนังฝรั่งค่ะ นึกถึงห้องตรวจห้องหนึ่งที่มีหมอนั่งอยู่ แล้วเราก็เข้าไปนั่งหันหน้าเข้าหาหมอ สิ่งที่เราควรเตรียมคือค่ารักษา ปรึกษา และคำพูดที่จะพูดกับหมอ แต่ถ้าคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ก็รอหมอถามเลย เพราะถ้าไม่กล้าพูดหมอก็จะเป็นคนชวนคุยเอง แต่ที่สำคัญขอให้เปิดใจ ไม่ต้องกลัวว่าหมอจะเอาเรื่องของเราไปพูด เพราะหมอคนแรกที่รักษาเราบอกว่า จรรยาบรรณของหมอคือไม่เอาเรื่องของคนไข้ไปพูดที่อื่น

    ยา? ถ้าเป็นโรคซึมเศร้า อาจจะได้ยาต้านเศร้ากลับมาค่ะ เอฟเฟคหรือผลข้างเคียงของยาที่ศรเคยเจอคือ ทำให้ซึมเศร้า กินน้อย นอนเยอะ ง่วงซึม ส่วนตัวศรกินยาต้านเศร้าตัวนึง เป็นยานอก รู้สึกจะเม็ดหละหลักร้อยค่ะ (อย่าตกใจนะ อย่างที่บอกมันเป็นยานอกมันเลยแพง) ตอนแรกที่กิน คิดว่าเม็ดเล็กนิดเดียวมันจะได้ผลเหรอ ปรากฏว่านอนแบบเหมือนซ้อมตาย พยายามจะลุกขึ้นมา พยายามจะพูดแต่ก็พูดไม่รู้เรื่อง ง่วงมาก ร่างกายบังคับให้นอนนิ่งๆ เพราะตอนนั้นก่อนกินยาไม่ได้นอนเต็มอิ่มมานาน แถมฝันร้าย ผีอำ แต่พอได้ยาชีวิตก็ดีขึ้นนิดหน่อย

    ดีขึ้นแล้วหยุดยาเองดีไหม? คำตอบแบบไม่ใช่คำแนะนำเลยคือ อย่าหยุดยาเอง เท่าที่เห็นมามันจะทำให้อาการหนักขึ้นค่ะ จำไว้นะ ว่าอาการที่เราเป็น เราไม่ได้คิดไปเอง มันใช้ศาสนาแก้ไม่ได้ นอกจากการปล่อยวาง ช่างมัน แต่ก็นะ เราช่างมันได้แค่ส่วนของสภาพแวดล้อมเท่านั้นเอง ในส่วนของสภาพกายที่สารเคมีในสมองมันพังเนี้ย ยังไงเราก็ต้องกินยาปรับสารเคมีค่ะ

    แล้วค่ารักษาหละ? ในส่วนนี้ เราอาจจะให้คำตอบได้ไม่มากหรือเต็มปาก เพราะผู้ปกครองเราเป็นคนจัดการให้ค่ะ แต่เท่าที่รู้สามารถใช้สิทธิ์30บาทได้ค่ะ ส่วนของโรงพยาบาลเอกชนจากแหล่งข้อมูลจะอยู่ที่ 1500-3000บาทค่ะ

    สุดท้ายนี้
    อยากให้ทุกคนลองไปพบจิตแพทย์ดูนะคะ อย่างว่าไม่ต้องรออาการหนักแล้วไปหาก็ได้ค่ะ แค่เครียดก็สามารถไปได้แล้ว แล้วอีกอย่างคนที่คิดว่าจะป่วยลองสังเกตตัวเองดูว่า มีอาการทางใจแปลกๆไปรึเปล่าในระหว่าง2อาทิตย์ จากที่เราเคยอ่านมา จุดสำคัญมันอยู่ที่ระยะเวลาของความผิดปกตินี่แหละ
    มีอะไรแปลกไปตัวเราย่อมรู้ดีค่ะ อย่าเอาความคิดของคนอื่นมาตัดสินตัวเอง อยากไปหาหมอก็ไปค่ะ ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มไม่ไหวแล้วยังไงก็ควรไป คนเราอดทนไปตลอดไม่ได้ ดูแลร่างกายตัวเอง ดูแลใจคนอื่น แล้วอย่าลืมให้มาใจดีกับตัวเอง อ่อนโยน รักและให้อภัยตัวเองกันบ้างนะคะ

    ปล. เราเป็นแค่นักเรียนนักศึกษาไม่มีความรู้เรื่องทางการแพทย์มากนัก ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in