เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ROMANTIC MOVIEs REVIEWMoschan Nutthapat Suma
รีวิว : WELCOME TO SWEDEN (SERIES SEASON 1 AND 2)
  • คะแนนรวม = 8/10

    =====================================================
    บท : 2.5/3
    เทคนิคการถ่ายทำ : 2/3
    การแสดง : 2/2
    เพลงประกอบ : 1.5/2
    =====================================================

    ห่างหายจากการเขียนรีวิวไปเนิ่นนานแต่จริงๆ ก็ดูหนังอยู่ตลอดไม่ขาดสายนะจ้ะ เรียกว่า ว่างเมื่อไหร่ก็ดูทันทีไม่ทำมาหากิน ฮาๆ ในบรรดาหนังที่ดูก็มีชอบบ้าง เฉยๆ บ้าง หรือบางเรื่องก็รู้สึกว่า อืม...หรอ...จ่ะ เป็นอันรู้กัน โดยปกติแล้วเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบดูซีรี่ย์เท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่ามันกินเวลามากๆ เพราะถ้าดูก็อยากจะดูให้มันรวดเดียวจบ แล้วพอรวดเดียวจบมันก็ไม่จบไง เพราะซีรีย์ส่วนใหญ่จะทิ้งปมเล็กๆ ไว้เผื่อว่าหากมันเกิดดังขึ้นมาจะได้สร้างภาคต่อไปอี๊กกกก แล้วถ้าเราซวยไปแจ็คพอตแตกกับซีรี่ย์ดังๆ ก็เป็นอันว่าความทรมานในการรอคอยมาเยือนชีวิตคุณแล้ว

    แต่มันก็มีข้อยกเว้นสำหรับคอหนังอย่างเราๆ เสมอ ในวันที่ไม่รู้จะดูอะไรแล้วจริงๆ เราก็มักจะไปเจอขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในถ้ำอันมืดมิด ช่วงนี้เรากำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนภาษาสวีดิชพอดี จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเราน่าจะลองหาหนังหรือซีรี่ย์มาดูเพื่อจะช่วยให้การเรียนมันน่าสนุกขึ้น เหมือนที่ใครๆ ชอบบอกว่าเวลาต้องการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ให้ดูเริ่มจากดูหนังฟังเพลง แล้วก็...ปิ้ง! ไปเจอซีรี่ยเรื่องนี้พอดี Welcome to Sweden หรือ Välkommen till sverige (ร้อนวิชามากกก) บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีซับ ทีนี้เลยได้ฝึกทั้งภาษาอังกฤษและสวีดิชไปทีเดียวรวด เอาล่ะ ไม่พูดพล่ามทำเพลง พร้อมออกสตาร์ทหรือยังจ้ะ Är du redo att börja??!! 

    #PLOT

    ซีซั่น 1 ว่าด้วยด้วยเรื่องราวของ บรูซ อีวานส์ (รับบทโดย Greg Poehler) หนุ่มนักบัญชีของคนดังชาวอเมริกันที่ตกหลุมรักสาวสวีดิช เอ็มม่า วีค (รับบทโดย Josephine Bornebusch) และตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาสวีเดนตามแฟนสาว ถึงแม้ว่าชาวสวีเดนส่วนมากจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีแต่ด้วยวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันทำให้บรูซต้องเผชิญกับเรื่องราววุ่นวายมากมายที่ทำให้ทั้งสุขและทุกข์ จนบางครั้งเขาก็ต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เขาเลือกที่จะทิ้งชีวิตอันแสนรื่นรมย์ในมหานคนนิวยอร์กมาอยู่สต็อกโฮมเป็นความคิดที่ดีแล้วจริงๆ หรือ 

    ซีซั่น 2 เมื่อมีชีวิตคู่ บทสรุปของคนส่วนมากก็คือการแต่งงาน แต่จะทำอย่างไรเมื่อสังคมสวีเดนนั้น ไม่ถือว่าการแต่งงานคือประเด็นหลักโดยเฉพาะกับเอ็มมาผู้ซึ่งไม่นับถือศาสนาและเชื่อว่าชีวิตคู่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแบบแผนอย่างอเมริกันชน บรูซจะขอเอ็มมาแต่งงานได้สำเร็จหรือไม่ เธอจะตกลงมั้ย และครอบครัวที่แตกต่างกันของทั้งคู่จะต้องเผชิญหน้ากันอย่างไร ในซีซั่นนี้จะเพิ่มความป่วนขึ้นคูณสอง
    #REVIEW
    -โลกที่สวยงามคือโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง-
    เริ่มต้นเรื่องมาแน่นอนว่าจะมีมุขตลกขำขันแทรกเหมือนซิดคอมบ้านเรา การเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่มาต่างบ้านต่างเมืองของบรูซนั้นเต็มไปด้วยคัลเจอร์ช็อค ทั้งการสวมกอดของผู้ชายในการทักทาย การชนแก้วสไตล์บึ้งตึงแบบไวกิ้ง การแก้ผ้ากระโดดน้ำ เปลือยแบบชายๆ ในซาวน่า อาหารการกิน หรือแม้แต่ภาษา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่แปลกและแทบไม่มีอะไรเหมือนกันกับวัฒนธรรมอเมริกันที่เขาคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ทำให้เราได้เห็นการเผชิญของคนๆ หนึ่งเมื่อต้องย้ายถิ่นฐาน มันเต็มไปด้วยความน่ารักน่าหยิก บางทีก็อาจจะชวนปวดหัวไปบ้าง แต่สิ่งที่จะทำให้เราข้ามผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้นั่นคือ การยอมรับความแตกต่างและพยายามปรับตัว เราอาจไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับทุกอย่างไปเสียหมด เพียงแค่ทำใจให้เป็นกลางไม่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองจนมากเกินไปและมีความสุขกับปัจจุบัน เพราะโลกที่สวยงามคือโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง

    -กำแพงภาษา-
    แน่นอนว่าเราจะลืมประเด็นนี้ไปไม่ได้ แม้ว่าคนสวีเดนส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่เขาก็มีภาษาประจำชาตินั่นคือภาษาสวีดิช และแน่นอนนี่คืออุปสรรคก้อนใหญ่ที่คนต่างบ้านต่างเมืองที่ย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ต้องเผชิญ ถึงแม้ว่าบรูซจะพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่แต่อย่าคิดว่าเขาจะรอดจากปัญหานี้ไปได้ (แล้วลองคิดสภาพตัวเองที่ภาษาอังกฤษก็งูๆ ปลาๆ ภาษาไทยไม่แข็งแรง ยิ่งสวีดิชยิ่งด้อยค่าเลยจ้า) ทุกอย่างในสวีเดนนั้นเป็นกฏระเบียบและแบบแผนของมัน ทั้งการสมัครงานที่จะมีองค์กรสำหรับดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ การสอบใบขับขี่ และอื่นๆ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องเพิ่งทักษะทางภาษา แม้บรูซจะเข้าเรียนคลาสภาษาแต่นั่นก็ไม่เพียงพอหากเขาไม่เปิดรับมันอย่างจริงใจ เพราะการสื่อสารเป็นประตูบานแรกสู่สังคม มนุษย์เราสร้างสังคมขึ้นมาโดยมีพื้นฐานคือการสื่อสารระหว่างกัน นั่นหมายความว่าถ้าคุณต้องการจะก้าวผ่านอุปสรรคก้อนนี้ไปให้ได้ คุณต้องเปิดใจ พร้อมที่จะเรียนรู้ ทุ่มเท และสื่อสารความเป็นคุณออกไปให้ได้ เมื่อทำได้กำแพงก็จะค่อยๆ ทะลายลง

    -ประเด็นทางสังคม-
    ยอมรับเลยว่าซีรี่ย์เรื่องนี้ตีประเด็นทางสังคมออกมาได้น่ารักน่าตีมากๆ คือมันไม่ใช่ตลกตุ้งแช่แบบบ้านเรา แต่คือจะค่อยๆ เพิ่มเลเวลขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่แค่ยิ้มอ่อน ยิ้มกว้าง ไปจนถึงหัวเราะออกมาก๊ากๆ ทั้งเรื่องหลักคิดของชีวิตคู่ การแต่งงาน ศาสนา การเกี้ยวพาราสีของหญิงชาย ความเท่าเทียมของผู้ชายผู้หญิง การทำงาน ครอบครัว และอีกมากมาย คือประเด็นมันเยอะมากจริงๆ จะให้รวบตึงทั้งสองซีซั่นมาพูดก็คงไม่หมดง่ายๆ จะยาวเกินไปเสียเปล่า พูดง่ายๆ เลยก็คือ เราจะได้เห็นความแตกต่างระหว่างสังคมอเมริกัน (ที่เอาจริงๆ แล้วเราก็ตกใจที่มันคล้ายกับสังคมไทยเอามากๆ) และสังคมสวีเดนผ่านตัวละครทั้งสองครอบครัว แน่นอนว่าเอาจริงๆ มันวุ่นวายสุดๆ แต่เราก็จะได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง ที่อาจเปิดโลกทัศน์ของใครหลายๆ คนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเรามาแล้ว

    -ทางออกของปัญหาที่มีพื้นฐานคือความรัก-
    ทุกปัญหามีทางออกเสมอ คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้ เราก็คิดว่าจริง หลักๆ แล้วทางออกของปัญหามันมีอยู่สองอย่าง คือ วิ่งชนมันหรือไม่ก็ปล่อยมันไปเสีย เพราะมันก็แค่ปัญหา เราค่อนข้างแฮปปี้มากๆ ที่ได้เห็นตัวละครอย่างบรูซเผชิญกับปัญหาซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ทั้งอดีตเพื่อนร่วมงานที่เห็นแก่ตัว อดีตกิ๊กสาวที่มีความหื่นกระหายในตัวเขาสูงมาก น้องแฟนสุดป่วน พ่อแม่หัวโบราณ เพื่อนใหม่ที่เกินคาดเดา หรือแม้แต่แฟนสาวที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่เขาต้องเจอนั้นจะทุลักทุเลแค่ไหนสุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านั้นบนพื้นฐานของความรักที่มีต่อเอ็มมา มันไม่ใช่แบบเพราะฉันรักเธอฉันเลยทำได้ทุกอย่างหรอกนะ แต่มันคือ เพราะฉันรักเธอ ฉันเลยต้องพยายามเข้าใจและยอมรับ นี่แหละที่ทำให้ซีรี่ย์เรื่องนี้กินใจเราจนดูรวดเดียวจบทั้งสองซีซั่น

    #COMMENT

    มาถึงพาร์ทที่จะระบายความปลื้มปริ่มที่มีต่อซีรี่ย์เรื่องนี้เสียที ก่อนอื่นเราชอบการถ่ายทำในสถานที่จริงอะ มันให้ความรู้สึกเรียลมากๆ ไม่ใช่ฉากหมู่บ้านจัดสรรค์แบบซิดคอมบ้านเรา ก็พอเข้าใจได้ว่าอาจจะใช้งบในการถ่ายทำมากกว่าแต่คือมันทำให้เราได้เห็นความสวยงามของทิวทัศน์บ้านเมืองเขา มันทำให้เราเพลินไปกับบรรยากาศคล้ายๆ หนังเกาหลีที่ไม่ใช่ขายแต่ความสนุกของหนังแต่มันแทรกการโปรโมทท่องเที่ยวไปในตัวด้วย ยังมีเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัวที่สวีดิชเอามากๆ และก็ปรับเปลี่ยนไปได้ตามสภาพอากาศ ที่สำคัญเรายังได้เห็นตัวละครใส่เสื้อผ้าซ้ำอะ ซึ่งมันเป็นรายละเอียดที่แบบ เออ...ชีวิตจริงมากๆ มันจะมีสักกี่คนที่ในเดือนๆ หนึ่งใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำกันเลย มีมั้ยไหนยกมือสิ?
    ต่อมาคือเรื่องบท เราประหลาดใจอย่างหนึ่งที่ว่าเราเข้าใจมุขเกือบทั้งหมดของเรื่องนี้ ซึ่งบางอย่างมันไม่ใช่ว่าจะขำท้องแข็งตุ้งแช่เลยอะ บางทีมันตลกร้ายก็มี แต่คือเข้าถึงได้มากๆ แบบเป็นคอมมาดี้ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ตัวละครไม่ใช่คนที่หวือหวาหรือมีอำนาจทางสังคมจนเกินงาม ตัวละครมีมิติมาก อย่างพระเอกนี่ถึงแม้ตอนอยู่นิวยอร์กจะมีงานการที่ดีแต่ก็มีเพื่อนร่วมงานเฮงซวย (ซึ่งคิดว่าหลายๆ คนมีประสบการณ์เช่นนี้) ฮาๆ แล้วคือพอมาอยู่สวีเดนก็ต้องเจอปัญหามากมาย ทั้งๆ ที่พื้นฐานคือคนที่มีการศึกษาดี ฉลาด ลองคิดว่าถ้าเป็นซีรี่ย์เอเชียพระเอกคงแสดงความเก่งกาจขึ้นมาจนเอาชนะใจคนรอบข้างได้ในที่สุด แต่นี่ไม่ใช่ พระเอกมันมีความขี้แพ้อะ มีความสับสน มีความไม่เอาไหน ที่สำคัญในตอนจบมันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับตัวพระเอกได้แบบเบ็ดเสร็จนะ จากตอนแรกที่พ่อแม่เอ็มมาไม่ค่อยชอบตอนท้ายๆ ก็แบบเออ...ไอ่นี่มันก็โอเคดีนิ ไม่ใช่ว่าเอ้ย...ผู้ชายคนนี้ที่แท้มันคือทองเนื้อเก้า! เริ่ดสุดในสามโลก! อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ส่วนเอ็มมาถึงจะเป็นสาวสวีดิชที่มีการมีงานทำ เป็นเวิร์คกิ้งวูเมน หัวสมัยใหม่เอามากๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเพอร์เฟ็กซ์ นางก็มีความสติแตก ความเพี้ยน ความอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และน่ารักในบางมุม คือเป็นผู้หญิงที่จับต้องได้จริง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ได้หวานซึ้งหยดย้อยปานจะกลืนกิน มีทะเลาะ มีด่ากันไอ่โง่อิบ้า มีอารมณ์แบบเอาจริงดิ! คือมีมุมที่อีกฝ่ายเผยออกมาแล้วอีกคนต้องอึ้งจนต้องหาทางตะล่อมบอกว่า เธอๆ เราว่าที่เธอทำมันไม่ค่อยโอเท่าไหร่นะ คือเราชอบความสัมพันธ์แบบนี้มาก มากจริงๆ ตรงนี้เอาใจไปเลยสำหรับคนเขียนบท 
    ส่วนนักแสดงก็มีความเป็นธรรมชาติสูงไม่แพ้กันและเราก็ไม่รู้นะว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า แต่คือความเชื่อมต่อหรือความรู้สึกที่ตัวละครมีให้กันมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละตอน และยิ่งซีซั่นสองเรายิ่งรู้สึกว่าตัวละครมันสนิทกันมากขึ้นจริงๆ มันเป็นไปตามสถานการณ์ธรรมดาที่คนเพิ่งย้ายถิ่นฐานมาจะค่อยๆ เริ่มเข้ากับสังคมนั้นๆ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
    และอย่างประเด็นทางสังคม เรื่องความเท่าเทียมในที่ทำงาน ความรัก ครอบครัว ศาสนา หรือการแต่งงาน เราจะเห็นว่ามุมมองสังคมของคนบ้านเราจะค่อนไปทางอเมริกันเอามากๆ ที่ชีวิตมันต้องเป็นสเต็ปๆ เรียน ทำงาน แต่งงาน ชีวิตแฮปปี้ แต่สังคมสวีเดนนั้นโนวจ้ะ!! คุณจะทำอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน คุณจะเป็นผู้ชายไม่ทำงานแล้วอยู่บ้านก็ได้นะ คุณจะไม่นับถือศาสนา คุณจะไม่แต่งงาน คุณจะเรียกร้องความต้องการจากหัวหน้างาน หรือเครียดมากๆ แล้วจะซิคลีฟแต่ยังได้เงินเดือนก็มีสิทธิ์ มันเป็นความเสรีในแบบของมัน ซึ่งถ้าใครอยากเปิดโลกทางวัฒนธรรม อยากรู้ว่าประเทศที่เขาว่าเจริญๆ ดีอย่างนั้นอย่างนี้มันเป็นยังไง ทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปทั้งหมด เหรียญมันก็มีสองด้าน แบงค์ก็เช่นกัน ใช่มะ? เอาเป็นว่าเราเชียร์ให้ดูนะ บางประเด็นอาจจะขัดต่อความรู้สึกไปบ้าง แต่ถ้าเราเปิดใจ เราจะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากซีรี่ย์เรื่องนี้ จากตอนแรกที่เราคิดว่าอยากจะฝึกภาษาจากสื่อบันเทิงมันกลับกลายเป็นว่าเราได้อะไรมากกว่านั้นเยอะเลย 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in