เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ROMANTIC MOVIEs REVIEWMoschan Nutthapat Suma
รีวิว : ME BEFORE YOU
  • Director: Thea Sharrock
    Writers: Jojo Moyes (screenplay), Jojo Moyes (novel)
    คะแนนรวม = 6/10

    =====================================================
    บท : 1.5/3
    เทคนิคการถ่ายทำ : 1.5/3
    การแสดง : 1.5/2
    เพลงประกอบ : 1.5/2
    =====================================================

    หลังจากได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เม้าท์ทั้งปากต่อปากและโพสต์ต่อโพสต์ ฟีดหน้าไทม์ไลน์ทีไรก็เจอแต่คนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวานเลยได้ฤกษ์ไปดูหนังเรื่องนี้เสียที

    ออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญวงการภาพยนต์ หรือดูหนังมาเป็นพันๆ เรื่องก็ไม่ แต่อาศัยความที่เป็นคนชอบดูหนังรักโรแมนติก ดราม่า คอมมาดี้ พอได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ใครๆ ว่าเยี่ยมยอด 9/10 10/10 เลยต้องขอออกมาวิจารณ์นิดนึง

    จริงๆ เราแอบเห็นทีเซอร์เรื่องนี้มาตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่ด้วยความที่ดูพล็อตคร่าวๆ แล้วรู้สีกว่าหนังเรื่องนี้กำลังเล่นแง่กับประเด็น Disability โดยส่วนตัวจะรู้สึกว่าหนังแบบนี้ หากจะทำออกมาให้ดี กินใจ ลงตัวและแฟร์ต่อทุกกลุ่มคนดู เป็นอะไรที่ยากมาก จริงๆ ไม่คิดว่าหนังจะมาเป็นที่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่กลายเป็น ว้าว...คนชอบเยอะเลยแฮะ

    วันนี้เราเลยจะมาด้วยความเห็นล้วนๆ ใน 3 พาร์ท ด้วยกัน นั่นคือ เนื้อเรื่องย่อ การตีความ และความคิดเห็นส่วนตัว ค่อนข้างยาวนิดนึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอ่านไม่มากก็น้อย หรือถ้าใครมีความคิดเห็นที่อยากจะแลกเปลี่ยนกันก็ยินดีเลยนะครับ

    พร้อมแล้ว ลุยยยยย!!!


    #PLOT

    เปิดเรื่องด้วยชีวิตของนักธุรกิจหนุ่มรูปงาม ทายาทมหาเศรษฐีชื่อดัง 'วิล เทรย์เนอร์' (แซม คลาฟลิน) ที่มีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ มีงาน มีเงิน มีบ้าน มีสังคมที่ดี รักการเดินทาง การผจญภัย และมีเจ้าหญิงแสนสวยผมบอนด์อยู่เคียงข้าง (ซึ่งดูเหมือนจะรักเขาจริงๆ แต่สุดท้ายนางก็หาเหยื่อยรายใหม่ที่ปึ๋งปั๋งกว่า) ชีวิตกลับพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงเพราะมอเตอร์ไซค์คันเดียวในเช้าวันฝนพรำ จากนั้นชีวิตของวิลก็เหมือนนาฬิกาที่กำลังเดินถอยหลัง เขากลายเป็นอัมพาต (Quadriplegia) สิ้นหวังและหมดกำลังใจ โลกทั้งใบหายวูบไปกับตา

    'ลูอิซ่า คลาร์ก' (เอมิเลีย คลาร์ก) สาวชนบท มองโลกในแง่ดี สดใส ร่าเริงและมีเมตตา เธอเป็นน้ำพักน้ำแรงสำคัญของครอบครัวเสมอมา กระทั่งร้านเบเกอร์รี่ที่เป็นเหมือนบ่อน้ำเลี้ยงของเธอต้องปิดตัวลงอย่างสงบ ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต และ 'แพทริก' (แมททิว ลูอิส) แฟนหนุ่มนักธุรกิจชุมชนดาวรุ่ง 2 ปีซ้อนก็ดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก นอกเหนือไปจากการให้กำลังใจ (และชวนลูไปนอร์เวย์ ซึ่งไม่ได้มีความตั้งใจจะช่วยให้ลูคลายความตรึงเครียดในชีวิต แต่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือ ตัวเองได้ไปแข่งขันไตรกีฬา ได้ไปเรียนรู้การเป็นเทรน์เนอร์ แล้วก็หิ้วลูไปด้วยโดยไม่ถงไม่ถามแฟนสาวเล้ย ว่าสนุกกับไตรกีฬาพวกนี้หรือเปล่า)

    โชคชะตาพาลูกับวิลมาพบกัน ในฐานะลูกจ้าง (ของมิสซีสเทรย์เลอร์) และผู้อยู่ในความดูแล ซึ่งถ้าหากพูดกันจริงๆ ชนชั้นอย่างวิลและลูไม่มีทางได้มาบรรจบกัน วิลเป็นเจ้าชายรูปงามชวนฝัน ส่วนลูเเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาผู้ต่ำต้อย แต่เรื่องราวความรักชวนฝันแบบซินเดอร์เลล่าร์ก็มักจะเสกสรรค์ให้เรื่องที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นได้เสมอ 

    #REVIEW

    -อย่าปล่อยให้ชีวิตหมดหวังถ้าวันนี้คุณยังมีแรงเต็มเปี่ยม-

    หนังเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนในส่วนของพระเอกวิลสุดหล่อของเรา ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เขารักการเดินทาง การผจญภัย ความตื่นเต้น ท้าทาย แต่กลับต้องมาเจอกับเรื่องร้ายๆ จนต้องพิการ แต่ถึงอย่างไรเมื่อนึกย้อนกลับไป เขากลับมีแต่เรื่องดีๆ ให้จดจำ และเขาอยากจะทำมันอีก อยากจะกลับไปเป็นเขาคนเดิมอีกครั้ง ไม่เคยนึกเสียดาย ในขณะที่ลู นางเอกสาว เก็บความฝันของตัวเองไว้ในใจแล้วยอมเป็นบันไดให้ใครต่อใครได้ไต่ไปถึงความฝันของพวกเขา ทั้งน้องสาวที่ตัดสินใจไปเรียนต่อและขอร้องให้ลูดูแลพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ที่ตกงานเธอก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวหารายได้มาจุนเจือ อดีตของเธอไม่ได้มีให้พูดถึง เพราะมันไม่มีอะไรนอกไปจากการทำงานในร้านเบเกอร์รี่เล็กๆ ถึง 6 ปี เธอพยายามปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดที่ว่า 'ฉันรักชีวิตของฉัน' และปิดบังความซึมเศร้า ความต้องการจริงๆ ในชีวิต ด้วยการแต่งตัวสีฉูดฉาดกึ่งร่วมสมัย ทั้งๆ ที่เธอสามารถเติบโตเป็นแฟชั่น ดีไซเนอร์ที่โด่งดังได้ แต่เธอก็เลือกที่จะอยู่ในโซนสบายของตัวเองไปอย่างนี้

    -จิตใจอยู่เหนือร่างกาย คุณยังเป็นคุณคนเก่าเสมอ-

    ในส่วนของวิล เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรได้อย่างเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน คืนวันอันสวยงามได้จบลงแล้ว เขาเลือกที่จะมองแต่อดีต และใช้ปมในปัจจุบันเป็นข้ออ้างในการหลบซ่อนตัวจากโลกใบนี้ หรืออีกนัยหนึ่งก็ คือ เพอร์เฟ็กซ์ชั่นนิสหนุ่มของเราไม่สามารถทำใจเผชิญความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา หรือไม่ยอมรับร่างกายนี้นั่นเอง เราคิดว่าหนังไม่ได้ต้องการแสดงให้คนดูรู้สึกสงสาร หรือพยายามยัดเหยียดความคิดที่ว่า คนพิการต้องยอมรับสิ่งที่เขาประสบพบเจอให้ได้ เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดีต่อไป ถ้าพูดกันจริงๆ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะยอมรับ ลองคิดดูว่า เราทำงานกันทุกวันๆ ได้เดินทางไปท่องเที่ยว ไปช้อปปิ้ง ไปตระเวนกิน แล้ววันหนึ่งเกิดป่วยขึ้นมา ต้องนอนนิ่งๆ อยู่ในโรงบาลหรือรถเข็นแบบไม่ทำอะไรเลย คือไม่ทำอะไรเลยนะ ไม่ขยับ ทำได้แค่กระพริบตา แม้แต่พลิกตัวก็ไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นกับเราสัก 5 วัน หรืออย่างมาก 3 วัน ถามว่าเป็นเรา เราจะยอมรับมันได้ง่ายๆ หรือเปล่า ตอบยากนะ คงเป็นเคสบายเคสไป และวิลเป็นตัวแทนของเคสที่ยอมรับตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าถ้าฉันต้องอยู่เป็นคนพิการแบบนี้ ฉันตายเสียดีกว่า ซึ่งก็มีกระแสจากคนพิการต่อต้านเกี่ยวกับเรื่องนี้และการตัดสินใจฆ่าตัวตายของวิล แต่นั่นแหละคือจุดประสงค์ของการทำหนัง เพื่อสะท้อนให้คนเห็นว่าต่อให้เราตกที่นั่งลำบากชีวิตย่ำแย่แค่ไหน ร่างกายจะถดถอย เสื่อมสมรรถภาพ แต่จิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถอยู่ต่อไปได้

    -การตัดสินใจเป็นเรื่อง Personal Decision ไม่มีใครถูกหรือผิด-

    ประเด็นนี้ค่อนข้างอ่อนไหวมาก ในเรื่องของการติดสินใจการุณยฆาตหรือคล้ายกับการฆ่าตัวตายของวิลที่สวิตเซอร์แลนด์ หลายคนคงรู้สึกว่า วิลขาดความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัว ทั้งๆ ที่ค้นพบรักแท้แล้วแท้ๆ ทั้งๆ ที่มีพ่อแม่ที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะจากไป จริงๆ วิลสามารถชิงฆ่าตัวตายไปก่อนก็ได้ (ซึ่งเขาพยายามที่จะทำมันก่อนหน้านี้แต่ไม่สำเร็จ) แต่เขาก็ให้เวลากับคนรอบข้าง 6 เดือน 6 เดือนในการเตรียมตัวกับการจากไปของเขา ถ้าต้องอยู่เพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข รู้สึกอุ่นใจ ในขณะที่ตัวเองต้องทนทรมาน ยอมรับตัวเองไม่ได้ สูญเสียศักยภาพที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ วิลเลือกที่จะพบกันครึ่งทาง ฉันให้เวลาเธอเท่านี้นะ แล้วจากนั้นจะเป็นเวลาของฉัน ถามว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมั้ย ก็ต้องลองมองทั้งมุมของพ่อแม่ ของลู และสุดท้ายของตัววิลเองด้วย

    -การทำงานด้วยความตั้งใจ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เกินคาดหมาย-

    ลูเป็นตัวแทนของลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ พอจบไฮสคูลปุ๊บก็ทำงานปั๊บ แล้วยิงยาวมารัวๆ 6 ปี เดิมทีเธอเองเป็นคนตั้งใจทำงานอยู่แล้ว แต่ลักษณะงานที่ทำนั้นค่อนข้างรูทีน ทำให้เธอมีปัญหาในตอนเข้ามาดูแลวิลใหม่ๆ ซึ่งต้องเจอกับงานลักษณะที่ต่างจากเดิม ต้องผสมผสานทั้งความจำ เหตุผล หลักการ และการตัดสินใจ ในตอนแรกนั้นลูจะค่อนข้างไม่เปิดใจ และคิดว่าจะทำงานนี้สำเร็จด้วยวิธีการเดิมๆ คือ ยิ้มหวาน ชวนพูดคุยสารพัดเรื่อง และชงชาดีๆ สักแก้วให้วิล ซึ่งการกระทำเดิมๆ นั้นทำให้เธอไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ส่งผลให้เธอไม่มีความสุขในการทำงาน จนแทบจะไม่อยากทำงานนี้อีกต่อไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเธอพกหัวใจมาทำงาน เมื่อเธอตั้งใจและมุ่งมั่น มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน จึงทำให้เธอลุกขึ้นมาทำอะไรที่แตกต่าง ทั้งหาข้อมูลในการดูแลวิล จัดโปรแกรม Motivation เพื่อให้วิลกลับมาเป็นคนเดียวอีกครั้ง โดยหวังว่าวิธีการต่างๆ มากมายนั้นจะเปลี่ยนความคิดของวิลได้ สุดท้ายแล้วถึงแม้วิลจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ แต่ลูก็ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุด คือ ทำให้วิลมีความสุขกับช่วงเวลาที่เหลือของเขา ถือเป็นผลลัพธ์ของความตั้งใจ ใส่ใจ ในการทำงานที่ไม่ขี้เร่เลย

    -อย่าเอาความฝันของเราไปยัดใส่มือคนอื่น-

    จริงๆ ในเรื่องถ้าจะสงสารใครสักคน เราสงสารแพทริกที่สุดนะ เพราะเขามีครบทุกอย่าง ยกเว้นการใส่ใจคนใกล้ตัว แพทริกเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงผู้มีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งมั่นที่จะพิชิตฝันนั้นให้เป็นจริง แต่เขากลับลืมหันไปมองคนข้างๆ ตัว สิ่งที่เขาทำ เหมือนกับการวิ่งแข่งที่เขาชอบ คือ ต้องมีสักคนที่ชนะ แล้วคนที่วิ่งมาด้วยกันก็จะเป็นที่สองสามสี่รองจากตัวเขา แต่ในความเป็นจริง ชีวิตคู่ ถ้าจะวิ่งมันต้องวิ่งไปพร้อมกัน ถ้าจะฝันก็ต้องฝันไปด้วยกัน แล้วเข้าเส้นใจพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมีใครสักคนเป็นที่หนึ่ง และอีกคนเป็นที่สอง สุดท้ายแล้วคนสองคนนี้จะไม่ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกัน คนที่อยู่ในระดับที่ด้อยกว่าจะทนได้หรือเปล่า รู้ตัวอีกทีแพทริกก็วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นผู้ชนะที่โดดเดี่ยวไปเสียแล้ว

    #COMMENT

    ผู้อ่านที่เข้ามาเห็นคะแนนที่เราให้กับหนังเรื่องนี้คงตกใจ ไอ่นี่มันดูยังไงของมันถึงได้ให้คะแนนน้อยนิดเหลือเกิน ต้องกราบประทานอภัยขอขมาลาโทษพี่น้องด้วย หากหนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังในดวงใจของคุณไปแล้ว ถ้าพูดกันซื่อๆ ประสาคนชอบดูหนังรักโรแมนติก สร้างแรงบันดาลใจ เราว่าหนังเรื่องนี้มันไปไม่ถึง คือ ประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อนั้นมีมากมาย แต่พอเขียนบทออกมาแล้วมันไม่กินใจ มันไม่มีไคลแม็กซ์ เหมือนเรือน้อยลอยไปเรื่อยๆ กลางทะเล ไม่เจอพายุแถมยังไม่ถึงฝั่งอีก


    1. ถ้ามองข้ามประเด็น Disability ไป เรารู้สึกว่าหนังกำลังเสียดสีเรื่องชนชั้น คิดดูสิว่า ถ้าวิลไม่เกิดอุบัติเหตุแล้วพิการ ชาตินี้เศรษฐีอย่างวิลจะได้มาเจอลูมั้ย แล้วถ้าได้เจอ จะรักกันได้มั้ย? โอเค หนังรักโรแมนติกอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่สุดท้ายคนอย่างลูก็ไม่ได้วิลมาครอง จะพยายามแค่ไหนสุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ ซึ่งตบหน้าเราดังเพรี้ยงๆ เลยทีเดียว (ร้อนตัวๆ)


    2. ความรักระหว่างวิลกับลูนั้น เกิดจากความใกล้ชิด ความสดใส และการมองโลกในแง่ดีของลู แต่หนังนั้นสื่อออกมาได้ไม่สุด ไปไม่ถึง ตอนที่วิลกับลูจูบกันครั้งแรก เรายังไม่ทันได้รู้สึกถึงความรักที่หวานซึ้งระหว่างสองคนเลย


    3. ในช่วงสุดท้ายก่อนที่วิลจะทำการุณยฆาตนั้น แม้จะมีเพลงโมลาฮองกี้ (Molahonkey) ไว้เป็นกิมมิกทำให้ผู้ชมย้อนนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวละครฝ่าฝันร่วมกันมาก็จริง แต่บทพูดกลับไปไม่สามารถถึงอารมณ์ของฉาก ที่ต้องการทั้งความโรแมนติก ความเศร้า และความหวังไปพร้อมๆ กัน เรายังอยากจะเติมบทไปสักนิดเลย ตอนที่วิลบอกว่า ไม่มีเขา โลกใบนี้คงจะน่าอยู่มากขึ้น ถ้าลูมองหน้าวิล พยายามเอามืออุ่นๆ สัมผัสที่ใบหน้าซีดเซียวของเขา แล้วพูดทั้งน้ำตาว่า ไม่ใช่ในโลกของฉัน มุขนี้อาจจะเน่า แต่เราก็อยากได้ยินจากฉากแบบนี้นะ แต่ก็อย่างว่า มันเป็นคาแร็คเตอร์ของลู ที่ไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอน ไม่ใช่คนที่คิดอะไรลึกซึ้ง


    4. การที่พระเอกพร่ำบอกให้ลูเดินทางตามความฝันของตัวเอง อย่าให้ตัวเองอยู่แต่ในโซนสบาย ใช้ชีวิตในแบบที่ลูต้องการ ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ฟังดูเป็นคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก แต่ตอนจบของเรื่องกลายเป็นว่าลูได้ออกเดินทางก็จริง แต่เป็นเพราะมรดกของวิลที่ทิ้งไว้ให้ ลูไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างชัดเจนเลย เราเลยงงตรงนี้เล็กน้อย ว่าสรุปแล้ว...หนังต้องการผลักดันเรื่องอะไรกันแน่ พัฒนาการของตัวละครเห็นได้น้อยมาก


    5. เทคนิคการถ่ายทอด เราแอบหวังกับวิวสวยๆ สถานที่โรแมนติกแบบอังกฤษๆ แต่ได้เห็นน้อยไปหน่อย ก็ไม่เป็นไร ในส่วนของการตัดฉาก เรารู้สึกว่ามันยังห้วนเกินไป ไม่ค่อยสมูท อย่างฉากที่พยายามทำให้คนดูรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็ว เช้าวันทำงานที่ลูจะโผล่มาทางประตูพร้อมกับเสื้อผ้าสีแสบของเธอ เธอต้องต่อสู้กับสายตาเมินเฉยของวิลวันแล้ววันเล่า มันให้ความรู้สึกยาวนานจริงๆ นะ แต่สุดท้ายลูกลับบอกว่าผ่านมา 10 วันฉันทนทำงานนี้ไม่ไหวแล้วนะ ตายละ...ไอ่เรานึกว่าผ่านไปเป็นเดือนๆ แล้วซะอีก

    6. เพลงประกอบ ต้องบอกว่าบางเพลงชอบนะ ถึงจะมาเป็นแค่ติ่งๆ แล้วรีบจบก็เถอะ แต่มีอยู่ฉากที่ลูตัดสินใจยอมตามวิลไปที่สวิสเซอร์แลนด์แล้ว Photographs ของ Ed Sheeran ขึ้นมา เรารู้สึกว่า มันไม่ควรขึ้นตรงนี้ เนื้อเพลงมันไม่ใช่สถานการณ์ตรงนั้น เออ ถ้าเปิดหลังจากที่วิลตายแล้วก็ยังพอโอเคนะ


    เอาละ...โดยสรุปก็ประการละชะนี้ ถึงเราจะจั่วหัวให้คะแนนหนังแค่ 6/10 แล้วก็รู้สึกค่อนไปทางไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากให้ทุกคนได้ดูนะ เพราะอย่างน้อยหนังก็มีความโรแมนติกสร้างฝันอยู่เหมือนกัน อีกอย่างถ้าไม่ดูหนังแบบนี้ก็จะไม่รู้ว่าหนังโรแมนติกดีๆ จริงๆ สักเรื่องเป็นยังไง


    ...
    “You're going to feel uncomfortable in your new world for a bit. It always does feel strange to be knocked out of your comfort zone.”
    ...


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in