เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PaperMâchéhappypii
By the time the sun rises
  • [Detroit: Become Human fanfiction]
    Missing scene before Connor's deviant ending cutscene




    สื้นเสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะ เหลือเพียงความเงียบเข้าแทนที่



    เงียบ แม้กระทั่งเสียงทำงานของเครื่องกลใต้เนื้อหนังก็ไม่ส่งเสียง เขาไม่มั่นใจว่าต้องรู้สึกอย่างไร

    ยามไม่มีคำสั่งให้ต้องประมวลผล หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าภายนอก เขากลายเป็นความว่างเปล่า เคยมีคนถามเขาว่า “เหม่ออะไร เจ้าหุ่นกระป๋อง” และมันตอบยากกว่าบรรดาคำถามปรัชญาที่เคย

    โดนถาม (ก่อนจะเรียนรู้ว่ามนุษย์ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบไปหมดซะทุกเรื่อง)



    บางอย่างบอกเขาว่ามันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ความเงียบนี้ไม่ใช่ความว่างเปล่า คล้ายจะเป็นการหยุดนิ่งเสียมากกว่า ไม่มีภารกิจ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไซเบอร์ไลฟ์ ไม่มีอแมนด้า ปลดเปลื้องจากภาระทุกอย่างที่เขาถูกสร้างมาให้ทำ แต่แสงข้างขมับยังคงเปล่งสีฟ้า



    นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่คอนเนอร์ได้สัมผัสกับคำว่า ‘สงบ’



    เขานั่งอยู่หน้ากองไฟเพียงลำพังใต้แสงจันทร์ฤดูหนาว รับเอาไออุ่นที่กำลังต่อสู้กับความเย็น แม้กายจักรกลนี้จะไม่มีวันเจ็บไข้ (โพรมิธีอุสขโมยไฟจากสวรรค์มาให้มนุษย์ แต่หุ่นยนต์ไม่เคยต้องการไฟ) แปลกดี ทั้งที่คืนนี้มีเกิดอะไรขึ้นตั้งมากมาย คอนเนอร์กลับรู้สึกว่า มันก็คืนธรรมดาคืนหนึ่งในดีทรอยต์



    เสียงเสื้อผ้าเสียดสีดังเข้ามาใกล้ทำให้เขาหันไปมอง และเป็นดวงตาสองสีที่จ้องกลับมา



    “นายโอเคไหม” ผู้มาเยือนนั่งลงข้างๆ



    แสงสีเหลืองกะพริบวาบ “ผมไม่พบความเสียหายร้ายแรงอะไร”



    อีกฝ่ายส่ายหน้า “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่ก็ยังดี”



    “แล้วคุณล่ะ” คอนเนอร์สบตาคู่สนทนา สภาพเขาอิดโรย ผู้นำเมื่อลงจากเวทีก็เดินดินเหมือนสามัญชน



    “อืม ฉันโอเค ยิ่งได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเราหวังไว้แล้ว ไม่มีอะไรทำให้ฉันมีความสุขได้มากกว่านี้” เขาเงียบลง แววตานั้นมุ่งมั่น “ถึงอย่างนั้น เรายังมีอะไรให้ทำอีกมาก มนุษย์อาจหยุดต่อต้านเราวันนี้ แต่เราต้องเตรีมรับมือไว้เสมอ”



    หิมะยังตกลงอย่างต่อเนื่อง เมืองทั้งเมืองขาวโพลน คราบสีน้ำเงินค่อยๆลบเลือน



    “คุณพูดอยู่ตลอดว่ามนุษย์เกลียดดรอยด์ แต่คุณก็ไม่เลือกจะใช้กำลังกับพวกเขา”

    แม้ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่ก็ต้องการคำตอบ เพราะเขาเองเพิ่งจะเข้าใจความโกรธ ความชิงชังระคนความสิ้นหวังที่ไม่คิดว่าจะต้องประสบ ในสภาวะที่ถูกอแมนด้าเข้าควบคุมโดยไม่ทันตั้งตัวเพียงไม่กี่นาทียังทำเขาแทบคลั่ง อีกทั้งความจริงที่ว่าเขาอาจเป็นดีเวียนต์ภายใต้เจตจำนงของผู้อื่นเพียงเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเป้าหมาย และกลายเป็นเพียงตัวหมากตัวหนึ่งในเกมที่ดรอยด์แทบไม่มีวันชนะ



    ถึงอย่างนั้น เขายังคงไม่เข้าใจ ทำไมได้ถึงมั่นใจนักหนา ว่าจะไม่มีวันลั่นไกใส่มนุษย์ก่อน และหวังว่าสิ่งที่ได้ยินจะให้ความกระจ่างกับปริศนาที่เกินกำลังสมองกล



    “มนุษย์เกลียดดรอยด์ แต่ฉันไม่เคยพูดว่าฉันเกลียดมนุษย์” มาร์คัสทอดตามองไปข้างหน้า แสงจากตึกระฟ้าใจกลางดีทรอยต์คงสว่างไสวอีกไม่นานหลังการประกาศคำสั่งอพยพประชาชน “มนุษย์เกลียดกลัวสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจและควบคุมไม่ได้ เราไม่ได้ต้องการชีวิตใคร เพียงแค่ขอสิ่งที่เราควรจะมี การใช้กำลังกับสัตว์ป่าที่จ้องจะเล่นงานเราก็รังแต่จะเกิดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น”



    “คุณเปรียบเทียบมนุษย์เป็นสัตว์ป่าทั้งที่เขาเป็นผู้สร้างพวกเรา”



    “มันก็แค่คำเปรียบเปรย” มาร์คัสยิ้ม “นายรู้ไหมว่ามนุษย์มีศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่มาจากชนชั้นสูงหรือชั้นกษัตริย์ว่า ‘พวกเลือดน้ำเงิน’ พวกเราที่เป็นดรอดย์เองก็มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งสติปัญญา ทั้งความแข็งแกร่ง แต่เรากลับต้องมาเป็นทาสรับใช้มนุษย์ไปวันๆ เป็นอารมณ์ขันที่ร้ายกาจจริงๆ ว่าไหม”



    คอนเนอร์นิ่งไปสักพัก แสงสีเหลืองโลดแล่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “คุณพูดจาไม่เหมือนกับดรอยด์เลยจริงๆ”



    “ส่วนนายก็พูดจาสมเป็นดรอยด์ตำรวจสุดๆ”



    “ความสงสัยใคร่รู้คือหัวใจของหุ่นที่ถูกสร้างมาเพื่อสืบคดี”



    “ฉันรู้ ส่วนฉันก็แค่ดรอยด์ตัวหนึ่งที่โชคดี” อีกฝ่ายหันหน้ามาสบตาคอนเนอร์ “ที่ได้มาอยู่ในความดูแลของมนุษย์ทีไม่เคยเห็นฉันแตกต่างจากเขา เขาสอนฉันหลายอย่างเหลือเกิน แม้กระทั่งให้ฉันกล้าทำสิ่งที่นอกเหนือคำสั่ง”



    มาร์คัสพูดต่อ ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นกายสังเคราะห์



    “เวลาอยู่กับเขา ฉันรู้สึกว่าราวกับมีชีวิต และฉันอยากให้หุ่นทุกตัวได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้น”



    ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นมา ใบหน้าของคนที่มีผมเฉดเดียวกับหิมะยามค่ำคืน



    “ผมอาจไม่ใช่ดรอยด์รับใช้ที่ได้ใกล้ชิดมนุษย์ตลอดเวลา แต่ผมพอเข้าใจว่าทำไมคุณถึงมีศรัทธา เราคงไม่ได้เรียนรู้ความเกลียดชังจากพวกเขาเพียงอย่างเดียว”



    “มนุษย์ที่ดูแลฉันเป็นศิลปิน และเขาต่อกรกับโลกอันโหดร้ายใบนี้ด้วยปลายพู่กัน คอนเนอร์ ฉันเองก็จะเลือกเดินตามวิธีเขาเช่นกัน”



    “เพราะคุณเป็นแบบนี้สินะ เจอริโกถึงเลือกคุณเป็นผู้นำ”



    “ฉันไม่เคยอยากจะเป็นมันหรอก แต่ถ้าพวกเขาอยากให้ฉันเป็น ฉันก็เป็นให้พวกเขา”



    'ผมเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมเป็น'



    มือหนึ่งจับที่ไหล่ของเขา ดึงคอนเนอร์ออกจากห้วงอดีต   



    “คอนเนอร์” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นขึงขัง แต่ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด “นายช่วยเราไว้มาก ตรงนั้นฉันขอบคุณนายจากใจจริง แต่ภารกิจของเรายังไม่จบ เรายังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก และฉันเชื่อว่าหุ่นที่มีความสามารถอย่างนายจะเป็นกำลังสำคัญให้พวกเราได้ มาร่วมมือกับฉันเถอะคอนเนอร์ มาสร้างอนาคตที่พวกเราสมควรมีด้วยกัน” 



    มาร์คัสยืนมืออีกข้างมาหาเขา มือที่สลัดเนื้อหนังของมนุษย์ออกไป เหลือไว้ซึ่งตัวตนและความจริงใจ ความรู้สึกบางอย่างสั่นไหวอยู่ในอกคอนเนอร์ จากดรอยด์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อทำภารกิจ สิ่งที่มาร์คัสกำลังหยิบยื่นมาให้ไม่ใช่คำสั่ง หากเป็นความไว้วางใจอันบริสุทธิ์



    ถึงอย่างนั้น คอนเนอร์ได้ตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นดีเวียนต์ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ว่าอิสระที่เขาปรารถนาคือสิ่งใด



    คอนเนอร์จึงส่ายหน้า



    “นี่ไม่ใช่ที่ของผม”



    มาร์คัสชะงัก ความเงียบเข้าแทรกในชั้นบรรยากาศ แทบได้ยินเสียงสะเก็ดไฟเต้นระบำ



    “ไม่สิ ผมคงเรียบเรียงไม่ค่อยดีนัก” น้ำเสียงฟังดูระมัดระวัง แต่หนักแน่น เหมือนจะป่าวประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้  “ผมมีที่ผมอยากกลับไป”



    “โอ้” น้ำเสียงประหลาดใจไม่ปิดบัง แม้ไม่มีแถบแสดงอารมณ์ คอนเนอร์เห็นภาพแสงสีเหลืองของอีกฝ่ายกระพริบถี่ มาร์คัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตาโตจนน่าขันเหมือนเพิ่งไขคำตอบของจักรวาลได้สำเร็จ คอนเนอร์หลุดยิ้มน้อยๆ ก้มหน้ามองเกล็ดหิมะที่เกาะมือของตน พลันวิเคราะห์ว่าในอุณหภูมิแบบนี้ มนุษย์จำเป็นต้องใส่ถุงมือหรือเปล่า



    “เข้าใจแล้ว” มาร์คัสเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “นายเองก็เป็นหุ่นที่โชคดีเหมือนกันสินะ”



    คอนเนอร์ยังคงไม่สบตา แก้มร้อนเล็กน้อย คงเพราะอยู่ใกล้ไฟนาน มาร์คัสลุกขึ้น ยกมือปัดหิมะตามเสื้อโค้ท 



    “ฉันเสียใจที่นายเลือกจะไป แต่พอมาคิดดูแล้ว นั่นคือสื่งที่เราต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาอยู่ไม่ใช่หรือ อิสระภาพ ที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ" มาร์คัสเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา คอนเนอร์เงยหน้าขึ้นมาพบกับดวงตาสองสีที่เหมือนมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้จำไว้ว่าเจอริโก้ต้อนรับนายเสมอ”



    “ขอบคุณ มาร์คัส”



    “โชคดี คอนเนอร์” ไม่ใช่คำบอกลา เพราะแน่นอน ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกัน 



    เหล่าแอนดรอยด์ผู้เริ่มก้าวเดิน จะสัมผัสความพิศวงของการมีชีวิตกันอย่างไร ในเมื่อมนุษย์ผู้สร้างไม่มีคำตอบจะมอบให้เช่นกัน แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องของอนาคต เพียงปัจจุบัน คอนเนอร์มีเสียงเดียวอยู่ในใจ กระซิบนำทางที่เขาปรารถนาจะเดิน



    เอาล่ะ



    สงครามจบลงแล้ว ถึงเวลาที่ทหารต้องกลับบ้านเสียที



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in