เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มรรคาแห่งธรรมNoi Beleza
ทุกๆ 10 ปี กับความเปลี่ยนแปลง

  • ทุกๆ 10 ปี กับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
    อาจารย์ พศิน อินทรวงศ์
    ท่านบรรยายได้ลึกซึ้งมากค่ะ
    ลองอ่าน แล้วคิดตามดูนะคะ
    น่าสนใจทีเดียวค่ะ
    .
    .

    1. 1-10 ปีแรก
    เราใช้ไปกับการเรียนรู้
    เราหัดยืน เดิน นั่ง
    เรียนรู้การกิน นอน พูดคุย
    ยังมิรู้จักความปรารถนาของตน
    ใช้ชีวิตไปกับความสัมพันธ์บริสุทธิ์
    เพื่อนคือเพื่อน ไม่มีเพื่อนรวยหรือเพื่อนจน
    พ่อแม่คือผู้รอบรู้ ไม่มีใครรอบรู้ไปกว่าพ่อแม

    ่เรารู้จักว่า เราชอบกินอะไร ชอบสีอะไร
    รู้จักความชอบพื้นฐานของตน
    อันเป็นความชื่นชอบที่บ่มเพาะ
    รสนิยมในเวลาต่อมา

    เราศึกษาเล่าเรียน
    แต่มิได้มีจุดหมายปลายทางชีวิต
    เรามิคิดถึงอดีต เรามิหวาดกลัวอนาคต

    คำว่า “เล่น” ดูเหมือนจะเป็นรากฐาน
    ของการทำทุกสิ่งทุกอย่าง
    เดินเล่น เล่นบอล คุยเล่น ไปเที่ยวเล่น
    ความทุกข์ไม่มากมายนัก
    จำง่าย ลืมง่าย ตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง

    10 ปีแรก คือช่วงเวลาอันงดงามและบริสุทธิ์ หากผู้ใดได้รับความรัก
    ความเข้าใจพอเพียง
    ย่อมเปิดหนทางง่ายต่อชีวิต
    เปี่ยมล้นความหมาย
    มีกำลังใจพร้อมเผชิญทุกสิ่ง
    .
    .
    2. 11-20 ปี
    จากเด็กน้อย เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
    เป็นวัยรุ่นเริ่มต้น
    ค้นพบว่า ตัวตนเป็นอย่างไรตามสมควร
    เริ่มมีความรัก ความชอบ
    ความโกรธ และความเกลียด
    ตกผลึกแห่งอารมณ์รุนแรงขึ้น

    มีความต้องการสืบพันธุ์
    ตามสัญชาติญาณ การอยู่รอด
    เห็นความงดงาม
    หอมหวานของเนื้อหนังมังสา

    มีความร่ำรวย มีความยากจน
    มีชนชั้นวรรณะ ยศ สรรเสริญ ยิ่งใหญ่
    รู้จักปรับตัวเรียงร้อยตนเองไว้กับสังคม

    มีความกล้า มีความอาย
    ใฝ่หาความเป็นตัวของตัวเอง
    ใฝ่หาความยอมรับจากผู้อื่น

    เป็นวัยแห่งความขัดแย้งในตน
    เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอันตราย
    หนึ่ง มองหาความต้องการภายนอก
    สอง ไม่รู้ความต้องการภายใน
    สาม อ่อนด้อยประสบการณ์ตามความเป็นจริง

    ทว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความฝันงดงาม
    งามทั้งความฝัน งามทั้งความหวัง
    งามทั้งเรือนร่าง กายา เรี่ยวแรงกำลังวังชา
    ดุดัน มุทะลุรุนแรง

    พ่อแม่ มิใช่ผู้รอบรู้อีกต่อไป
    ครูบาอาจารย์มิใช่ผู้รอบรู้อีกต่อไป
    อัตตาตัวตนแผ่ขยายสรรสร้างทั้งคุณและโทษ

    หากมีปราชญ์ชี้นำ ชีวิตย่อมโชติช่วง
    หากมีมารชี้นำ ชีวิตมืดมิดเป็นพิษภัย
    เป็นวันวัยแห่งนักรบผู้ไม่เกรงความตาย

    หนุ่มสาววัยนี้ยอมตายเพื่อแลกศักดิ์ศรี
    เพราะไฟแห่งความกล้าพึ่งถูกจุดขึ้น
    กระโดดออกจากรั้วการศึกษาระบบรัฐบาล
    เข้าสู่ช่วงเวลาแสวงหาความยิ่งใหญ่
    .
    .
    3. 21-30 ปี
    จากวัยรุ่นแรกเริ่ม
    ค่อย ๆ เรียนรู้ผ่านความจริง
    ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างฝัน เติบโตเป็นผู้ใหญ่
    บ้างก็โตครึ่ง ๆ กลาง ๆ
    บ้างก็เติบโตทางจิตวิญญาณ

    หนุ่มแน่น สาวสพรั่ง
    ถึงขีดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการทางร่างกาย
    จะไม่งดงามไปกว่านี้อีก
    จะไม่แข็งแรงไปกว่านี้อีก
    จะไม่ยะเยอะทะยาน
    จะไม่ห้าวหาญไปกว่านี้อีก

    ขุมพลังมาจากความมั่นใจ
    ความมั่นใจมาจากส่วนผสมสามส่วน
    หนึ่ง มาจากความไม่รู้จักชีวิต
    สอง มาจากกำลังในวัยหนุ่มสาว
    สาม มาจากความสามารถสั่งสม
    ในจินตนาการแห่งตน

    โลกเป็นของตน
    เปลี่ยนได้ทุกอย่างในจินตนาการตน
    ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ในจินตนาการตน
    ไฟกำลังร้อน ไฟกำลังแรง

    เป็นธรรมดาของช่วงวัย
    พูดมาก ฟังน้อย รับฟังแต่ไม่ได้ยิน
    รู้จักตนเอง แต่ยังไม่ใช่ตนเองที่แท้จริง

    ความเป็นผู้นำสูงส่ง
    อุปนิสัยที่สั่งสมมา ควบแน่น
    ทิศทางชัดเจน
    พร้อมพัฒนาในรูปแบบของตน
    โรคภัยยังไม่รู้จัก
    ความแก่ชรามิได้อยู่ในความคิด
    ดอกไม้กำลังบาน
    สนุกกับโลกแห่งความเป็นไปได้
    .
    .
    4. 31-40 ปี
    30 ปีที่ผ่านมา
    สะสมความรู้และประสบการณ์พอตัว
    รู้ความหมายของชีวิตพอตัว
    รู้จักตนเองพอตัว

    ความกล้าเริ่มจางหาย
    เริ่มเข้าใจคำว่า แก่ชรา
    ความหวาดกลัวมาเยี่ยม
    ไม่อาจสวยงาม แข็งแกร่งดุจสามสิบปีแรก

    ทว่า จิตใจหนักแน่นขึ้น
    เห็นหนทางชีวิตชัดเจนขึ้น
    ตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง
    เลือกสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง
    เงินทองยังสำคัญ

    ทว่า มีบางสิ่งที่สำคัญควบคู่
    วาสนากำลังพุ่งทยาน
    มีผู้ใต้บังคับบัญชา
    ผู้คนยกย่อง สรรเสริญ
    มีบทบาทเปลี่ยนแปลงสังคมมวลรวม
    กระแสโลก กระแสชีวิต ถึงจุดบรรจบ
    ไม่แก่เกินไป มิอ่อนด้อยเกินไป พอดี ๆ

    ชีวิตโฉบฉิว พุ่งทยาน ความเป็นตัวตน
    มิใช่ภาพร่างที่เห็นเค้าโครง
    ทว่า ลงรายละเอียดสีสัน
    ชัดเจน ลบยาก ปรับยากเย็น

    เป็นวันวัยแห่งความเนื้อหอม
    หอมหวานในลาภ ยศ สรรเสริญ
    ใช้คำว่า หนุ่มสาวได้มิเขินอาย
    .
    .
    5. 41-50 ปี
    ความรู้ภายนอกบูรณาการสู่จุดสูงสุด
    เป็นผู้นำสูงสุด ควบรวมสังคมเป็นหนึ่ง
    มิอาจยิ่งใหญ่ไปกว่านี้
    มิอาจมีอำนาจวาสนาไปกว่านี้

    ทว่า ภายในกลับวางเปล่า
    เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
    เกี่ยวเนื่องกับชีวิต
    ความเสื่อมถอยคืบคลานเข้ามา
    ใกล้หน้าประตูบ้าน

    ตั้งคำถามสู่อดีต
    ตั้งคำถามสู่อนาคต
    เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว
    จากร้อนดังไฟ ลด ละ สงบเย็น เย็น
    เพราะสังคมบังคับ

    เย็นเพราะรู้เห็นด้วยประสบการณ์
    เย็นเพราะหมดอาลัยในความทะยานอยาก เส้นผมเริ่มขาว ผิวหนังเริ่มหย่อนยาน
    ความงดงามทางกายเริ่มไม่เป็นที่พึ่งพา
    แม้จิตผูกติด ความทุกข์ย่อมแผ่ซ่าน
    ขนพองสยองเกล้า

    50 ปี คือช่วงเวลาแห่งการ
    เป็นสะพานถ่ายทอดความรู้สู่ชนรุ่นหลัง
    มิใช่ผู้ข้ามสะพานอีกต่อไป

    จักมีผู้คนอยู่สองแบบ
    หนึ่งคือผู้ยังต้องการเป็นบุคคลสำคัญ
    นี่คือผู้ได้รับความทุกข์

    สองคือผู้ที่ต้องการกลับสู่ชีวิตสามัญ
    นี่คือผู้ได้รับความสุข

    ชายกลางคนผู้หนึ่งยังมองสาวแรกรุ่น
    กลายเป็นลุงลามก
    ชายกลางคนผู้หนึ่งข้ามพ้นความงามนอก
    เข้าสู่ความงามใน
    นี่ช่างเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใส

    50 ปี ผ่านร้อนหนาว สงบ วุ่นวาย
    บางสิ่งค่อยๆ ตกผลึก
    เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางจิตวิญญาณ
    .
    .
    6. 51 – 60 ปี
    60 ปี คือวันวัยแห่งความเป็นปราชญ์
    หรือไม่ก็ปีศาจ

    หลายคนเป็นได้แค่ปีศาจ
    มีอำนาจไม่ฟังใคร
    อำนาจย่อมเผาตนและผู้อื่น
    บัลลังก์ทุกองค์กร
    ถูกยึดครองด้วยมนุษย์วัย 50 กว่าปี
    มิเปิดโอกาสให้ผู้ใดเติบโต สำคัญกว่าตน

    แม้เป็นปราชญ์
    ความรู้ทุกทิศทางย่อมหลั่งไหล
    รวมตัว .. เกิดเป็นหนทางใหม่

    60 ปี มิได้วัดความสำเร็จที่ความมีมาก
    หากแต่วัดความสำเร็จที่ใครสละได้มาก
    มิได้วัดที่ใครมีวาทศิลป์
    ทว่า วัดที่การรับฟังด้วยจิตเมตตา

    60 ปี .. เมตตาควรเป็นแก่นสารของชีวิต
    เป็นวันวัยที่เป็นหนึ่งกับความชรา
    แขน ขา เริ่มไร้เรี่ยวแรง
    โรคภัยไขเจ็บเริ่มเข้ามาทักทาย
    สามวันดี สี่วันไข้

    หนึ่งปีอาจเป็นมะเร็งฉับพลัน
    กลิ่นไอธรรมะหอมหวาน
    วัดวาอารามเริ่มใกล้ตัว

    ชีวิตเข้าสู่หนทางทวนกระแส
    คำถามว่า ชีวิตคือสิ่งใด
    กลับมาวนเวียนอีกครั้งชัดเจน
    มิอาจหลีกหนี หลบเหลี่ยงไม่ตอบคำถาม
    .
    .
    7. 61 – 70 ปี
    ความสุขทางกาย
    มิอาจเติมเต็มชีวิตได้อีกต่อไป
    เสียงเพลงขับขาน
    แต่ประสิทธิภาพแห่งการฟังน้อยลง
    ข้าวปลาอาหารรสอร่อย สมควรห้ามใจ
    ยิ่งกินมากก็คล้ายนำพิษภัยเข้าตัว

    ช่วงวันวัยดังกล่าว
    มิสมควรอยู่กินใช้ตามใจกิเลส
    ควรกินพอดี อยู่พอดี

    ความยึดติดการงาน
    ความยิ่งใหญ่ ชื่อเสียง
    สมควรถูกเก็บเข้าลิ้นชัก

    แล้วใช้ชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์
    ชีวิตเหลือไม่มากแล้ว
    สิ่งใดไม่จำเป็นสมควรตัดทิ้ง

    ชีวิตเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
    พูดคำว่า ขอบคุณให้บ่อย
    พูดคำว่า ขอโทษให้บ่อย
    เสียงโอ้อวดอ้างความสำเร็จครั้งเก่าก่อน
    เก็บไว้ให้ลึกสุด

    ใช้ชีวิต 70 ปี
    เพื่อหาน้ำมาเติมจนแก้ว
    ล้นแล้วล้นอีก
    เททิ้งให้หมด

    กลับเป็นเด็กน้อย
    ไม่รู้อะไรสักอย่าง
    ถือเป็นการเกิดใหม่ในร่างกายเดิม
    .
    .
    8. 71 – 80 ปี
    แปดสิบปีแล้วสินะ
    นี่อยู่มาได้อย่างไร
    จากนี้ไป ไร้สิ้นตัวตน ฉันไม่รู้อะไร
    ฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ

    ฉันคือผู้รับฟังเท่านั้น
    มิมีความคิดอ่าน เธอจงพูด ฉันจะฟัง
    หากเธอโกรธ ฉันจะดับไฟให้เธอเอง
    ความเก่งกาจ เป็นเรื่องน่าขัน
    ความยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องล้อเล่น

    ต้นไม้ ใบหญ้า
    ยิ่งใหญ่กว่าตัวบทกฎหมายและเงินตรา
    80 ปี เรียนรู้
    วางจิตได้เช่นนี้ ถือว่า ยอดคน
    .
    .
    9. 81 – 90 ปี
    ธรรมะคือธรรมชาติ
    ธรรมชาติคือธรรมดา
    ชีวิตธรรมดา ช่างประเสริฐงดงาม

    ความตายคือของขวัญ
    การมีชีวิตอยู่
    คือการตระหนักรู้ในความหมาย
    ที่มิอาจสื่อสาร
    เกิดและตายคือสิ่งเดียวกัน
    .
    .
    10. 91 -100 ปี
    ดวงตะวันสว่างจ้า
    สายลมพัดพาความอ่อนโยน
    ท้องฟ้า สายน้ำ เยือกเย็น อบอุ่น
    แม้ไม่อาจเอื้อมถึงคำว่า ตลอดไป
    แต่ชีวิตช่างงดงาม เกินบรรยาย

    Cr : อาจารย์ พศิน อินทรวงศ์
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in