เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[NCT | OS/SF] ALL IS LOVEhbrxnct
[os] Mystic R - 02 #jaedo
  • Title: Mystic R - 02
    AU : John Wick
    Pairing: JungJaehyun x KimDoyoung
    Rating: PG
    Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น————————————————————————————————————————










    แด่คุณ ผู้เป็นทุกอย่าง










    ว่ากันว่าการฆ่าครั้งแรกนั้นยากเสมอ

    ในตอนที่ได้ยินประโยคนี้ เขาเองก็อยากจะเอ่ยปากเถียงอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่มันดันเป็นความจริงสำหรับเขา

    การฆ่าครั้งแรกนั้นยากจริง ๆ





    ยามที่เขาอายุแปดขวบ เขาเคยวาดฝันเอาไว้อย่างไร้เดียงสาว่าการไปล่าสัตว์ในป่าที่พ่อเคยเล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องน่าสนุก มันคือกิจกรรมของลูกผู้ชาย คนที่ทำได้คือคนที่เก่งกาจและกล้าหาญ

    เพราะอย่างนั้นเขาจึงเอาแต่คอยเซ้าซี้ขอเข้าป่าตามพ่อไปด้วยอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่แรมปี แน่นอนว่าในช่วงแรกพ่อของเขาเอาแต่ยืนกรานปฏิเสธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า การอดทนอ้อนวอนรบเร้าของเขาก็ประสบความสำเร็จ

    เย็นวันศุกร์วันหนึ่งในฤดูล่ากวาง หลังจากที่เขากลับมาจากโรงเรียนและกำลังวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาหน้าทีวี ร่างสูงใหญ่ของพ่อก็เดินเข้ามาบอกกับเขาว่าเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อไปล่าสัตว์ด้วยกันในวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่าเขาดีใจเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับในคืนนั้นฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา

    ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าความน่าสนุกที่เคยคิดเอาไว้นั้นเป็นอะไรที่ผิดอย่างมหันต์ในวันถัดมา

    เพราะกว่าเขาและพ่อจะพากันเดินเท้าเข้าไปในป่าจนลึกมากพอที่จะเจอสัตว์ป่าก็ใช้เวลาเกือบค่อนวัน เท้าทั้งสองของเขาที่อยู่ภายใต้รองเท้าเดินป่านั้นเริ่มมีอาการเจ็บและช้ำจากการเดินเยอะมากจนเกินไป นอกเหนือจากนั้นมันยังทำให้แข้งขาของเขาเมื่อยขบไปหมด

    แต่ละย่างก้าวที่แฝงไปด้วยความปวดนั้นส่งผลความเร็วในการเดินของเขาเริ่มตกลงทีละนิด และมันก็ทำให้พ่อของเขาที่จับสังเกตได้เอ่ยแซวอย่างไม่จริงจังนักว่าเป็นเพราะเขามัวแต่เดินช้า จึงทำให้ไปไม่ถึงจุดหมายตามเวลาที่กำหนดเสียที เขาหน้ามุ่ยเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ด้วยรู้ดีว่ากำหนดที่พ่อของเขากล่าวนั้นไม่มีอยู่จริง

    พ่อของเขาเอ่ยขึ้นว่าหากเหนื่อยแล้วก็ให้บอก อย่างไรนี่ก็เป็นการเข้าป่าครั้งแรกในชีวิตของเขา อีกอย่างที่ในวันนี้พ่อยอมพาเขาติดสอยห้อยตามมาด้วยก็เพื่อจะทดสอบว่าเขานั้นเหมาะกับการมาล่าสัตว์หรือไม่เท่านั้น การไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย

    แต่ถึงกระนั้นเขาในวัยเก้าขวบก็มีความอดทนมากกว่าที่พ่อของเขาคิดเอาไว้ เพราะทั้งที่อากาศก็หนาวเหน็บเสียจนหิมะตก หนำซ้ำพวกเขาทั้งคู่เองก็พากันเดินติดต่อกันโดยแทบจะไม่หยุดพักเลยถ้าไม่จำเป็น ทว่าเขากลับไม่ปริปากบ่นอะไรออกมาเลยสักคำ

    เด็กชายเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มความหนาวที่ซึมลึกเข้ามาถึงกระดูกและอาการเจ็บเท้าจากการเดินเอาไว้ เพราะเขาไม่ชอบความรู้สึกของการเป็นตัวถ่วง นั่นจึงทำให้เขาพยายามอดทนต่อความทรมานเอาไว้อย่างถึงที่สุด

    หน้าที่ของเขาในตอนนั้นมีเพียงแค่คอยถืออุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ และขวดน้ำดื่ม พ่อไม่ยอมให้เขาจับปืนเลยสักครั้งจวบจนกระทั่งเขาอายุได้สิบสองปี

    “โดยอง ดูนั่น”

    พ่อเอ่ยกระซิบเสียงเบาขณะสะกิดเรียกเขา ก่อนจะชี้นิ้วไปยังอะไรบางอย่างที่ขยับไปมาอยู่หลังพุ่มไม้ ดวงตากลมโตของเขามองตามปลายนิ้วชี้ของพ่อไปจนสังเกตจนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างนั้น

    “กวางเหรอฮะ?” เขากระซิบตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “นั่นใช่กวางใช่ไหมฮะ?”

    “ใช่แล้วล่ะ”

    พ่อของเขาเอ่ยตอบและเริ่มยกปืนขึ้นเล็ง เด็กชายมองปืนในมือของพ่อและตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของพ่อเอาไว้แล้วกระตุกเบา ๆ ก่อนที่พ่อของเขาจะทำการลั่นไก

    “ผมขอลองยิงบ้างได้ไหม?”

    เด็กชายเอ่ยถามพ่อของตนด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากลองระคนอ้อนขอ

    ความจริงแล้วการให้อาวุธปืนไปตกอยู่ในมือของเด็กอายุเพียงสิบสองปีนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง พ่อของเขายืนสบตากับเขาอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดพ่อก็ยอมลดแขนลงและส่งปืนมาให้เขา

    ดวงตากลมฉายแววตื่นเต้นระคนดีใจ ช่วงที่ผ่านมาเขาทำการฝึกยิงปืนกับพ่อมาได้สักพักใหญ่แล้ว ทว่าพ่อก็ยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้จับปืนล่าสัตว์แบบจริง ๆ เสียที จนกระทั่งวันนี้

    “ประทับปืนดี ๆ ระวังปืนกระแทก” พ่อของเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “พยายามเล็งที่หัวของมัน”

    เขายกปืนขึ้นเล็งตามที่พ่อบอก ค่อย ๆ สอดปลายนิ้วเล็กของตนเข้าไปในโกร่งปืน และเมื่อมั่นใจว่ากระสุนจากผืนในมือจะพุ่งตรงเข้าที่หัวของกวางตัวนั้นอย่างแน่นอนแล้วเขาจึงเหนี่ยวไก

    เปรี้ยง!

    กวางตัวที่เป็นเป้าหมายของเขานั้นล้มลงไปนอนกับพื้นในทันที บรรดาสัตว์อื่น ๆ พากันวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศเมื่อได้ยินเสียงเสียงลั่นไกปืนดังสนั่น

    เขาและพ่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังกวางเคราะห์ร้ายตัวนั้นเพื่อเข้าไปดูผลงาน

    ใจของเด็กชายนั้นเต้นแรงเสียจนสามารถได้ยินเสียงตึกตักดังชัดเจน เขารู้สึกร้อนวูบ อะดรีนาลีนในกายหลั่งออกมาเพราะความรู้สึกตื่นเต้นในการล่าครั้งแรก ซึ่งเขาสามารถยิงได้เข้าเป้า

    ทว่าการเล็งที่ผิดพลาดของเด็กอย่างเขากลับทำให้กระสุนนัดนั้นเจาะเข้าที่ข้างลำตัวของกวางแทนที่จะเป็นส่วนหัวอย่างที่เขาตั้งใจ ภาพตรงหน้าของเขาจึงเป็นภาพที่มันกำลังดิ้นไปดิ้นมาด้วยความเจ็บปวด

    เด็กชายเผลอชะงักค้างไปครู่หนึ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก มันไม่ได้แน่นิ่งในทันทีอย่างที่เขาคิดเอาไว้

    “ยิงซ้ำที่หัวมันเลย เร็ว!”

    พ่อของเขาเอ่ยสั่งอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่ามันยังไม่ตายสนิท เขายกปากกระบอกปืนขึ้นเล็ง ทว่ามือของเขากลับสั่นไปหมด ในยามนี้แม้กระทั่งจับปืนให้มั่นคงยังยาก เขารู้สึกราวกับว่าน้ำหนักของปืนในมือนั้นมันเพิ่มขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

    กวางยังคงดิ้นอยู่ เลือดสีแดงเข้มล้นทะลักออกมาจากปากบาดแผล เขาเผลอสบเข้ากับดวงตาของกวางตัวนั้น และเห็นเงาของตัวเองที่กำลังยกปืนขึ้นจ่อสะท้อนอยู่ในตากลมดำที่มีหยาดน้ำใสเอ่อล้น

    หัวใจของเขายังคงสั่นระรัว ทว่ามือของเขากลับเย็นเยียบ

    ความรู้สึกสงสารแล่นมาตีตื้นเข้าที่อก ขอบตาของเขาร้อนผ่าว ก่อนที่มือเล็กนั้นจะค่อย ๆ ลดปากกระบอกปืนลง คนเป็นพ่อที่เห็นอาการไม่สู้ดีของลูกชายจึงรีบคว้าปืนในมือเล็กนั้นไปถือเอาไว้และเล็งยิง

    เปรี้ยง!

    เสียงลั่นไกดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเด็กชายวัยแปดขวบนั้นกลับได้ยินเสียงทุ้มหนักของกระสุนเจาะเข้าที่กระโหลกของกวางตัวนั้นชัดเจนยิ่งกว่า มันดิ้นพราด ๆ อย่างแรงสามสี่ที ก่อนจะแน่นิ่งไปในที่สุด

    “อย่าร้องไห้”

    พ่อของเขาวางกระบอกปืนลงก่อนจะคว้าเขาเข้าไปกอด ทว่าน้ำตาของเขากลับไหลลงมาหยดหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้

    “มันจะเจ็บมากไหมฮะ?”

    สุ้มเสียงที่ปกติแล้วจะใสกังวาลดั่งแก้วนั้นเครือเล็กน้อย

    เขาตัวสั่น

    และรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้กลายเป็นมัจจุราชไปตั้งแต่ได้เห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนบนตาของกวางตัวนั้น

    “เจ็บสิ” พ่อของเขาเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่มันจะเจ็บแค่แปปเดียวเท่านั้นถ้าลูกรีบฆ่ามัน”

    “ผมขอโทษนะฮะ”

    เด็กชายเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังมองซากกวางที่แน่นิ่งอยู่ข้าง ๆ ตากลมนั้นยังสะท้อนเงาของเขาและพ่ออยู่ ทว่าไม่หลงเหลือประกายของความมีชีวิตใดใดอีกต่อไป

    คนเป็นพ่อคลายกอดออกก่อนจะมองหน้าลูกชาย “ถ้าเราไม่ชอบล่าสัตว์ งั้นหลังจากนี้ก็ไม่ต้องมากับพ่อแล้วเนอะ”

    “ไม่เอาฮะ” เด็กชายรีบส่ายหน้า มือเล็กนั้นดึงแขนเสื้อของพ่อเอาไว้แล้วกระตุกเบา ๆ “ผมอยากมาอีก ผมอยากล่าเก่ง ๆ เหมือนพ่อ”

    “ถ้าอยากเป็นนักล่า เราต้องไม่รู้สึกอะไรกับมันทั้งนั้น เข้าใจรึเปล่า”

    มือหนาของคนเป็นพ่อลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ แม้นัยน์ตากลมคู่นั้นจะถูกเคลือบด้วยหยาดน้ำตา ทว่าก็ฉายแววมุ่งมั่นออกมาชัดเจน

    “ฮะ”

    คนเป็นพ่อเดินลากซากของกวางตัวนั้นกลับไปยังรถโดยมีเด็กชายเดินตามหลังมาติด ๆ ดวงตากลมของเด็กชายจ้องมองไปที่ซากกวาง ไล่สายตามองตั้งแต่ขาหลังทั้งสองที่แข็งทื่อ ลำตัวที่เปรอะไปด้วยเลือดจากกระสุนนัดแรก เรื่อยไปจนถึงรอยกระสุนนัดที่สองที่อยู่ตรงกระโหลก ตากลมสีดำของกวางตัวนั้นยังคงเบิกกว้าง

    เด็กชายยังคงมีความรู้สึกสงสารหลงเหลืออยู่ในใจนิดหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตาไร้แววนั้นไม่ละสายตาไปไหน










    ความรู้สึกผิดจากการเล็งเป้าพลาดในตอนที่เขาได้ลองล่าสัตว์ครั้งแรกนั้นเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเริ่มฝึกฝนการเล็งเป้าให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น เริ่มจากปืนลูกซองล่าสัตว์ธรรมดาที่พ่อของเขามี ก่อนจะค่อย ๆ ขยับขยายมาเป็นปืนไรเฟิลในที่สุด

    เขารู้สึกถูกโฉลกกับปืนไรเฟิลมากกว่าเป็นไหน ๆ แม้ว่าปืนไรเฟิลนั้นจะมีแรงกระแทกหนักกว่าปืนลูกซองเยอะเลยก็ตาม

    ในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีปืนเป็นของตัวเองหรอก แม้ว่าจะพยายามรบเร้าขอให้พ่อซื้อปืนให้ตนมากแค่ไหนแต่พ่อของเขาก็ไม่ยอมตามใจซื้อให้

    ‘เรายังเด็กเกินไปที่จะมีปืน’

    พ่อของเขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ซึ่งเขาก็เข้าใจเหตุผลของพ่อดี เขาเริ่มไม่ไปล่าสัตว์กับพ่อและเลือกที่จะไปฝึกยิงปืนที่สนามแทน

    และที่นั่นก็ทำให้เขาได้พบกับจอห์นนี่

    “ยิงแม่นจัง”

    อีกฝ่ายเป็นคนเดินตรงเข้ามาหาและเอ่ยชมเขาก่อน เมื่อเห็นว่าเขาสามารถเล็งยิงเข้าตรงกลางเป้าในระยะหกร้อยเมตรได้อย่างไม่มีผิดพลาด

    เขาในวัยสิบสี่ปีนั้นเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตัวสูงกว่าที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ มือทั้งสองของอีกฝ่ายนั้นลดกล้องส่องทางไกลที่กำลังส่องเป้ายิงของเขาลงก่อนจะหันมาคุยกับเขา

    “อายุเท่าไหร่เหรอเราน่ะ”

    “สิบสี่ครับ”

    เขาตอบ และแอบรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อยที่ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้า เพราะโดยปกติแล้วนั้นแทบไม่มีใครเข้ามาพูดคุยกับเขาสักเท่าไหร่นัก

    “อืม...ฉันยี่สิบห้า”

    “คุณอายุมากกว่าผมสิบเอ็ดปี ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นน้า...”

    “แฮ่ม!” อีกฝ่ายกระแอมไอทันควัน “เรียกจอห์นนี่เถอะ อย่าถือเรื่องอายุเลย”

    "จะดีเหรอ? คุณอายุมากกว่าผมนะ"

    "อืม ดีสิ ฉันไม่ถือหรอก"

    “อ่า...ถ้าอย่างนั้น ผมชื่อโดยอง ยินดีที่ได้รู้จักนะจอห์นนี่”

    เขาแนะนำตัวกลับไปตามมารยาท

    “โดยองนี่คือชื่อจริงของนายเหรอ?” อีกฝ่ายถามขึ้น และเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าตอบ “นายไม่ควรบอกชื่อจริงกับคนแปลกหน้านะรู้ไหม?”

    มือหนานั้นเอื้อมมาลูบศีรษะของเขาเบา ๆ และเขาก็ได้แต่ยืนนิ่ง เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ยอมให้อีกฝ่ายลูบศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกพอใจ

    “ถ้าอย่างนั้นคุณเองก็ไม่ควรบอกอายุจริงกับผมเหมือนกัน”

    เขายอกกลับเสียงเบา

    “แล้วใครว่าฉันบอกอายุจริงกับนายกันล่ะ?”

    รอยยิ้มขบขันถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาหน้านิ่งไปเมื่อรู้ว่าตัวเองเสียรู้ให้กับอีกฝ่ายไปถึงสองครั้งสองคราในเวลาไม่ถึงห้านาที แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรเลยแม้แต่น้อย มิตรภาพต่างวัยระหว่างเขากับจอห์นนี่จึงค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้น

    หลังจากนั้นเขาก็ได้เจอกับจอห์นนี่ในทุกสุดสัปดาห์ ในช่วงแรกที่เจอกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างพากันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการยิงปืน จอห์นนี่สอนเทคนิกการยิงไรเฟิลให้เขาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านทิศทางลม ไปจนถึงการคำนวณระยะ ความสนิทสนมของพวกเขาทั้งคู่นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกไว้ใจเพื่อนต่างวัยคนนี้ จอห์นนี่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย เป็นคนให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้แก่เขา

    หัวข้อการพูดคุยของคนทั้งสองเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหัวข้ออื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนว่าจอห์นนี่จะเป็นฝ่ายฟังเขาเสียมากกว่า เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้จอห์นนี่ฟัง ทั้งเรื่องโรงเรียน ไปจนถึงประสบการณ์การล่าสัตว์ของเขากับพ่อ ซึ่งจอห์นนี่เองก็ตอบสนองเขาด้วยการนั่งฟังเรื่องเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ










    “โดยอง นี่ก็ค่ำแล้วนะ ทำไมพ่อของนายถึงยังไม่มารับอีกล่ะเนี่ย?”

    คนที่อายุมากกว่าเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้สักพักใหญ่แล้ว

    ตามปกติพ่อของเขานั้นมักจะมารับเขากลับบ้านในช่วงเย็น ทว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านมานานมากแล้วแต่กลับไม่มีทีท่าว่าพ่อของเขาจะมารับเสียที

    “นายจะกลับก่อนก็ได้นะจอห์นนี่”

    “ฉันจะปล่อยให้นายอยู่คนเดียวค่ำ ๆ มืด ๆ ได้ไง อันตรายจะตาย” อีกฝ่ายตอบปัดโดยไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่าการนั่งรอพ่อเป็นเพื่อนเขานั้นได้กลายเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่อีกฝ่ายต้องทำไปเสียแล้ว “ไม่ลองโทรหาพ่อดูอีกทีล่ะ”

    เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรหาคนเป็นพ่อตามที่อีกฝ่ายบอก ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของโอเปอเรเตอร์ตอบกลับเขามาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ว่า 'ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียก…’

    เขาหันไปมองหน้าของคนอายุมากกว่าก่อนจะส่ายศีรษะช้า ๆ

    “มา ถ้าอย่างนั้นฉันไปส่งนายที่บ้านดีกว่า”

    “แต่พ่อฉันอาจจะกำลังมาอยู่ก็ได้นะ”

    “น่า...ถ้าขับรถสวนกันเดี๋ยวฉันหยุดรถให้”

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยดังนั้นเขาจึงยอมลุกขึ้นจากม้านั่งและเดินตามไปยังรถยนต์ของอีกฝ่ายในที่สุด





    “ตรงนั้นมีอุบัติเหตุหรือไงนะ”

    คนอายุมากกว่าพึมพำออกมาเมื่อสังเกตเห็นไซเรนจากรถตำรวจหลายคันที่พากันหยุดอยู่อีกฝั่งฟากของถนน เขาที่ได้ยินจึงชะเง้อมองไปที่รถตำรวจด้วยความสนใจ แสงไฟสีแดงวิบวับบนหลังคารถตำรวจนั้นทำให้เขารู้สึกเวียนหัวไม่น้อย

    กระทั่งรถของจอห์นนี่ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านรถตำรวจคันนั้นไป ดวงตากลมจึงได้เบิกกว้างเมื่อสังเกตเห็นรถกระบะอีกคันที่แสนคุ้นตา เขาจำเลขป้ายทะเบียนของรถคันนั้นได้อย่างขึ้นใจ

    มันเป็นรถของพ่อ

    หัวใจของเขาหล่นวูบทันที เพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่าใจหายก็ในวันนี้ ฝ่ามือเรียวของเด็กหนุ่มอายุสิบห้านั้นพยายามเอื้อมไปคว้าแขนเสื้อของคนที่กำลังขับรถอยู่ ทว่าเขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน

    “จ…จอห์นนี่”

    เขาเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาอย่างยากลำบาก กระทั่งกลืนน้ำลายลงคอยังยากเลยสำหรับเขาในยามนี้ ขอบตาของเขาร้อนผ่าว รู้สึกแสบไปหมดทั้งดวงตาและจมูก

    คนอายุมากกว่าหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย และเมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำตาของเขากำลังไหลอีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจหยุดรถที่ไหล่ทาง

    “โดยอง เป็นอะไร?”

    “รถ…พ่อ…”

    เขาไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าแม้จะสื่อสารออกมาแบบติด ๆ ขัด ๆ แต่ดูเหมือนจอห์นนี่นั้นจะสามารถจับความหมายที่เขาต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี อีกฝ่ายหันกลับไปมองจุดที่รถตำรวจคันนั้นจอดอยู่ และในที่สุดก็สังเกตเห็นรถอีกคันที่ส่วนหน้านั้นอัดก็อปปี้กับต้นไม้ใหญ่ข้างทางเสียยับเยิน

    ไม่จำเป็นต้องให้มีใครพูดอะไรออกมาอีกต่อไป จอห์นนี่ทำการกลับรถไปยังรถตำรวจหลายคันที่จอดอยู่ตรงนั้นในทันที

    เขาพยายามจะเปิดประตูรถลงไปดู ทว่าแข้งขากลับไม่ยอมก้าวไปตามที่ใจสั่ง มันทรุดฮวบลงกับพื้นดินในทันทีที่ลงจากรถ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรงพอสมควร ทว่าในยามนี้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดของเขานั้นกลับสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น มือเรียวทั้งสองเผลอกำหมัดอย่างนึกโมโหในความอ่อนแอของตัวเอง

    จอห์นนี่รีบลงจากรถก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงให้เขากลับขึ้นไปนั่งที่เดิม

    “เดี๋ยวฉันไปถามให้เอง นายนั่งตรงนี้ก่อนนะ” อีกฝ่ายเอ่ย “อย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย เรายังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

    ว่าจบก็ร่างสูงนั้นก็เดินตรงเข้าไปคุยกับทางตำรวจ เขาเห็นอีกฝ่ายคว้ามือถือของตัวเองออกมากดและยกขึ้นแนบหูด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง แม้จอห์นนี่จะบอกกับเขาว่าอย่าคิดในแง่ร้าย แต่น่าตลกเหลือเกินที่เขาไม่อาจทำตามที่อีกฝ่ายบอกได้เลยแม้แต่น้อย

    จอห์นนี่เดินมาหาเขาเมื่อคุยกับเจ้าหน้าที่เสร็จ “ตำรวจบอกว่าตอนนี้พ่อของนายถึงมือหมอเรียบร้อยแล้ว ใจเย็น ๆ นะ พ่อของนายจะต้องไม่เป็นอะไร”

    ชั่ววูบหนึ่งเขาคิดว่าถ้อยคำให้กำลังใจนั้นมันช่างเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าที่นั่งฝั่งคนขับนั้นเสียหายมากขนาดไหน เขาไม่ได้อยากจะมองโลกในแง่ร้าย แต่เขาก็หลอกตัวเองไม่ได้

    จอห์นนี่หันมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นระยะด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาตลอดทางไปโรงพยาบาล

    เขาและจอห์นนี่รีบเปิดประตูรถและพุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลและวนหาที่จอดรถเสร็จ

    “พ่อผม ฮึก! อาการ...” เขาเผลอสะอื้นออกมายามเอ่ยถามนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ “เขาโดน...รถชน”

    “ผมเป็นญาติของผู้ป่วยจากอุบัติเหตุรถชนที่โทรเข้ามาเมื่อครู่นี้ครับ”

    จอห์นนี่เดินเข้ามาโอบบ่าของเขาก่อนจะทำการพูดคุยกับนางพยาบาลคนนั้น

    “อ้อ...ค่ะ ตอนนี้ผู้ป่วยกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด ญาติผู้ป่วยเชิญนั่งรอหน้าห้องผ่าตัดนะคะ”

    พยาบาลคนนั้นเอ่ยก่อนจะผายมือไปยังเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด

    “ขอบคุณครับ”

    จอห์นนี่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะช่วยพยุงร่างของคนที่อ่อนแรงไปนั่งตรงเก้าอี้ และคว้ามืออันเย็นเฉียบของเพื่อนที่อายุน้อยกว่ามากุมเอาไว้และบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ

    มีเพียงความเงียบระหว่างคนทั้งคู่

    ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาทั้งนั้น

    กระทั่งทันทีที่เห็นว่าประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออก เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก็รีบลุกขึ้นเดินไปหาแพทย์ในทันที

    “พ่อของผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”

    “ผู้ป่วยทนพิษบาดแผลไม่ไหว เขาเสียชีวิตแล้วค่ะ” เด็กหนุ่มนิ่งค้างไปพักใหญ่ด้วยได้ยิน ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งตกใจ เสียใจ กระทั่งหวาดกลัว หยาดน้ำตาที่นองทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีนั้นทำให้คนที่สังเกตเห็นอดที่จะรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ ทว่าเธอก็ต้องทำตามหน้าที่ของเธอ “ดิฉันขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”

    “ผม ฮึก! ผมเข้าไปหาพ่อได้ไหม...”

    เขารีบพุ่งตรงเข้าไปในห้องผ่าตัดในทันทีที่แพทย์สาวหลีกทางให้ มืออันสั่นเทานั้นค่อย ๆ เปิดผ้าที่คลุมร่างไร้ลมหายใจออกช้า ๆ และเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของคนเป็นพ่อชัด ๆ เสียงร้องไห้โฮก็ดังไปทั่วห้องผ่าตัดแห่งนี้

    ความเสียใจที่เขาพยายามทำความคุ้นเคยมาก่อนหน้าเทียบอะไรไม่ได้กับตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

    “ร้องออกมา” จอห์นนี่เอ่ยขณะคว้าตัวเขาไปกอดเอาไว้ มือหนาของคนอายุมากกว่าลูบศีรษะของเขาที่กำลังสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลม “นายยังมีฉันอยู่ตรงนี้”

    เขาในวัยสิบห้าปีได้รับรู้ในตอนนั้น ว่าการที่โลกทั้งใบแตกสลายมันเป็นอย่างไร





    ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนนั้นอึมครึมไม่ต่างจากความรู้สึกของเขาในตอนนี้เสียเท่าไหร่นัก

    เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาในยามที่ค่อย ๆ วางดอกคาร์เนชันสีชมพูลงในหลุมศพอย่างเบามือและกระซิบบอกกับพ่อว่า ’ขอให้ฝันดี’

    เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาอีกเลย

    “มาอยู่กับฉันไหมโดยอง?”

    จอห์นนี่เอ่ยถามขึ้นขณะที่ยืนกางร่มให้อยู่ข้าง ๆ

    สายฝนโปรยปรายลงมาไม่หยุด ราวกับว่ากำลังร่ำไห้เสียใจไปพร้อมกับเขา

    “ไม่รู้สิ..."

    เขาในวัยสิบห้าปีนั้นรู้สึกเคว้งคว้างและไร้จุดยืนเมื่อได้สูญเสียเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวไป

    “ถ้าอย่างนั้นก็มาอยู่กับฉันเถอะนะ”

    จอห์นนี่เอื้อมมือมาโอบไหล่ของเขาเอาไว้และกระชับให้แน่นขึ้น





    บ้านของจอห์นนี่นั้นหลังใหญ่และสะดวกสบายกว่าบ้านหลังเก่าของเขาหลายเท่านัก เขาหันไปมองคนอายุมากกว่าสลับกับบรรดาสปอร์ตคาร์ที่เรียงรายอยู่ในโรงจอดรถของบ้านอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเสียเท่าไหร่

    ทั้งที่ดูไม่เหมือนคนมีเงินเลยสักนิด...

    “ต่อจากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นบ้านของนายนะโดยอง” จอห์นนี่หันไปพูดกับคนข้างกาย “นายเข้าได้หมดทุกห้อง แต่ยกเว้นห้องใต้ดินนะ”

    “ทำไมล่ะ?”

    “มันห้องทำงานของฉัน น่าเบื่อจะตายไป ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

    จอห์นนี่เอ่ยตอบเพียงแค่นั้น ซึ่งเขาเองก็รับรู้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้อยู่อาศัย หากดื้อดึงไม่ยอมทำตามกฎของเจ้าของบ้านล่ะก็คงได้โดนเฉดหัวออกไปนอนนอกบ้านเป็นแน่

    การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของเขาและจอห์นนี่นั้นเป็นไปอย่างปกติสุขจนน่าเหลือเชื่อ แต่ในขณะเดียวกัน ความสงสัยเกี่ยวกับหน้าที่การงานของจอห์นนี่นั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในใจเขาทีละนิด

    เพราะการอยู่ร่วมกันนั้นทำให้เขาเห็นว่าจอห์นนี่แทบไม่ออกไปไหนสักเท่าไหร่ หากไม่มีธุระสำคัญอะไร อีกฝ่ายก็เอาแต่ขลุกอยู่ในบ้านตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังไม่เคยเข้าไปเหยียบห้องทำงานใต้ดินที่ว่านั่นให้เขาเห็นเลยสักครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรมากนัก

    ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจอห์นนี่นั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปทีละนิด มันเริ่มจากเพื่อน เลื่อนมาเป็นคนสนิทที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ก่อนจะพัฒนามาเป็นความสัมพันธ์ฉันท์คนรักในที่สุด

    เขาไม่ปฏิเสธการย้ายมานอนห้องเดียวกับจอห์น วันเวลาผันผ่านไปหลายเดือนโดยไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่งที่เขาตื่นมาเข้าห้องน้ำและไม่เจออีกฝ่ายนอนอยู่ข้าง ๆ

    เขาลุกขึ้นนั่งและหันมองไปรอบห้อง ทว่าก็พบเพียงความว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกสงสัยเขาจึงแอบเดินลงมาที่ชั้นล่างหลังจากที่เข้าห้องน้ำเสร็จ ขาเรียวย่องไปตามทางเดินอย่างเงียบเชียบจนมาหยุดยืนอยู่ที่ประตูของห้องใต้บันได เขาเอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตูก่อนจะออกแรงบิดอย่างเบามือที่สุด

    มันไม่ได้ล็อค

    ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาในยามที่เขาผลักประตูและแอบชะเง้อมองเข้าไปด้านใน ไฟในห้องเปิดสว่างทว่ากลับไม่มีใครอยู่ในนั้นเลยสักคน

    เขาได้แหกกฎเพียงข้อเดียวที่คนเป็นเจ้าของบ้านได้ตั้งเอาไว้เสียแล้ว

    “ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าห้ามเข้ามาในห้องนี้” น้ำเสียงเย็นยะเยียบที่ดังขึ้นนั้นทำเอาคนฟังถึงกับตัวเกร็ง ดวงหน้าเรียวค่อย ๆ หันกลับไปมองด้านหลังอย่างระมัดระวัง และก็พบกับจอห์นนี่ที่กำลังยืนถือแก้วมัคแก้วหนึ่งอยู่ในมือ “ทำไมดื้อจัง ฮึ?”

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นสูง ทว่าในดวงตากลับไม่มีวี่แววความโกรธเคืองใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

    “ก็ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอนาย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อนอย่างรู้สึกผิด “ฉันก็เลย…ลองมาหานายที่ห้องนี้”

    “เฮ้อ...เอาเถอะ” คนฟังถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของคนรัก “โกโก้ร้อนหน่อยไหม?”

    “แล้วนายไม่ดื่มเหรอ?”

    “ไม่แล้วล่ะ บังเอิญเจอคนซนแถวนี้เลยคิดว่ายกโกโก้ให้น่าจะดีกว่า เอ้า”

    “ขอบคุณนะ” เขาเอื้อมมือไปรับแก้วโกโก้ร้อนจากอีกฝ่ายก่อนจะยกขึ้นเป่า ดวงตากลมเหลือบมองคนตรงหน้ายามที่เอ่ยถามเสียงแผ่ว “ฉัน...ถามได้ไหมว่านายทำงานอะไรกันแน่?”

    "นายอยากรู้เหรอ?"

    "อื้อ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ ฉันจะไม่ถามอีกก็ได้"

    อีกฝ่ายมองหน้าเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “ถ้านายรู้...นายจะกลัวฉันไหม?”

    “แล้วทำไมฉันต้องกลัวนายด้วยล่ะ?”

    เขาย้อนถามก่อนจะยกโกโก้ร้อนในมือขึ้นจิบเบา ๆ

    “นายคิดว่าไงถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นนักฆ่า เชื่อฉันไหม? กลัวฉันหรือเปล่า?”

    คิ้วหนาของอีกฝ่ายเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย ทว่าดวงตาคมนั้นกลับไม่ได้ฉายแววขี้แกล้งใด ๆ อย่าที่เคยมีเลยแม้แต่น้อย

    “นายกำลังจะบอกฉัน...ว่านายรับจ้างฆ่าคน...อย่างนั้นเหรอจอห์นนี่?”

    “ไม่เชื่อล่ะสิ” อีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักเปิดประตูห้องทำงานของตัวเองให้กว้างขึ้น “จะเข้ามาพิสูจน์ไหมล่ะ?”

    น้ำเสียงเชิญชวนทว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกอันตรายของอีกฝ่ายนั้นกลายเป็นสิ่งที่ดูน่าค้นหาสำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเขา ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องนั้นตามที่อีกฝ่ายบอก

    ห้องทำงานธรรมดาที่มีเฟอร์นิเจอร์เป็นตู้ไม้แกะสลักอยู่รอบห้อง

    เขาวางแก้วโกโก้ในมือลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย ก่อนจะไล่สายตามองสิ่งที่วางอยู่บนนั้นอย่างช้า ๆ จนสายตาไปหยุดอยู่ตรงรูปถ่ายของคนที่เขาไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อยรูปหนึ่ง

    เขาเริ่มจะเชื่อขึ้นมาแล้วนิดหน่อย

    ดูจากการร่ำรวยอย่างผิดปกติของอีกฝ่ายแล้วนั้นมันก็ค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อยว่าคนรักของเขานั้นทำงานที่ผิดกฎหมายนี้อยู่จริง ๆ แล้วยิ่งอีกฝ่ายก้าวเดินไปเปิดตู้ไม้ตู้หนึ่งให้เขาดูด้วยแล้ว

    เขาเห็นอาวุธปืนจำนวนไม่น้อยถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ในตู้นั้น

    ในที่สุดเขาก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าจอห์นนี่ไม่ได้โกหกเรื่องอาชีพจริง ๆ

    “รู้อย่างนี้แล้วนายกลัวฉันหรือเปล่า?”

    ชั่ววูบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนตัวเองสังเกตเห็นเค้าความไม่มั่นใจจากดวงตาคมคู่นั้น

    “ไม่..." และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะซุกใบหน้าของตนลงบนแผ่นอกกว้างนั้น “ไม่เลย”

    น่าแปลกเหลือเกินที่เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือเกรงกลัวใด ๆ เลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะว่าเขาอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายมานานหลายปีโดยที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามใด ๆ กับเขาเลยสักนิด

    ความไว้วางใจที่เขามีต่ออีกฝ่ายนั้นมากเกินกว่าที่จะทำให้เขารู้สึกกลัว










    หากล่าสัตว์ครั้งแรกนั้นถือว่ายากแล้ว การฆ่าคนครั้งแรกเองก็ยากไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

    ไม่สิ...มันยากกว่าอีกตรงที่เขาต้องต่อสู้กับศีลธรรมในใจ แต่ก็ถือว่าเขาโชคดีไม่น้อยที่ความเคยชินจากการปลิดชีวิตของบรรดาสัตว์ป่าในอดีตนั้นก็ช่วยลดทอนความรู้สึกหนักอึ้งในใจของเขาลงไปได้บ้าง

    สิ่งที่ยากกว่านั้นจริง ๆ คือการต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ตัวเองต้องกลายเป็นเป้าหมายเสียเองต่างหาก





    “ใส่เอาไว้ แล้วอย่าให้ใครเห็นหน้าเด็ดขาดล่ะ”

    จอห์นนี่พูดกับเขาพร้อมกับยื่นแมสก์ปิดหน้าและหมวกแก็ปสีดำมาให้ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากบ้าน วันนี้เป็นวันแรกที่เขาจะได้ติดตามอีกฝ่ายไปทำงานในฐานะของ'ผู้ช่วย’ หลังจากที่เขารบเร้าอีกฝ่ายอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้อีกฝ่ายก็ยอมใจอ่อนให้เขาตามมาด้วย

    “ต้องใส่ตลอดเลยเหรอจอห์นนี่”

    “ใช่ ห้ามถอดเด็ดขาดนะ”

    ถ้อยคำกำชับที่เต็มไปด้วยความจริงจังนั้นทำให้เขารับเอาแมสก์และหมวกแก็ปนั้นมาสวมแต่โดยดี เขายกกระเป๋าสี่เหลี่ยมทรงยาวที่ด้านในบรรจุปืนเอสอาร์สองห้าอยู่ด้านในขึ้นมาถือ มันเป็นปืนไรเฟิลประจำตัวของจอห์นนี่ ก่อนจะเดินตามคนรักไปที่รถและเริ่มทำงาน





    เขาเป็นผู้ช่วยของจอห์นนี่อยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก่อนจะตัดสินใจลองรับงานดูเป็นครั้งแรก

    “แทยงน่ะไว้ใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าบอกชื่อให้หมอนั่นรู้เด็ดขาดล่ะ วงการนี้มันอันตราย ยิ่งคนรู้จักเราน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

    จอห์นนี่เอ่ยเตือนขึ้นในวันที่พาเขาเข้าไปยังคอนติเนนทัลเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายบังคับให้เขาสวมแมสก์และหมวกแก็ปอยู่ตลอดเวลาจนเขาติดเป็นนิสัยเวลาออกนอกบ้าน เขารู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกให้เขาปิดบังใบหน้า สาเหตุเดียวเลยคือต้องการให้เขาปลอดภัย หากไม่มีใครรู้ใบหน้าที่แท้จริงของเข ก็จะไม่มีใครสามารถตามล่าเขาได้ทั้งนั้น

    และในวันนั้นเองที่เขาได้พบกับแทยง พนักงานต้อนรับชายของคอนติเนนทัลที่ได้กลายมาเป็นคนติดต่อกับผู้จ้างวานให้เขาในภายหลัง

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่คอนติเนนทัล จะให้ผมรับใช้อะไรดีครับ”

    “ห้องหนึ่งห้อง”

    จอห์นนี่เอ่ยก่อนจะวางเหรียญสีทองลงบนเคาน์เตอร์ เขาชะเง้อมองตามเหรียญนั้นไปด้วยความสนใจใคร่รู้จนทำให้คนที่อยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์นั้นหลุดยิ้มออกมา

    “เด็กใหม่เหรอ?"

    “อืม”

    เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังถูกกล่าวถึง เขาจึงได้หยุดท่าทีที่เหมือนเด็กนั้นลง ร่างผอมโปร่งส่งเสียงกระแอมเบา ๆ ในลำคอเพื่อเรียกสติก่อนจะเลื่อนตัวกลับไปยืนอยู่ด้านหลังของจอห์นนี่ตามเดิม

    โลกของนักฆ่าที่เขาเพิ่งได้เข้ามาสัมผัสแบบจริง ๆ จัง ๆ นั้นเป็นอะไรที่น่ากลัว ทว่าก็แฝงเร้นไปด้วยความระทึกและตื่นเต้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูแปลกใหม่สำหรับเขานั้นชวนให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด

    จอห์นนี่บอกว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการขึ้นทะเบียนนักฆ่าเสียก่อนถึงจะรับงานจากคอนติเนนทัลได้ ซึ่งการจะขึ้นทะเบียนได้นั้นต้องทำภารกิจทดสอบที่ได้รับมอบหมายมาให้ผ่าน

    ภารกิจทดสอบของเขาคือการลอบสังหารลูกน้องของแก๊งมาเฟียแก๊งหนื่ง รายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายที่ได้รับมามีเพียงแค่ชื่อและรูปภาพเพียงเท่านั้น

    เขาใช้เวลาสามวันในการตามหาว่าเป้าหมายนั้นอยู่แก๊งไหน และใช้เวลาอีกหนึ่งอาทิตย์กว่า ๆ ในการสะกดรอยตามเพื่อเก็บข้อมูลกิจวัตรประจำวันของอีกฝ่าย ทั้งหมดนี้เขาต้องทำด้วยตัวเองโดยห้ามไม่ให้ใครช่วยเหลือเด็ดขาด

    และในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่เขาเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายจนมั่นใจแล้วว่า เป้าหมายจะต้องเดินไปซื้อกาแฟที่ร้านฝั่งตรงข้ามอพาร์ทเม้นท์ในทุก ๆ เช้า เขาจึงขึ้นไปดักรออีกฝ่ายบนดาดฟ้าของตึกที่อยู่เยื้องกับอพาร์ทเม้นท์ของเป้าหมายไปหนึ่งช่วงตึก

    ความอดทนนั้นเป็นทักษะหนึ่งที่เขามีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก การซุ่มรออีกฝ่ายอยู่บนดาดฟ้านั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลยแม้แต่น้อย

    เขาเล็งลำกล้องของปืนไปที่ประตูร้านกาแฟแห่งนั้น และรอคอย...

    เนิ่นนานเท่าไหร่เขาก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดเป้าหมายก็เดินข้ามถนนมาจากอพาร์ตเม้นของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่วิถีปืน

    ทว่าเขากลับไม่ได้เหนี่ยวไก

    จู่ ๆ ภาพของกวางตัวแรกที่เขาล่าได้นั้นผุดวาบขึ้นมาในหัว เขารู้สึกเหมือนกำลังเห็นมันดิ้นพราดอยู่ตรงหน้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องนั้นมันผ่านมานานมากแล้ว

    มือของเขาเย็นเฉียบยามที่เผลอนึกถึงเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในตาของกวางตัวนั้น

    เขากลืนน้ำลายลงเหนียวคอก่อนจะเม้มปากแน่น

    เป้าหมายเดินเข้าร้านกาแฟไปแล้ว

    เขาเผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ และเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังไม่มีสมาธิอยู่กับงาน เขาจึงรีบสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติ และเริ่มเฝ้ารออีกครั้ง

    เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ในที่สุดประตูร้านกาแฟก็ถูกเปิดออก

    ฟิ้ว!

    ครั้งนี้เขาไม่พลาดที่จะลงมือ กระสุนที่ออกมาจากท่อเก็บเสียงนั้นกรีดเสียงหวีดหวิวแผ่วเบาออกมายามแหวกผ่านอากาศ ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเขาก็เห็นเป้าหมายทรุดฮวบล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นในที่สุด

    เขานับหนึ่งถึงสิบห้าในใจ และเมื่อเห็นว่าเป้าหมายไม่ไหวติงใด ๆ จึงได้เริ่มถอดชิ้นส่วนปืนไรเฟิลของตัวเองเก็บใส่กระเป๋ากีต้าร์ในที่สุด

    เขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นนักฆ่าของคอนติเนนทัลตามที่คาดเอาไว้ ทว่ากลับไม่เคยรับงานใด ๆ ด้วยตัวเองเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาสองปี

    คนรับงานจากนายหน้าและส่งต่อมาให้เขาทำโดยตลอดก็คือจอห์นนี่ เขารู้ดีว่าที่อีกฝ่ายไม่อยากให้เขารับงานเองนั้นเป็นเพราะเรื่องของความปลอดภัย การกระทำนั้นทำให้รู้สึกว่าจอห์นนี่เป็นห่วงเขามากเกินไป แต่ก็อดที่จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีกับการถูกใครสักคนปกป้อง

    เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นจนเคยชิน และเผลอลืมนึกไปว่าการที่คนรักของเขาเปิดเผยตัวตนและรับงานถี่จนผิดวิสัยนั้นอาจทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายได้เช่นเดียวกัน

    จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับเป้าหมายใหม่ซึ่งหญิงสาวเอเชียหน้าตาใสซื่อดูไร้พิษสงคนหนึ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้นเธอเป็นถึงลูกสาวของหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียฮ่องกง

    เขาเป็นนักฆ่า เมื่อมีคนจ้างมาเขาก็ต้องทำ

    ลูกสาวหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียฮ่องกงรายนั้นจึงจบชีวิตลงด้วยกระสุนปืนของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผลแห่งการกระทำทั้งหมดจะย้อนกลับคืนมาหาเขาอย่างเจ็บแสบ เมื่อจอห์นนี่ได้จบชีวิตลงด้วยฝีมือของนักฆ่าจากแก๊งค์มาเฟียฮ่องกงแก๊งค์นั้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา

    เขาลงมือค้นหาในทันทีว่าใครเป็นคนจ้างวานและฆ่าคนรักของตน และเมื่อได้รายชื่อมา เขาก็จัดการลงมือเก็บพวกมันในทันที

    ถ้าหากว่าเงินคือแรงผลักดันอย่างหนึ่งในชีวิตการเป็นนักฆ่าของเขาแล้วล่ะก็ ความแค้นเองก็คงเป็นแรงผลักดันสำหรับตัวเขาด้วยเช่นกัน

    เหตุการณ์นองเลือดหน้าคอนติเนนทัลกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานประกอบความลึกลับของเขา ทว่ากลับไม่มีใครล่วงรู้เลยสักคนว่าค่าจ้างสำหรับการฆ่ามาเฟียฮ่องกงกลุ่มนั้น คือค่าจ้างที่สูงที่สุดในชีวิตที่เขาต้องจ่ายด้วยตัวเอง









    ท้องฟ้าในวันนี้ร่ำไห้เสียใจไปพร้อมกับเขาอีกครั้ง

    “ฉันรักนาย”

    เขากระซิบเสียงแผ่วเบา หลังจากที่วางดอกกุหลาบสีดำลงในหลุมศพของคนรัก มือเรียวลูบฝาโลงศพสีดำสนิทนั้นด้วยความรู้สึกโศกสลด

    โลกที่เขาและจอห์นนี่ช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่นั้นได้พังทลายลงอีกครั้ง

    และฝนที่กำลังโปรยปรายลงสู้พื้นดินมานั้นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ทวีคูณมากขึ้นไปอีก

    เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม รอยยิ้มเศร้าถูกจุดขึ้นบนใบหน้าเรียวยามหวนนึกถึงอดีตเมื่อโลกทั้งใบของเขาได้แตกสลายเป็นครั้งแรก

    เขารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างจากในตอนนี้สักเท่าไหร่

    เพียงแค่ต่อจากนี้เขาไม่มีคนคอยกางร่มให้อีกต่อไปแล้ว










    [end.]
    —————————————————————————————————————————

    [เพิ่มเติม] สำหรับคนที่เรียงไทม์ไลน์ไม่ถูก
    9ขวบ ตามพ่อไปล่าสัตว์
    12ปี ฆ่าสัตว์ครั้งแรก
    14ปี เจอจอห์นนี่
    15ปี พ่อเสียชีวิต
    17ปี คบกับจอห์นนี่ เป็นผู้ช่วยของจอห์นนี่
    18ปี ฆ่าคนครั้งแรก ขึ้นทะเบียนนักฆ่า
    20ปี จอห์นนี่ตาย กลายเป็นมิสติคอาร์
    หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตเป็นนักฆ่ามาเรื่อยๆจนกระทั่งเจอคุณอัยการ

    คาร์เนชันสีชมพู ผมจะไม่มีวันลืมคุณ
    กุหลาบสีดำ รักนิรันด์


    แอบกังวลนิดหน่อยที่ติดแท็กฟิคแจโด
    เราไม่ได้จะสับขาหลอกคู่นะคะ ฮื่ออออ
    นี่น่ะฟิคแจโดจริงๆ แต่เป็นอดีตตอนที่เขายังไม่เจอกัน T^T
    ว่าด้วยเรื่องราวของคุณนักฆ่าก่อนจะมาเจอคุณอัยการ
    ตอนที่แล้วปิดตำนาน(อย่างเงียบๆ)
    ส่วนตอนนี้เป็นการเปิดตำนานของคุณเขาค่ะ

    ปล.เรื่องขึ้นทะเบียนนักฆ่าอะไรนี่ใน John Wick ไม่ได้มีระบุเอาไว้นะคะ
    แต่เราสร้างขึ้นเองจากระบบโอเปอเรเตอร์ที่ส่งข้อความ
    ไปให้นักฆ่าคนอื่นๆตอนสั่งล่าจอห์น วิค
    #allislovefic

    how to comment ใน minimore


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
hoka_horoka (@hoka_horoka)
ถึงเป็นจอห์นโดก็ไม่โกรธเลยค่ะ มันดีมาก เป็นความสัมพันที่อบอุ่นจัง น่าเสียดายที่จอห์นนี่ตาย แต่ถ้าไม่ตายก็คงไม่เจอกับคุณอัยการ อยากอ่านต่อจังค่ะ ฮือออออออออ
Cadeaux (@Cadeaux)
จริงๆ โทนของเรื่องมันก็ไม่ได้ดูจะสีชมพูหวานแหววสักเท่าไหร่ แต่ทำไมอบอุ่นจังง ฮื่ออ พาร์ทของคุณจอห์นนี่กับโดยองดีมากๆ ถ้ามีต่ออีกก็จะรอติดตามพาร์ทของคุณอัยการกับคุณมิสติคอาร์ อยากให้คุณเค้ามีคนกางร่มให้อีกครั้ง
Gift N. T. (@giftnt1402)
การลงมือฆ่าไม่ใช่ฉากที่บรรยายได้ง่ายเลย เพราะมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่นักเขียนหลายคนเคยผ่านมา คนอ่านหลายคนก็ใช่ว่าจะเคยทำ เวลาอ่านฉากแนวนี้ เวลาอ่านนิยายเราเลยมักจะสงสัยว่าเรารู้สึกว่ามันเรียลได้ไงนะ แต่ฟิคเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในฟิคที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดและกลัวไปกับโดยองได้ ละเอียด แล้วเลือกและลำดับคำได้ดีเลยค่ะ

พ่อโดยองเป็นนักล่าสัตว์ธรรมดารึเปล่านะ... พออ่านเรื่องแนวนี้ทีไรก็ระแวงไปหมดเลยค่ะ ฮ่าๆ

สำหรับจอห์นโดนะคะ... ฮืออออ ชอบมู้ดจอห์นโดแนวเอ็นดูเธอ ดูแลเธอ ปกป้องเธอมากค่ะ แต่ระหว่างอ่านไม่กล้าฟินเต็มที่เพราะตอนที่แล้วเห็นโดยองแอบรู้สึกกับแจฮยอน เลยคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับจอห์นนี่แน่ๆ

ตอนแรกเดาว่าจอห์นนี่เข้าหาโดยองอย่างมีวัตถุประสงค์แอบแฝงมั้ย เพราะดูน่าสงสัยไปหมด แล้วสุดท้ายโดยองค้นพบความจริงเลยกลายมาเป็นศัตรูกันรึเปล่า แต่ไม่ใช่เลย แล้วดีใจมากๆ ที่เดาผิดด้วย เพราะพอเฉลยเรื่องจอห์นโดขึ้นมาจริงๆ แล้วมัน... ฮือออออออ ไม่รู้จะคิดยังไงดี ทีมแจโด แต่พอเห็นจอห์นโดแบบนี้ก็อดเศร้าไม่ได้

สงสารโดยองนะคะ เจออะไรมาหลายอย่าง อาชีพของโดยองก็ไปทำลายความสุขของหลายคนเหมือนกัน ฆ่าก็คือฆ่า ลบล้างไม่ได้ แต่พอรู้อดีตแล้วก็ดันมีความเห็นใจเกิดขึ้นมา + ยังหวังว่าจะเห็นโดยองมีความสุขซักที (กับนายอัยการคนนั้น) นี่เราควรจะรู้สึกยังไงดี... เอาเป็นว่าถ้าเรื่องราวในจักรวาลนี้จะยังดำเนินต่อไป เรารอทำความรู้จักกับแจฮยอนเพิ่มนะคะ