เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[NCT | OS/SF] ALL IS LOVEhbrxnct
[os] Mystic R #jaedo
  • Title: Mystic R
    AU : John Wick
    Pairing: JungJaehyun x KimDoyoung
    Rating: PG
    Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น————————————————————————————————————————










    ‘มิสติคอาร์’

    คือนามแฝงของนักฆ่าในตำนานรายหนึ่ง บุคคลลึกลับที่สามารถเป่าหัวของแก๊งค์มาเฟียฮ่องกงดับคาหน้าคอนติเนนทัลถึงห้าคนรวดได้โดยไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนตัวอยู่ที่ใด รู้กันแค่ว่าเพียงมาเฟียฮ่องกงกลุ่มนั้นก้าวขาออกมาจากคอนติเนนทัล พวกเขาทั้งหมดก็ถูกกระสุนขนาดจุดสามศูนย์แปดวินเชสเตอร์พุ่งเข้าเจาะทะลุศีรษะและล้มตายอย่างระเนระนาดในทันที

    ผู้คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนักฆ่าต่างรู้กันดีว่าการเล็งยิงที่ศีรษะโดยตรงนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการ เพราะโอกาสยิงให้เข้าเป้านั้นมีน้อยกว่าการเล็งยิงตามลำตัวเป็นไหน ๆ แม้แต่มือสไนเปอร์ที่มีลำกล้องติดปืนอยู่ก็ไม่อาจรับประกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะสำเร็จ แต่มิสติคอาร์สามารถทำได้ และปิดงานลงโดยใช้กระสุนเพียงแค่ห้านัดเท่านั้น

    ข่าวลือเกี่ยวกับความเก่งกาจและไร้ร่องรอยของมิสติคอาร์ถูกแพร่กระจายไปทั่ว จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากรู้ตัวจริงของนักฆ่ารายนี้ ทว่าก็ไม่เคยมีใครเคยได้เจอกับตัวจริงของเขาเลยสักครั้ง

    ความลึกลับของมิสติคอาร์นั้นถือเป็นตำนานอย่างหนึ่งของคอนติเนนทัล และเป็นที่กล่าวขานมากพอกันกับตำนานบูกี้แมนเลยทีเดียว










    ร่างผอมโปร่งกระชับเสื้อโค้ทสีดำของตัวเองที่กลมกลืนไปกับความมืดมิดของรัตติกาลขณะเดินไปตามฟุตปาธ เขาเกลียดสภาพอากาศของนิวยอร์กในช่วงฤดูหนาว หิมะคือสิ่งที่ทำให้เขาทำงานลำบาก เกล็ดน้ำแข็งสีขาวที่พากันโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้านั้นทำให้เขารู้สึกหนาวเยือก หนำซ้ำมันยังทำให้เครื่องแต่งกายสีดำสนิทของเขาดูเด่นชัดขึ้นมาอีกด้วย

    ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปในตัวอาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมของถนน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยอย่างดี

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่คอนติเนนทัล จะให้ผมรับใช้อะไรดีครับ”

    “มาสเตอร์อยู่ไหม?”

    เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่เพื่อคิดหาคำตอบให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มละมุนของตนเองออกมาอย่างอืดเอื่อย ขณะเดียวกันนั้นก็ใช้ดวงตากลมโตของตนลอบสำรวจพนักงานต้อนรับของคอนติเนนทัลอย่างระแวดระวัง และก็ได้รับรอยยิ้มบาง ๆ จากอีกฝ่ายตอบกลับมา

    “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

    “อืม”

    ใบหน้าของเขาถูกปกปิดเอาไว้ด้วยแมสก์สีดำ และบนศีรษะเองก็มีหมวกแก็ปสีดำครอบอยู่ ของทั้งสองนี้คือสิ่งที่ช่วยปกปิดใบหน้าแท้จริงของเขาได้เป็นอย่างดี

    “ตอนนี้มาสเตอร์กำลังออกไปทำธุระด้านนอกอยู่ และให้ผมแจ้งกับคุณว่าเมื่อคุณมาถึงแล้วให้ขึ้นไปรอที่ห้องพักได้เลย”

    “อืม…”

    เขาส่งเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำที่เป็นเพียงส่วนเดียวที่โผล่พ้นแมสก์ออกมานั้นดูเรียบเฉยไร้แววอารมณ์

    “นี่คีย์การ์ดครับ ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อน”

    ชายในชุดสีดำสนิทรับคีย์การ์ดขนาดเล็กกว่าฝ่ามือมาถึอเอาไว้ก่อนจะเดินตรงไปยังโถงลิฟต์ เขาปฏิเสธการรับบริการจากพนักงานขนกระเป๋า สัมภาระที่ติดตัวเขามานั้นมีเพียงแค่กระเป๋ากีต้าร์หนังสีดำสนิทเพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่ยินดีให้มันไปตกอยู่ในมือของใครทั้งสิ้น

    ร่างผอมโปร่งวางกระเป๋ากีต้าร์ของตนลงบนเตียงอย่างเบามือเมื่อเข้ามาในห้องพักเป็นที่เรียบร้อย ขาเรียวก้าวตรงไปยังระเบียงห้องแล้วใช้มือแหวกม่านออกเล็กน้อยเพื่อมองวิวด้านนอก หิมะยังคงตกลงมาเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ





    ก๊อก ก๊อก

    เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้เขาปิดม่านลงดังเดิม ก่อนจะเดินไปยังประตูห้องเพื่อส่องดูที่ตาแมวว่าใครอยู่ด้านนอก และเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเขาจึงยอมเปิดประตูออก

    “ไง” อีกฝ่ายเอ่ยทักพร้อมกับรอยยิ้ม ทว่าเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพียงแค่หน้ากากที่อีกฝ่ายสวมเอาไว้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ดูเป็นมิตรให้กับตัวเอง การที่รอยยิ้มของอีกฝ่ายนั้นไม่เคยไปถึงดวงตาเลยสักครั้งเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี “ไม่เจอกันนานเลยนะ”

    มาสเตอร์ คือชื่อที่คนในโลกนักฆ่าใช้เรียกคนตรงหน้านี้ พวกเขาทั้งสองคนทำงานด้วยกันมานานพอสมควรจนสนิทกันในระดับหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นตัวแทนในการติดต่อกับผู้ว่าจ้างให้กับเขาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าวงการ เป็นคนที่มอบนามแฝงมิสติคอาร์ให้แก่เขา และเป็นเพียงคนเดียวนอกจากตัวเขาที่รู้ว่าตัวอักษรอาร์หลังคำว่ามิสติคนั้นไม่ได้มีความหมายแฝงที่ยิ่งใหญ่อะไรมากไปกว่าคำว่าแรบบิท ที่เป็นการล้อเลียนว่าใบหน้าของเขาน่ะคล้ายคลึงกับกระต่าย

    “ก็มันไม่มีงาน”

    เขาเอ่ยตอบขณะก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านในห้องก่อนจะปิดประตูลง

    “นี่ค่าจ้างงานก่อน ๆ นายควรจะมารับค่าจ้างทันทีที่ทำงานเสร็จก่อนจะหายตัวไปนะ" อีกฝ่ายบ่นอุบ "ฉันไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องทรัพย์สินของคนอื่นเท่าไหร่ นายก็น่าจะรู้”

    “โทษที…ก็มันเหนื่อยนี่”

    เขารับถุงผ้ากำมะหยี่สีดำมาจากมือของอีกฝ่าย เมื่อเปิดออกดูก็พบกับเหรียญทองจำนวนไม่น้อยพร้อมกับกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลายแผ่นที่ถูกพับครึ่ง มันคือเช็คค่าจ้างจากการทำงานหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เขารวบยอดมารับในคราวเดียว

    ร่างผอมโปร่งโยนถุงใส่ค่าจ้างของตนลงบนเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปรับซองจดหมายซองหนึ่งที่คู่สนทนายื่นมาให้

    มือเรียวยกซองจดหมายขึ้นมาส่องกับไฟบนเพดานเพื่อสำรวจความเรียบร้อย กระทั่งมั่นใจว่ามันถูกปิดผนึกแน่นหนาและไม่มีร่องรอยการถูกเปิดอ่านมาก่อนจึงทำการแกะซองออกในที่สุด

    สิ่งที่อยู่ในนั้นมีแค่รูปถ่ายเพียงใบเดียว

    “เป้าหมายใหม่ของนาย รีบจัดการให้เสร็จก่อนวันอาทิตย์นี้ล่ะ”

    อีกฝ่ายเอ่ยบอกกำหนดเวลาแก่เขาก่อนจะเดินออกจากห้องไป ลูกบิดประตูแบบออโต้ล็อคส่งเสียงแกร๊กเบา ๆ เมื่อถูกปิด และทั้งห้องก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

    จองแจฮยอน สำนักงานอัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก’

    เขาหยิบรูปถ่ายของเป้าหมายออกมาดู มันเป็นภาพแอบถ่ายที่แสดงใบหน้าตรงของชายชาวเอเชียซึ่งดูไม่มีพิษสงใด ๆ เลยสักนิดคนหนึ่ง คิ้วเรียวของมิสติคอาร์เผลอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยยามที่กำลังนึกหาตอบว่าเพราะเหตุใดชายคนนี้ถึงได้ถูกสั่งเก็บ

    แต่นึกไปก็เท่านั้น ในเมื่อตัวเขาไม่ได้รู้จักกับชายคนนี้เป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย

    ร่างผอมโปร่งเดินตรงไปยังห้องน้ำก่อนจะทำการเผารูปที่ได้รับมาทิ้ง มือเรียวกดชักโครกซ้ำอีกสองสามครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีเศษเถ้าถ่านใด ๆ หลงเหลืออยู่ให้เป็นที่น่าสงสัย

    ใบหน้าของเป้าหมายนั้นถูกเขาจดจำเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รูปนั่นไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป










    เขาตื่นขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน

    ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทา และพยากรณ์อากาศก็บอกว่าวันนี้จะมีหิมะตกหนัก

    ร่างผอมโปร่งกระชับเสื้อโค้ทของตนหลังจากที่ตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นฆ่าเวลาแถวนี้เสียหน่อย กระเป๋ากีต้าร์ของเขานั้นถูกเก็บไว้ในตู้เซฟที่ซ่อนอยู่หลังรูปภาพตกแต่งห้องพัก สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากคอนติเนนทัลคือจุดหมายสำหรับเขาในวันนี้ ขาเรียวยาวก้าวเดินไปตามทาง ไม่ช้า...ทว่าก็ไม่เร็วนัก

    ฝูงนกพิราบในสวนสาธารณะพากันแตกฮือยามที่เขาเดินฝ่าพวกมันตรงไปยังน้ำพุ ท้องฟ้ามีสีเข้มขึ้นทีละนิด และอากาศก็เย็นลงจนสามารถสังเกตเห็นควันสีขาวจาง ๆ ที่ถูกพ่นออกมาพร้อมกับลมหายใจของคนที่เดินผ่านไปมา

    เขาเดินไปนั่งตรงขอบน้ำพุ มองดูฝูงนกพิราบที่กางปีกบินหนีบรรดาผู้คนที่เฉียดกรายเข้ามาใกล้ ไม่มีใครสามารถแตะตัวนกพิราบเหล่านั้นได้เลยสักคน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีใครนึกอยากจะแตะมันอยู่แล้ว

    หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมาจนทำให้ขอบน้ำพุเริ่มเปียกชื้น ทว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

    “ไม่หนาวเหรอคุณ?”

    เขาหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักดังขึ้นใกล้ ๆ ดวงตากลมละออกจากฝูงนกพิราบเหล่านั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงร่างหนึ่งที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ อีกฝ่ายสวมโค้ทสีน้ำเงินเข้มและผ้าพันคอสีขาว ในมือนั้นถือร่มใสซึ่งโน้มเอียงมาทางเขาจนมันช่วยป้องกันร่างกายของเขาจากหิมะที่กำลังตกอยู่

    เขาจำใบหน้าของชายผู้นี้ได้

    ‘จองแจฮยอน’

    เป้าหมายของเขา

    “ไม่”

    แมสก์สีดำสนิทที่คาดปิดใบหน้าของเขานั้นทำให้เสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูอู้อี้เล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงฟังดูห้วนอยู่ดี การผูกมิตรกับเป้าหมายไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะมันจะทำให้งานของเขายากขึ้น

    ดวงตากลมฉายแววไม่เป็นมิตรไปให้ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งยิ้มใจดีมาให้เขาเสียจนตาปิด ลักยิ้มข้างแก้มที่บุ๋มลงนั้นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูไม่มีพิษภัยใด ๆ มากขึ้นไปอีก

    คนคนนี้ท่าจะพิลึก

    เขานึกในใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น อย่างน้อยในตอนนี้การมองดูพวกนกพิราบก็คงจะดีกว่าการมองหน้าเป้าหมายของตัวเองเป็นไหน ๆ

    “นั่งคนเดียวมันเหงาออกนะคุณ” แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะผูกมิตรกับเขาง่าย ๆ เจ้าตัวล้มตัวนั่งลงบนขอบน้ำพุที่เย็นเยียบและเปียกชื้นข้าง ๆ เขาแล้วเอ่ยต่อ “ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนไหม?”

    เขาไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไป และอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเช่นกัน

    มันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ดูพิลึกพิลั่นไม่น้อย เมื่อเขาเอาแต่นั่งมองฝูงนกพิราบอยู่อย่างนั้น โดยมีมิสเตอร์จองผู้เป็นเป้าหมายของเขานั่งถือร่มให้อยู่ข้าง ๆ

    “คุณ...ชื่ออะไร?”

    มาสเตอร์เคยบอกกับเขาว่าการถามชื่อคือจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความรู้จักคนแปลกหน้า นั่นจึงทำให้เขาจึงตัดสินใจเอ่ยถามชื่ออีกฝ่ายออกไปทั้งที่ก็รู้ชื่อของอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว

    ในวันนี้เขาได้ทำลายกฎของตัวเองลงไปแล้วหนึ่งข้อ

    กฎที่จะไม่ทำความรู้จักกับเป้าหมาย

    “ผมจองแจฮยอน” อีกฝ่ายตอบ “แล้วคุณล่ะ?”

    “ใครสักคน”

    เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม พลางนึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่อีกฝ่ายยอมบอกชื่อจริงของตัวเองกับเขาอย่างง่ายดายโดยไม่นึกระแวงอะไรเลยแม้แต่น้อย

    “ไม่แฟร์นี่” แจฮยอนท้วง “คุณไม่บอกชื่อผม”

    “แล้วทำไมผมต้องบอกชื่อตัวเองกับคุณด้วยล่ะ?”

    เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายและเผลอยกคิ้วข้างหนึ่งของตนขึ้นเล็กน้อยเป็นการยียวน ก่อนจะหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาตีหน้านิ่งดังเดิมเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเป้าหมาย

    เขาแหกกฎข้อที่สองอีกจนได้

    “โอเค ไม่บอกก็ไม่บอก” อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยท่าทียอมแพ้ “แล้วคุณมานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว อากาศหนาวออกจะตายไป”

    “ดูนก”

    เขาเอ่ยก่อนจะหันไปมองฝูงนกพิราบ ในใจเริ่มนึกหาสาเหตุที่ทำให้อัยการของรัฐที่ดูเป็นมิตรต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมคนนี้ต้องมากลายเป็นเป้าหมายของเขา

    สงสัยคงไปทำอะไรขัดแข้งขัดขาพวกมาเฟียกลุ่มไหนสักกลุ่มเข้าล่ะมั้ง...

    “งั้นเหรอ แต่หิมะก็เริ่มจะตกแรงขึ้นแล้วนะ” สิ้นคำ ลมหนาวที่พัดมาระลอกนี้ก็หอบเอาหิมะติดมาเยอะขึ้นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ “ผมว่าเราไปหาที่นั่งอุ่น ๆ ที่มีกาแฟดื่มกันเถอะ”

    ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะเลื่อนตัวมาหยุดยืนตรงหน้าเขา หัวเข็มขัดหนังสีเงินของยี่ห้อเครื่องแต่งกายผู้ชายราคาแพงบดบังสายตาของเขาจากฝูงนกพิราบเสียมิด เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยังคงถือร่มให้

    และไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้ลุกขึ้นยืน...










    ความอบอุ่นและกลิ่นหอมของกาแฟสดคั่วบดในคาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะเท่าไหร่นั้นทำให้เขารู้สึกประดักประเดิดพอสมควร

    เพราะสถานที่ธรรมดาที่เต็มไปด้วยผู้คนธรรมดาอย่างที่นี่นั้นเป็นอะไรที่เขาไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่นัก

    เพียงแค่เปิดประตูและยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปด้านในเขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเขาไม่เข้ากับที่นี่...ไม่เข้ากันอย่างสุด ๆ

    “คุณจะเอาอะไร เดี๋ยวผมไปสั่งให้”

    อีกฝ่ายที่เดินตามเขาเข้ามาหลังจากที่หุบร่มแล้วเก็บใส่ในตะกร้าหน้าร้านเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขานั้นเอาแต่หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงทางเดิน

    ดวงตากลมที่เป็นส่วนเดียวที่โผล่พ้นแมสก์สีดำสนิทเงยหน้าขึ้นมองเมนูบนกระดานตรงผนัง ก่อนที่น้ำเสียงอู้อี้เพราะแมสก์ปิดปากนั้นจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ

    “โกโก้ร้อน”

    อีกฝ่ายเผลออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเครื่องดื่ม เขารู้ดีว่าสายตาที่อีกฝ่ายกำลังมองมายังเขานั้นคือสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเอ็นดู เหมือนที่คนทั่วไปรู้สึกเอ็นดูเด็กเล็ก ๆ ไม่ก็กับหมากับแมว กับสิ่งมีชีวิตน่ารัก ๆ

    “คุณไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปสั่งเครื่องดื่มแปปนึง”

    เขาทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย โต๊ะที่อยู่ตรงมุมด้านในสุดของร้านคือโต๊ะที่เขาตัดสินใจเลือก เขาไม่ค่อยชอบให้ตัวเองเป็นจุดเด่น รวมถึงไม่ชอบให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครด้วย จึงเป็นที่แน่นอนว่าบรรดาโต๊ะริมกระจกไปจนถึงโต๊ะที่อยู่กลางร้านนั้นไม่มีทางได้เข้ามาอยู่ในตัวเลือกของเขา

    ร่างผอมโปร่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะได้ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินมาหาพร้อมกับถาดใส่ของกิน ในนั้นมีแก้วโกโก้ร้อนของเขา แก้วเครื่องดื่มร้อนของอีกฝ่าย และครัวซองต์จำนวนสองชิ้นที่มาคู่กันกับแยมสตรอเบอรี่

    “ครัวซองต์ของที่นี่อร่อยนะ คุณลองสิ”

    อีกฝ่ายเอ่ยชวนขณะเลื่อนจานครัวซองต์มาให้ เขาคว้าแก้วโกโก้ของตัวเองขึ้นมาถือ ก่อนจะชะงักค้างไป

    ถ้าเขาดื่มเขาก็ต้องถอดแมสก์ออก...

    และนั่นจึงทำให้เขาเอาแต่นั่งถือแก้วโกโก้อยู่อย่างนั้น

    “คุณไม่ดื่มเหรอ?”

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งนิ่ง เขาส่ายศีรษะแทนคำตอบ

    เขาไม่มีทางถอดแมสก์ให้คนอื่นเห็น นั่นเป็นกฎที่เขาจะไม่มีวันแหกอย่างเด็ดขาด เขาจะไม่มีวันเปิดเผยใบหน้าของตัวเองให้ใครเห็น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเด็กทารกหรือแม้กระทั่งพวกสภาสูงก็ตาม

    “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ผมเห็นหน้าคุณเหรอ?”

    เขาเบนสายตามองไปทางอื่นและไม่เอ่ยตอบอะไรออกไป พลางเริ่มรู้สึกขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าเขาไม่ควรมานั่งที่นี่กับคนตรงหน้านี้เลย

    ความอึดอัดค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่จะรู้สึก

    ดูจากการปาดแยมสตรอเบอรี่ลงบนครัวซองค์ก่อนจะเอาเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อยนั่นแล้ว เขาชักไม่แน่ใจว่าระหว่างรับรู้แต่ไม่สนใจกับไม่รับรู้อะไรเลยนั้น จองแจฮยอนเป็นแบบไหนกันแน่

    “ที่ก่อนหน้านี้คุณถามว่าทำไมผมถึงมานั่งกับคุณ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ผมแค่รู้สึกว่าคุณแปลกดีก็เลยอยากรู้จัก คนปกติเขาคงไม่มานั่งตากหิมะกันหรอกใช่ไหมล่ะ”

    “คุณเองก็แปลกเหมือนกัน” เขาพูด “ไม่มีคนปกติที่ไหนชวนคนแปลกหน้ามานั่งดื่มกาแฟด้วยกันหรอกรู้ไหม”

    อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบา ๆ “งั้นเราทั้งคู่ก็คือคนแปลกสินะ”

    เขาเอาแต่นั่งมองอีกฝ่ายจัดการครัวซองต์สองชิ้นนั้นจนหมดลง แก้วโกโก้ที่อยู่ในมือของเขานั้นหายร้อนเสียแล้ว

    “ผมคงต้องไปแล้วล่ะ” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นพลางเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “คุณจะกลับเลยไหม?”

    “อืม”

    เขาส่งเสียงตอบในลำคอเบา ๆ ขณะที่ล้วงเอาธนบัตรขนาดห้าดอลล่าส์ออกมาแล้วยื่นไปให้

    “ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมเลี้ยง”

    อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทีสบาย ๆ เป็นกันเองก่อนจะลุกขึ้นยืน

    “ขอบคุณ”

    เขาคว้าแก้วโกโก้ที่หายร้อนไปนานแล้วของตัวเองมาถือไว้ในมือและลุกเดินตามอีกฝ่ายออกมานอกร้าน

    ความหนาวเย็นกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง

    “คุณมี เอ่อ…เบอร์โทรศัพท์ไหม?”

    อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีอึกอัก พวกเขาทั้งสองคนสบสายตากันครู่หนึ่งเมื่อเขาส่ายหน้าปฏิเสธช้า ๆ

    “อืมมม…” อีกฝ่ายมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะล้วงหยิบเอาตลับนามบัตรและปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง มือหนานั้นจดอะไรบางอย่างลงไปบนนามบัตรใบหนึ่งแล้วยื่นมันมาให้เขา “เอาเป็นว่า นี่เบอร์ส่วนตัวผมเอง ถ้าคุณอยากจะ…เอ่อ…คุยกันอีกก็โทรมาได้นะ”

    เขาเอื้อมมือข้างที่ว่างไปรับนามบัตรใบนั้นก่อนจะพลิกดูด้านหลัง ตัวเลขจำนวนสิบหลักที่ถูกเขียนด้วยลายมือของอีกฝ่ายปรากฎแก่สายตา

    “หิมะท่าจะยังตกอยู่อีกนานเลย” แจฮยอนเอ่ยขณะกางร่มแล้วยื่นมันมาให้เขาที่กำลังเก็บนามบัตรใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อโค้ท “คุณเอาร่มไปเถอะ ที่ทำงานผมอยู่แค่ตรงนี้เอง”

    “ไม่เป็นไร”

    เขาเอ่ยปฏิเสธเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งมีท่าทีคะยั้นคะยอ

    “เอาไปเถอะน่า เดินตากหิมะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

    ว่าพลางคว้ามือข้างที่ว่างของเขาเอาไว้แล้วยัดร่มใส่

    “อ่า...ขอบคุณ”

    “ผมไปก่อนนะ”

    “ลาก่อน”

    เขาเอ่ยลาคนตรงหน้าก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับความรู้สึกวูบโหวงในอก แต่ก็รีบบอกให้ตัวเองรีบไล่ความรู้สึกเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว





    “เดี๋ยวก่อนคุณ!”

    ทว่าไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึงมุมตึก อีกฝ่ายก็ตะโกนเรียกเขาเสียงดังจนทำให้ผู้คนที่เดินไปมาแถวนั้นพากันหันมามอง ร่างสูงก้าวเท้ายาว ๆ ตรงมาหาก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ เขาหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตางุนงง

    “เอ่อ…คุณคงจะหนาว” อีกฝ่ายเอ่ยขณะที่กำลังคลายผ้าพันคอของตัวเองออก “อย่างน้อยนี่คงทำให้คุณอุ่นขึ้นบ้าง”

    ผ้าพันคอสีขาวผืนนั้นถูกย้ายมาอยู่บนคอของเขาในที่สุด กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของอีกฝ่ายที่ติดอยู่กับผ้าพันคอลอยอวลไปทั่ว เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย และก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา

    ใบหูทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเจือสีแดงเรื่อ เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเกินไป หรือไม่...ก็อาจเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในอก

    หิมะยังคงตกอยู่ และท้องฟ้าเองก็ยังคงเป็นสีเทาเข้ม

    แต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นราวกับได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ

    และมันก็เป็นแสงแดดที่อบอุ่นยิ่งกว่าฤดูใบไม้ผลิไหน ๆ ที่เขาเคยสัมผัส










    มิสติคอาร์กลับมาถึงคอนติเนนทัลในบ่ายแก่ ๆ พร้อมกับแก้วโกโก้ที่เย็นชืด ร่มใส และผ้าพันคอสีขาว

    มือเรียวแหวกม่านตรงระเบียงห้องออกเล็กน้อยก่อนจะมองย้อนไปตามทางที่เขาเพิ่งเดินกลับมา เขายืนเหม่ออยู่อย่างนั้นและเผลอนึกไปถึงเจ้าของรอยยิ้มเป็นมิตรที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นนั้น

    แบบนี้ไม่ดีแน่...

    ร่างผอมโปร่งนึกตำหนิตัวเองในใจที่ไปทำความรู้จักกับเป้าหมายจนเผลอเอาแต่นึกถึงอีกฝ่ายแบบนี้ เขาปิดม่านลงดังเดิม ถอดผ้าพันคอออกแล้วโยนลงไปบนเตียง ก่อนจะนำโกโก้ไปเททิ้งในห้องน้ำ

    ให้ตาย แบบนี้มันไม่เป็นมืออาชีพเลย





    เช้าวันถัดมา เขาลุกขึ้นจากที่นอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า

    เขาสั่งรูมเซอร์วิสและหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักของตัวเอง นำกระเป๋ากีต้าร์ออกมาจากตู้เซฟและเปิดดูสิ่งที่อยู่ด้านใน

    มือเรียวหยิบปืนพีเอสจีวันที่ถูกแยกชิ้นส่วนและจัดวางอย่างเป็นระเบียบนั้นออกมาทำความสะอาดและตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งทีละชิ้น ก่อนจัดเก็บลงที่เดิมเพื่อรอเวลาให้ถึงเวลาทำงานของมัน

    ในบรรดาอาวุธทั้งหมด เขาชื่นชอบและถนัดการใช้ปืนไรเฟิลมากที่สุด เพราะมันเป็นอาวุธระยะไกล จึงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยที่จะใช้มัน

    ฟ้าด้านนอกค่อย ๆ ถูกความความมืดมิดของรัตติกาลครอบงำ เขาตรวจตราความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อจะคว้ากระเป๋ากีต้าร์ของตัวเองขึ้นสะพายและเดินออกจากคอนติเนนทัลเพื่อเริ่มงานของตัวเอง

    คืนนี้ไม่มีหิมะ...

    มือเรียวภายใต้ถุงมือหนังนั้นกระชับกระเป๋ากีต้าร์บนบ่าของตัวเองขณะก้าวขึ้นไปตามบันไดเหล็กข้างตึกเก่าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากศาลแขวงนครนิวยอร์กไปไม่ถึงหนึ่งช่วงตึก จนในที่สุดเขาก็ขึ้นมาถึงดาดฟ้าของอาคาร ร่างผอมโปร่งสอดส่ายสายตาหาที่กำบัง และก็พบเข้ากับกองเศษเหล็กที่ถูกคลุมด้วยผืนผ้าใบขนาดใหญ่

    เขาเดินไปเปิดผ้าใบผืนนั้นเพื่อเช็คว่าไม่มีตัวอะไร หรือใครแอบซ่อนอยู่ และเมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งและขยับตัวไปจนชิดกับขอบของดาดฟ้า

    เขาเลิกแขนเสื้อโค้ทขึ้นเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ

    เพิ่งจะสองทุ่มครึ่ง เขายังพอมีเวลา...

    มือเรียวเปิดกระเป๋ากีต้าร์ของตัวเองออกก่อนจะจัดแจงประกอบปืนอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานของเขาทำให้เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ

    เขาพาดปากกระบอกปืนกับสันขอบของดาดฟ้า จัดแจงท่านั่งให้อยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมที่สุด ปลายนิ้วเรียวสอดเข้าไปในโกร่งและแตะเบา ๆ เข้าที่ไกปืน ก่อนจะเริ่มงานที่ตัวเขาถนัดมากที่สุด นั่นคือการรอ...

    การปลิดชีพใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรนักสำหรับเขา ตราบใดที่เขาไม่มีอารมณ์ใด ๆ กับคนที่เป็นเป้าหมาย

    เขาทำงานนี้มานานจนชินชาไปเสียแล้ว มันไม่ต่างจากการล่าสัตว์สักเท่าไหร่ในความรู้สึกของเขา สิ่งที่ต่างมีเพียงแค่หากเขาล่าสัตว์ เขาจะได้อาหาร

    แต่ถ้าเขาฆ่าใครสักคน...เขาจะได้เงิน

    ยิ่งในตอนแรกที่เขาเริ่มทำงานนี้เพราะต้องการเงินด้วยแล้วนั้นมันยิ่งไม่ยากเลยในการกำจัดศีลธรรมออกไปจากใจ เขามองว่ามันคืองานอย่างหนึ่ง แม้จะรู้ว่ามันไม่สุจริตเท่าไหร่ก็ตามที

    เขาเล็งลำกล้องไปยังประตูด้านหน้าของศาลแขวงนครนิวยอร์ก ตึกที่เขาใช้เป็นที่ซุ่มนั้นอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องมาทางด้านขวาของศาล จึงทำให้เขาสามารถเล็งไปที่หน้าประตูได้โดยไม่ยากลำบาก ในตอนนี้เขาเหลือเพียงแค่รอให้เป้าหมายเดินออกมาจากประตูเท่านั้น

    เขาเม้มปากแน่น อากาศค่อย ๆ เย็นลงทีละนิดจนทำให้รู้สึกชาที่ปลายนิ้วมือและปลายเท้า

    ประตูตึกสำนักงานถูกเปิดออก ทว่าคนที่เดินออกมากลับเป็นหญิงสาวในชุดเดรส และมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธตัวเองที่เผลอโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่เดินออกมานั้นไม่ใช่เป้าหมาย

    ความรู้สึกแปลกประหลาดค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของเขาทีละนิด

    และในที่สุด ประตูของศาลก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เขาชะงักนิ่งไปเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังเดินออกมาเต็ม ๆ ตาผ่านลำกล้องของปืน

    จองแจฮยอน

    เขาจำได้และรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นคือเป้าหมายของเขา เป้าหมายที่จะทำให้การต้องอดทนนั่งอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บที่ชวนทรมานนี้สิ้นสุดลงเพียงแค่เขาเหนี่ยวไก ค่าหัวของอีกฝ่ายคือหนึ่งล้านห้าแสนดอลล่าร์สหรัฐ และเหรียญทองของคอนติเนนทัลอีกหนึ่งเหรียญ

    ทั้งหมดนั้นเป็นจำนวนเงินที่ทำให้เขาไม่ต้องรับงานใด ๆ ไปอีกเป็นปี เขาแค่ต้องยิงเท่านั้น

    ยิงสิวะคิมโดยอง!

    เขาพยายามบังคับให้ตัวเองเหนี่ยวไกเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่เวลาจะหมดลง ทว่านิ้วมือของเขากลับแข็งทื่อราวกับเหล็ก ไม่มีส่วนใดในร่างกายของเขาที่ขยับเขยื้อนเลยสักส่วน จนกระทั่งจองแจฮยอนหลุดออกจากวิถีปืนในที่สุด

    เวรเอ๊ย!

    เขาสบถขึ้นมาในใจอย่างหัวเสีย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง วันที่เขาไม่กล้าเหนี่ยวไกปืนสังหารเป้าหมาย

    วันที่เขาทำงานไม่สำเร็จ





    และในคืนนี้ ตำนานของมิสติคอาร์ผู้ลึกลับที่ไม่เคยทำงานพลาดเลยสักครั้งก็ได้ถูกปิดฉากลง





    [end.]

    —————————————————————————————————————————
    มันเป็นงุนมันเป็นงง 5555555555555
    ไม่ได้มีสาระอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ของคนสองคน
    ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างกะทันหันแล้วก็จบลงอย่างรวดเร็ว
    แต่ที่แน่ๆคือคุณอัยการเขาทำคุณมือปืนชวดเงินไปแล้ว
    กลับมารับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลยนะ!

    ปล.ฟิคเรื่องนี้อิงเซ็ตติ้งโลกมาจากหนังเรื่อง John Wick นะคะ
    ถ้าใครคุ้นๆเรื่องโลกนักฆ่า เรื่องคอนติเนนทัลก็นั่นแหละค่ะ
    มาจากหนังเรื่องนี้แหละ แหะๆ
    #allislovefic

    how to comment ใน minimore

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
hoka_horoka (@hoka_horoka)
เนี่ย แค่ละเรื่องของคุณนักเขียนควรเป็นเรื่องยาวทั้งนั้น เรื่องนี้ก็ดีอีกแล้วอ่ะ ชอบแนวแบบนี้ อยากรู้ว่าแล้วโดยองจะทำยังไงต่อไป เศร้าเลย
Cadeaux (@Cadeaux)
ก่อนอื่นก็คือขอขำชื่อก่อน เปิดมาอย่างเท่ จบลงตรงที่ R หมายถึงกาตุ่ย 5555555555 ชอบมากๆ เลยค่า ลุ้นตามอีกแล้ว ว่าแต่คุณอัยการมาทำให้คุณมือปืนหวั่นไหวแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะ!! ฮึกกก ขอบคุณนะคะ
q026_ (@q026_)
คุณอัยการทำมิสติคอาร์สั่นคลอนจนได้ แค่โกโก้ร้อนที่ยังไม่ทันได้กินกับร่มก็ทำเอามิสติคอาร์เราแย่เลย บรรยากาศในร้านกาแฟน่ารักมากเลยค่ะ เห็นภาพสายตาเอ็นดูที่คุณอัยการมองมิสติคอาร์ของเราเลย แถมเจ้าของชื่อที่ได้มาเพราะหน้าคล้ายกันกับกระต่ายถามอะไรก็ยังไม่ค่อยจะตอบอีก แสนจะดื้อเลย.. แอบคิดไปว่าถ้าเจอกันอีก มิสติคอาร์ของเราคงไม่เข้าไปทำความรู้จักในฐานะมิสติคอาร์แต่เป็นโดยองคงจะดีไม่น้อยเลยค่ะ~♡
hbrxnct (@hbrxnct)
@q026_ ฮื่อออออ ดีใจที่ชอบฟิคนะคะ ถ้าทั้งสองคนนี้ได้ทำความรู้จักกันในสถานะอื่นก็คงดีไม่น้อยเนอะ >w<
Gift N. T. (@giftnt1402)
ชอบมากอีกแล้วค่ะ โอ๊ย ภาษาคุณเบลดีตลอดอยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็คุณภาพคับแก้วเช่นเคย มันไปกับคาแรคเตอร์ที่เหินห่าง ไม่สนใจสิ่งที่ไม่จำเป็น และกระชับฉับไวตามเนเจอร์งานของมิสติคอาร์มาก แต่สุดท้ายก็ยังเห็นภาพชัดเจน

ด้วยเซ็ตติ้งและอาชีพของมิสติคอาร์ ทำให้ตอนแรกเราไม่กล้าหวัง fluff เท่าไหร่ แต่ตั้งแต่การปรากฏตัวของแจฮยอนไปจนถึงตอนเขาจะแยกกับโดยอง เราก็อดคิดถึงความรู้สึกเวลาดื่มโกโก้ร้อนในวันหิมะตกไม่ได้เลยค่ะ อบอุ่นละมุนอะไรขนาดนั้นนะพ่อหนุ่ม เสียอาการกันไปตามระเบียบ

ตอนเราอ่านจบนี่นึกไม่ออกว่าอยากให้ไปยังไงต่อ แต่พออ่านทอล์คแล้วก็... เป็นความคิดที่ดีนะคะ มาเจอกันอีกแล้วหาทางรับผิดชอบที ฮ่าๆๆ
hbrxnct (@hbrxnct)
@giftnt1402 ฮื่อออออ ดีใจที่ชอบนะคะ เราตั้งใจให้คาร์ของคุณอัยการเขาออกมาอบอุ่นแหละค่ะ เพราะโลกของมิสติคอาร์นั้นค่อนข้างหนาวเหน็บทีเดียว ;w;)