เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Session 01 - TravelogueSmild Smile
Session 01 - Travelogue
  •           การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น เพราะเรามีรูมเมทเป็นรุ่นพี่ชาวเกาหลีมาแลกเปลี่ยนที่มหา'ลัยเราหนึ่งเทอมและจะกลับเกาหลีหลังจากเสร็จสิ้นไฟนอลของมหาลัย ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันว่า จะไปเที่ยวด้วยกันก่อน จัดให้เป็นทริปอำลา และจากคำพูดที่พูดเอาแค่สนุกก็กลายเป็นเรื่องจริงกะทันหัน เกิดเป็นทริปโผล่มากลางคันแบบงงๆ ในช่วงเที่ยงของวันศุกร์ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
    “เลิกเรียนยัง ไปเที่ยวกัน พี่เก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว”
      “หา !!! ตอนนี้? พูดจริงปะ …...ไปไหนนน”  
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    เพราะใจกระสัน จึงหันไปหาเขาใหญ่

              วันนั้นเราเลิกเที่ยง อยู่ ๆ เสียงไลน์ก็ดังขึ้นทันทีที่ถึงเวลาเลิกเรียน รูมเมทไง จะใครล่ะ ไลน์มาชวนไปเที่ยว พร้อมมัดมือชกด้วยการเก็บกระเป๋ารออยู่ที่ห้องเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่เรากลับไปเก็บกระเป๋าและคิดว่าจะไปที่ไหน ภายใต้เงื่อนไข เที่ยวไม่ไกลและต้องกลับมาเรียนในวันจันทร์ ด้วยความที่เราเป็นคนไทย แน่นอนว่าเราต้องตามใจอีกฝ่ายที่ไม่ใช่คนไทยอยู่แล้ว พวกเราลงมติว่า 'เขาใหญ่' โคราช เพราะต่างคนต่างไม่เคยไป ฉะนั้นทริปนี้จะไม่มีใครดูแลใคร ไม่ว่าจะเกาหลีหรือไทยก็ใหม่พอกัน

              ด้วยความที่ไม่มีแพลนและความใจร้อนของรูมเมท ทำให้เรากังวล เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวแบบไปตายเอาจังหวัดหน้าอย่างนี้ บวกกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นพี่ ไม่ใช่ไทยแต่เป็นเกาหลี จะราบรื่นหรอเนี่ย
    การเดินทางเป็นไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของทั้งคู่ แค่เจอรถไปโคราชเราก็โดดขึ้นเลย คิดแค่ว่ายังไงคืนนี้ก็ได้นอนไม่ผิดที่

              และการโดดขึ้นรถส่งๆทำให้เราต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าที่ควร เราใช้เวลาห้าชั่วโมง ในการเดินทาง เพราะรถโดยสารคันนี้เป็นรถหวานเย็น (แถวบ้านเราจะเรียกรถโดยสารที่ขับช้า ขับชิว รับทุกคน จอดทุกป้ายแบบนี้ว่าหวานเย็น) มีน้ำใจเหมือนสืบเชื้อสายจากนางงาม แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดรถ เพราะถ้าเราทำการบ้านมามากกว่านี้ ก็จะรู้ว่ามีรถตู้จากรังสิตไปโคราชที่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น 'มายก้อดดดด! นี่ไง ข้อเสียของการไม่วางแผน'

              พอเข้าเขตโคราช เราก็เริ่มร้อนใจ คืนนี้จะนอนไหน มีพ่อโทรหาพ่อ มีพี่โทรหาพี่ แต่รูมเมทเรามาเหนือ นางยื่นโทรศัพท์แล้วพูดประโยคเดียวที่เคลียร์ความร้อนใจของเราทั้งหมด “ได้ที่พักแล้ว พี่ของพี่แนะนำมา คุยให้ที” จุดนี้ดูโล่งใจ แต่กลับรู้สึกเป็นคนไทยด้อยค่า มีราคาแค่พูดไทยได้ในเวลาเดียวกัน
    หลังจากนั้นเราก็จัดการดีลกับที่พักเรียบร้อย เป็นเกสต์เฮ้าส์ราคาน่ารัก แต่ตรงกันข้ามกับแพ็กเกจทัวร์ที่ราคาลากเลือด... 'เออ เอาก็ได้ ไม่มีแพลนไม่มีที่นอนกันอยู่แล้วโว้ย'
              เมื่อไปถึงที่พัก โอ่โหหหห มีแต่ฝรั่ง สัญชาตญาณคนไทยก็ก่อกวนขึ้นทันที นั่นก็คือโรคกลัวฝรั่ง กลัวคนสปีชี่ส์หัวทองตีรั้นขึ้นมาเลย เรารู้ชะตาชีวิตของทัวร์ครั้งนี้แล้ว กระดิกหูฟังภาษาปะกิดดีๆก็แล้วกัน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คืนนี้เราก็รอดและทริปน่าจะจบสวยกว่าที่คิด

              ตามแพ็คเกจทัวร์ เราต้องออกจากที่พักเจ็ดโมง เพื่อไปปีนเขา เข้าป่า ส่องช้าง ล่าจระเข้ บอกเลยว่ามันแหกกฎการเที่ยวตามแบบฉบับคนไทยและบ้านเรามาก ถ้าเป็นตามสคริปต์คนไทยทั่วไป ที่ไหนฮิต ที่ไหนดังก็แห่ไป เที่ยว ถ่ายรูป โพสต์สวย หน้าเป๊ะ อัพเฟสได้เป็นอันจบ แต่ถ้าให้ไปเหนื่อย ไปแอดเวนเจอร์ หน้าเยิ้ม... จะสวยแค่ไหนก็เซย์กู้ดบายค่ะ

              เช้าวันต่อมา เริ่มต้นอย่างทะลักทุเล ไกด์แนะนำทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษตามคาด เพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครเป็นคนไทย จนกระทั่งแนะนำตัวจึงรู้ว่าเรากับเมทพูดไทยได้นะจ๊ะ ไกด์แอบตกใจ เพราะนานๆทีจะเจอคนไทยที่มาแบบนี้ โดยส่วนมากไกด์บอกจะเป็นเมียฝรั่ง 'อันนี้ก็เมทเกาหลีไงคะพี่ เมียกับเมท มอม้าเหมือนกัน5555'   ในการไปเขาใหญ่ เรานั่งรถกระบะที่เป็นเหมือนรถสองแถว ทั้งคันมีแต่ผู้หญิงฝรั่งดูสมบุกสมบัน แล้วเราจะรอดมั้ย ถึงไซส์จะสู้ไหว แต่พาวเวอร์พวกเขาชนะขาด

              พอถึงเขาใหญ่ พวกเราประเดิมด้วยการพบปะกับชะนีค่าาาาา ไกด์พาเหล่าชะนีที่เป็นคนไปดูชะนีที่เป็นสัตว์อย่างใกล้ชิด ร้องผัวๆกันสนุกสนาน (ชะนีที่เป็นสัตว์น่ะค่ะ) และเหมือนพวกเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพราะเราได้เจอพวกมันตลอดทางอีกประมาณหกตัว โอ้มายยยยย          หลังจากได้เห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยตามไหล่ทาง จุดหมายต่อไปก็คือ จุดชมวิว เมื่อไปถึงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือว่าแบบ สวย แต่ดันมีกองปูนมาหยุดสายตา เลยไม่ฟินเท่าที่ควร ฮ่อลลลลลล เรากับเมทเลยชื่นชมท้องฟ้า ภูเขา อากาศสักพัก ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอตามวิถีเอเชีย และไปรอที่รถ

              สถานีต่อไป พวกเราจะเข้าป่า โคฟเป็นนายพรานส่องสัตว์ ตลอดทางไกด์ก็แนะนำต้นไม้ใบหญ้า สัตว์เล็กสัตว์น้อยไปเรื่อย แปลกทั้งตาแปลกทั้งหู นี่ตัวไร แล้วคำนั้นแปลว่าอะไรนะ โอ่ยยยยย เพลีย เราเดินกันไปเรื่อยจนตัดผ่านทุ่งหญ้าที่สูงยาวระดับคอ และได้พบความสวยงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง ท้องฟ้า ภูเขาที่โอบเราไว้ทุกทิศทาง ตอนนั้นยอมรับเลยว่าอากาศร้อน แต่มันคุ้มมาก สวยมาก ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส เมฆคอตตอนแคนดี้ลอยเกลื่อน ช่างดูกลมกลืนกันจนอยากนอนดูอยู่ตรงนี้ ไม่กลับแล้วมหา'ลัย          จากนั้นเราก็ไปหอชมวิวดูบรรยากาศรอบๆ จนกระทั่งความหิวคืบคลาน ไกด์จึงพาพวกเรากลับ ไกด์ชวนคุยเรื่อย แปลกใจและดีใจที่มีคนไทยมาเที่ยวแบบนี้ 'จริงๆถ้าเมทไม่มา การเที่ยวแบบนี้จะไม่อยู่ในเสี้ยวสมองเราเลย แต่ตอนนี้ การเที่ยวอย่างที่ว่ากลับเริ่มเข้ามามีพื้นที่ในหัวใจเราแล้วล่ะ'

              การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เราได้เดินทางไปหลายๆที่ ไม่ว่าจะน้ำตกชื่อดังอย่าง'เหวสุวัต'ที่ลีโอนาโดมาโดดเพื่อถ่ายหนัง ไปตามหาจระเข้ที่... เข้เอ๊ย !เปลืองพลังขาจริงๆ ได้สอดแนมสัตว์ที่เจอหลายอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวที่เราอยากเจอ ช้างป่า และตอนนี้คนเดินทางอย่างเรากับเมทสารร่างก็เริ่มย้วย เมื่อยขาจนอยากขอขี่หลังไกด์ แต่อย่างไรก็ตาม ในอารมณ์พวกนั้น มันก็คุกรุ่นไปด้วยความสุขและความประทับใจ ถึงแม้ว่าแทบจะต้องลากขาเดิน แต่เราก็ถึกทน เก็บความรู้สึกที่ดีและการสัมผัสหมดทุกที่ๆไกด์พาไป แต่ไฮไลท์ของทริปนี้มันอยู่ที่ที่สุดท้าย ‘น้ำตกเหวนรก’ ถึงชื่อมันจะชวนสะพรึง แต่เราไม่สนใจแล้ว เพราะความเมื่อยล้ากำลังจะจบ ทันทีที่ดูน้ำตกนี้เสร็จ เรียกได้ว่าเราฟินกันล่วงหน้าแบบไม่คิดถึงชะตากรรมที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย 
             
              เราเริ่มต้นด้วยทางปูนสวยๆ ราบเรียบ ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง บันไดก็ขั้นเล็กน่ารัก ทั้งสะพานและพื้นลาดเอียง ก็ผ่านไปได้อย่างชิวๆ จนกระทั่งไกด์หยิบยื่นความใจดีมาให้พวกเรา โดยการจะไม่พาไปน้ำตกชั้นสามที่หลายคนนิยมไป แต่จะพาไปสูงกว่านั้น ‘ห้ะ ชั้นไหนอีก มีกี่ชั้น แล้วจะพาไปชั้นไหน’ ด้วยความใจดี ถือว่าเป็นการส่งท้ายและเห็นว่าลูกทัวร์นั้นน่ารักเหลือแสน นางจึงจัดให้เราไปสูงเป็นพิเศษ   และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคำว่านรกจริงๆ... จากทางปูนสบายๆก็กลายเป็นทางดินลื่นบ้างชันบ้าง เรียกได้ว่าจุดนั้นขาเราเริ่มงอแง อ่อนแรงจนแทบอยากกลายร่างเป็นชะนีที่เจอเมื่อเช้าให้รู้แล้วรู้รอดไป มือเริ่มเกี่ยวต้นไม้รายทาง หาที่ยึดเกาะ จากที่เคยเดินนำหน้าก็กลายเป็นรั้งท้าย จากรั้งท้ายก็กลายเป็นทิ้งห่าง
    'พวกเรารอเขาอยู่ตรงนี้ได้ไหม?' ความเหนื่อยล้าของคำพูดเมทส่งผ่านมาถึงหูเรา ถึงจะรู้และเข้าใจแต่ก็ต้องเดินทางนรกนี่ต่อไปนะพี่นะ และในที่สุดก็มาถึงน้ำตกชั้นที่ไกด์อยากให้เราสัมผัส มันเป็นจุดที่เรายืนอยู่สูงพอๆกับยอดภูเขาตรงหน้า มีน้ำตกอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องซ้าย น้ำไหลแรง และแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ไม่ยอมให้ภูเขาเหล่านั้นมาบดบัง ช่วงเวลานั้นความเหนื่อยที่มีเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น รู้สึกภูมิใจ คุ้มค่าการเหนื่อยหอบและค่าลากสังขารจริงๆ และด้วยความที่เราไม่เคยไปน้ำตก พอได้เจอแบบนี้เข้าไปตะลึงเลย บอกเลยว่าฟินมาก แต่ก็กลัวตกจากที่กั้นในเวลาเดียวกัน ประทับใจมาก ถึงทางขึ้นจะนรกแต่วิวนั้นสวรรค์สุดๆ ถือว่าหายกัน (แต่ที่จริงแล้วทางก็ไม่ได้นรกขนาดนั้นหรอก แค่เราเดินไม่หยุดกันตั้งแต่เช้าแล้วต่างหาก) ทริปของวันนั้นจบลงพร้อมกับขาที่ยังสั่นไม่หยุด และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ประทับใจของทริปที่ไม่มีแพลนในการเที่ยวโคราชครั้งแรกของเรากับเมทต่างชาติคนแรกในชีวิตมหาลัย


              การเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราเรียนรู้อะไรมากมาย หลงใหลการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ได้สนใจแค่จุดหมาย แต่ประทับใจทุกอย่างระหว่างทริป ไม่ใช่แค่จุดหมายเท่านั้นที่สำคัญ แต่เพื่อนร่วมทาง อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็น่าประทับใจไม่น้อยไปกว่ากัน และถึงแม้ว่าจะเป็นทริปที่กะทันหันจนน่าขัดใจ แต่เราก็รักทริปนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว เราได้พบว่าตัวเองชอบอะไรที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะชอบ เช่นเดียวกับการเขียนเล่าประสบการณ์ในการเดินทางให้ผู้อื่นได้สัมผัสด้วยสายตาและจินตนาการตามด้วยใจ เราอาจบอกเล่าได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีรูปถ่ายที่ช่วยขยายความรู้สึกของเราทั้งหมด แต่บางครั้งการไม่มีรูปก็อาจดีกว่า มันทำให้คุณมีโอกาสได้จินตนาการเอง และยิ่งถ้าได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองก็คงจะดีกว่าการนั่งมองรูปที่คนอื่นถ่ายเป็นไหนๆ ใช่มั้ยหล่ะ^^  ท้องฟ้าในวันที่คุณไปอาจสวยกว่าวันที่เราเคยเห็น หรือชะนีอาจเยอะกว่าที่เราเจอ
              
              และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยข้อมูล หรือวิธีเดินทางที่ใครจะสามารถไปตามได้เพียงอ่านบทความนี้ แต่ถ้ามีโอกาสเราจะพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้น เก็บข้อมูลให้ครบกว่านี้
              
              สุดท้ายนี้เราแค่อยากให้ทุกคนลองทำในสิ่งที่ต่างออกไป ลองเที่ยวในแบบที่แตกต่างจากความคุ้นเคยของตัวเอง ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนร่วมทางไม่ใช่คนที่รู้ใจที่สุด เพราะเราเชื่อว่าหลังจากที่กลับมา คุณและเพื่อนร่วมทางจะรู้จักกันและกันมากขึ้นแน่นอน และสิ่งที่สำคัญที่สุด คุณจะพบความสุขในมุมที่ต่างออกไป ...เหมือนกับเรา:)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in